ตอนที่ 847 ขนนกสีดำ
โดยรอบพลันเงียบสงัด ข่งหวนตัวสั่นเทา มองซูหมิงด้วยความกลัว ผู้ฝึกฌานสวมเกราะดำสามร้อยคนบนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ต่างไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในตัวพวกเขาเหมือนเต็มไปด้วยกลิ่นอายไร้ชีวิตชีวา ทว่าความจริงสติปัญญายังปกติ เพียงแต่ฝึกฝนวิชาที่ทำให้เป็นแบบนี้เหมือนกันเท่านั้น วิชานี้ทำให้หัวใจพวกเขาแทบจะหยุดเต้นและเย็นชาไร้ความรู้สึก
แต่ทว่า…วินาทีที่เห็นอักขระต้นกำเนิดจิตของซูหมิงปกคลุมรอบๆ แรงกดดันมหาศาลพลันกดทับลงมายังตัวพวกเขา บดขยี้ความเฉยชาจนแหลก ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัว
โดยเฉพาะ…หนึ่งหมัดที่แทบจะสังหารชายร่างกำยำวัยกลางคน หนึ่งหมัดทำให้ชายชราเสื้อคลุมขาวเกือบตาย แต่เห็นได้ชัดว่าซูหมิงตั้งใจให้เป็นแบบนี้ มิเช่นนั้นสองคนนี้ต้องตายอย่างแน่นอน
ระดับเจ้าปกครองโลกตอนปลายสามารถกำราบผู้ฝึกฌานที่ต่ำกว่าได้ทุกคน ความแกร่งเช่นนี้กลายเป็นความสิ้นหวังในใจทุกคนที่นี่
มวลอากาศถูกผนึก กระทั่งบนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ยังถูกอักขระปกคลุม ทำให้กระบี่ใช้การไม่ได้ ไม่อาจควบคุมได้อีก สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคนตอนนี้เหมือนมีเพียงหนทางแห่งความตาย
“จะตายหรือเข้าแดนประหลาด” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ กวาดสายตามองผู้ฝึกฌานสวมเกราะดำสามร้อยคน คนที่สบตากับเขาล้วนใจสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงโดยจิตใต้สำนึก
ในนั้นมีอยู่หลายคนที่ลังเล แล้วกัดฟันพุ่งไปยังรอยแยกแดนประหลาด หลังจากเริ่มมีคนเงยหน้าขึ้น คนที่เหลือก็เหมือนถูกคุกคามจากความตาย จึงพากันกลายเป็นสายรุ้งยาว พริบตาเดียวคนสวมเกราะสามร้อยคนก็หายเข้าไปในรอยแยกแดนประหลาดทั้งหมด
ทำให้ที่นี่เหลือเพียงซูหมิงกับข่งหวน เส้นสีดำหลอมรวมระหว่างคิ้วข่งหวนไปแล้ว เขามีสีหน้าดุร้าย บนใบหน้ามีเส้นเลือดดำปูดขึ้น ทว่าความหวาดกลัวในแววตากลับมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ควบคุมตัวเองไม่ให้คำรามเสียงต่ำมิได้
ครั้นส่งเสียงคำราม ตรงระหว่างคิ้วก็ค่อยๆ ปรากฏสัญลักษณ์สีดำขึ้นมา มันดูเหมือนนกยูงรำแพนหาง มิหนำซ้ำด้านหลังเขา ยามนี้มวลอากาศบิดเบี้ยว แล้วพลันมีร่างเงานกยูงตัวใหญ่โผล่ออกมา
นกยูงเลือนรางราวกับอ่อนแออย่างยิ่ง ทว่าทันทีที่มันโผล่ออกมา ขั้นพลังข่งหวนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าหลังจากเพิ่มขึ้นแล้ว ใบหน้าเขาจากเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นวัยกลางคน และกลายเป็นชายชราอย่างว่องไว เส้นผมจากดำเป็นสีเทา สุดท้ายกลายเป็นสีขาว
ประหนึ่งว่าชีวิตถูกเผาให้เป็นของบำรุงเพิ่มขั้นพลัง และกลายเป็นต้นกำเนิดให้เขารวมเป็นนกยูงตัวนี้ออกมาได้ ขณะเดียวกัน นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง นั่นคือความบ้าคลั่งที่ไร้ซึ่งสติปัญญา
ยามนี้คล้ายกับว่าสติปัญญาเขาถูกแทนที่ จึงกลายเป็นสัตว์ป่าไร้สติ
ซูหมิงมองการเปลี่ยนแปลงของข่งหวนอย่างเงียบๆ ในใจเขามีข้อสงสัยอยู่ กระบี่ดำก่อนหน้านี้น่าจะไม่พบเขา แต่พบ…ถุงเก็บวัตถุ
บางทีอาจกล่าวได้ว่ามันพบสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุบางอย่างข้างในถุง
“หรือว่าจะเป็น…..” คำตอบลอยขึ้นมาในหัว แต่ขณะเดียวกันนั้น นัยน์ตาเขาก็ฉายแววเศร้าโศก
การล่าสังหารในตอนนั้นของสี่มหาโลกแท้จริง ซูหมิงไม่ใช่คนใจกว้างเลย รางวัลจากขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงบีบให้เขาเข้าแดนประหลาด ทุกอย่างนี้…ตอนนั้นเขาสาบานว่าจะต้องเอาคืนหลายเท่า
ทว่า…เขายังมีเรื่องสำคัญกว่า เรื่องนี้สำคัญกว่าการแก้แค้นสี่มหาโลกแท้จริงมากยิ่งนัก ดังนั้นก่อนนี้เขาจึงไม่คิดจะสนใจพวกข่งหวน
เขาลูบถุงเก็บวัตถุเบาๆ ในถุงเก็บวัตถุนั้นมีกระเรียนขนร่วงที่กำลังหลับใหลอยู่
มัน…กำลังค่อยๆ สลายหายไป ประหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนคืนได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นไม่ชัดนักในแดนประหลาด ทว่าเมื่อเดินออกมาภายนอกกลับรวดเร็วขึ้นหลายเท่า
ซูหมิงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะตน กระเรียนขนร่วงคงไม่เป็นแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะตนอยากยึดร่างให้สำเร็จ มันก็คงไม่เผาวิญญาณตัวเอง ตอนนี้มันใกล้จะตายแล้ว
กระทั่งเขายังไม่กล้าเอากระเรียนขนร่วงออกจากถุงเก็บวัตถุ เขากังวลว่า….ตอนที่เอาออกมามันจะหายไปในพริบตา จากนี้ไปในจักรวาลจะไม่มีกระเรียนขนร่วงอีก ไม่มีมันที่ชอบความมั่งคั่งดุจชีวิต แต่กลับมาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเป็นเพื่อนเขา และมีความลับมากมายอีก
‘ดูท่าในขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงจะมีเสียงแตกกันอยู่ มีบางคนสนใจข้า…บางคนสนใจมัน’ จิตสังหารเข้ามาแทนความเศร้าในแววตา ซูหมิงเป็นคนถือหางพรรคพวกตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้เขามองข่งหวนพลางแค่นเสียงเย็นชา
ตอนนี้เอง ข่งหวนเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เขาเสียสติไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนที่อ้าปากก็มีน้ำลายไหลลงมาจำนวนมาก คำรามด้วยความโกรธใส่ซูหมิง ก่อนพุ่งเข้ามาคล้ายกับนกยูงคลุ้มคลั่งด้วยความเร็วรี่
‘ไม่อยากเชื่อว่าขั้นพลังจะพุ่งขึ้นมาเกือบถึงจุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ทว่า….ก็ยังไม่พอ’ ซูหมิงยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า ฉับพลันนั้นอักขระหมื่นตัวรอบๆ ก็รวมเข้าไปยังข่งหวน ตอนที่ข่งหวนอยู่ห่างจากซูหมิงหลายสิบจั้ง อักขระก็ปกคลุมทั้งร่างแล้วก่อตัวเป็นเหมือนกับหลุมศพ
“อักขระพลังใต้ภพ…คือหลุมศพ”
โครม!
หลุมศพจากตัวอักขระฝังร่างข่งหวนจนกลายเป็นศิลาหิน พร้อมกันนั้นก็มีเส้นสีดำลอยออกมา แต่ลอยไปไม่ไกลนักก็ถูกซูหมิงคว้าเอาไว้ และยังมีเส้นสีดำอีกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา เส้นสีดำนี้คือเส้นเมื่อครู่ที่กำลังจะหนีไปแต่เขาใช้อักขระขวางไว้ แล้วนำมาอยู่ในมือ
เส้นสีดำสองเส้นกำลังดิ้นรนอยู่ในมือเขา เหมือนพยายามจะบินออกไป แต่กลับไม่อาจหลุดจากผนึกอักขระต้นกำเนิดจิตรอบๆ ได้ ซูหมิงมองเส้นสีดำ ดวงตาสองข้างแวววาว หลังกำมือแล้วก็เกิดเสียงดังปังในฝ่ามือ
ตอนที่ซูหมิงแบมือออก เส้นสีดำหายไป มีเพียงขนนกสีดำอันหนึ่งเหลือไว้ มันส่องแสงอ่อนๆ บนขนนกมีคราบโลหิตแห้งอยู่เล็กน้อย กำลังแผ่กระจายกลิ่นอายโบราณ
ทันทีที่เขาสังเกตเห็นกลิ่นอายพลังนี้ ใจก็สั่นสะท้าน
‘นี่มัน…..กลิ่นอายพลังของกระเรียนขนร่วง!’ ซูหมิงเริ่มขมวดคิ้วทีละน้อย ดูเหมือนกำลังใคร่ครวญ
‘คนที่สั่งให้ข่งหวนเอาขนนกนี้มาที่นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ หนึ่งเส้นสีดำในสองเส้นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังจะหนีไปแจ้งข่าว แต่ถูกข้าขวางเอาไว้ คนนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องที่นี่ในเร็วๆ นี้แน่
ทว่าเขาคิดอะไรกันแน่ หากคิดไม่ดีกับกระเรียนขนร่วง เหตุใดถึงส่งขนนกนี้มา หากจะคืนให้ เหตุใดเมื่อครู่ถึงลงมือกับข้า’ ซูหมิงเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาขวาเขาขยับประกาย อักขระที่มีพลังต้นกำเนิดจิตรอบๆ ทุกตัวพลันปกคลุมร่างเขา ก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในผิวหนังและเข้าสู่ร่างกายทันที
ซูหมิงหลับตาลง รอบตัวเขาในตอนนี้ไม่มีแสงสว่าง กระทั่งกลิ่นอายพลังตัวเขายังหายไป ราวกับไม่มีอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว
แต่ในร่างกายยามนี้กลับเหมือนกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำรุนแรง อักขระทั้งหมดคล้ายกับตาข่ายใหญ่หดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งตอนนี้ร่างกายเขากลายเป็นน้ำทะเล ส่วนอักขระต้นกำเนิดจิตเป็นตาข่ายที่ปกคลุมได้ทั้งทะเล
การหดตัวของตาข่ายในร่างกายเหมือนกับชาวประมงธรรมดาคนหนึ่งกำลังจับปลา เพียงแต่ว่าซูหมิงไม่ได้จับปลา แต่เป็น…ความทรงจำ
ความทรงจำนี้คือภาพเหตุการณ์บนดาวแดงเพลิง
‘อักขระต้นกำเนิดจิตเป็นผนึก ผนึก…รากความทรงจำบนดาวแดงเพลิง!’ ระหว่างที่ซูหมิงลืมตาขึ้น อักขระในร่างกายพลันกลายเป็นผนึก จากนั้นผนึกความทรงจำบนดาวแดงเพลิงไว้ทีละชั้น
ช่วงที่ความทรงจำถูกผนึก นัยน์ตาเขาขยับประกายแสงหม่น เขารู้สึกรางๆ ว่ามีเส้นไร้รูปเส้นหนึ่งขาดไปในช่วงที่ความทรงจำถูกผนึก
‘ที่สี่มหาโลกแท้จริงล่าสังหารข้าในตอนนั้นได้ จริงๆ แล้วอาศัยความทรงจำของบางคนบนดาวแดงเพลิงที่มีต่อข้า แล้วใช้มันแสดงอภินิหารวิชา สุดท้ายก็กลายเป็นไข่มุกโลหิต
ข้าในตอนนั้นไม่เข้าใจ คลำหาไม่เจอ แต่ด้วยต้นกำเนิดจิตในตอนนี้…..วิชาไข่มุกโลหิตนั่นจะไม่มีผลไปชั่วคราว หากอยากให้มันไร้ผลจริงๆ ก็ต้องลบความทรงจำของบางคนบนดาวแดงเพลิงที่มีต่อข้าทิ้งไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สี่มหาโลกแท้จริงก็จะตามหาข้าไม่เจอ และจะไม่รู้ว่าข้า…ออกจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพาแล้ว’ ตอนที่ซูหมิงเดินออกมาจากแดนแผ่นศิลาแสนอัน เขาใช้วิชาแห่งผนึกลบร่องรอยของตัวเอง เวลานี้หลังออกมาแล้วก็ใช้อีกครั้ง ทำให้มันมีผลอย่างถึงที่สุด และเขาเองก็วางใจอย่างเต็มที่ด้วย
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ซูหมิงก้มหน้ามองถุงเก็บวัตถุของตน ครู่ต่อมาก็มีสีหน้าเด็ดขาด ยามยกมือขวาขึ้นปรากฏภาพสัญลักษณ์ของชื่อหั่วโหวขึ้นบนแขน ก่อนที่ขั้นพลังในร่างกายจะพุ่งไปทางนั้น
ภาพสัญลักษณ์บนแขนขวาส่องสว่างในทันที ระหว่างที่แสงหม่นขยับวูบวาบ ภาพสัญลักษณ์ก็ค่อยๆ หายไปบนแขนเขา ทว่าจังหวะที่หายไปก็ปรากฏร่างเงาชื่อหั่วโหวขึ้นมาตรงหน้า คล้ายกับว่าเขาลืมตาตื่นจากการหลับใหลมาพันปีแล้ว ตอนที่มองซูหมิงเขายังมีสีหน้าสับสนด้วย
ทว่าสับสนไม่กี่ลมหายใจก็กลายเป็นตื่นตะลึง ชื่อหั่วโหวอึ้งมองซูหมิง เขาสังเกตเห็นทันทีว่าภัยพิบัติเงากลืนนภาในร่างกายซูหมิงบรรลุถึงภัยพิบัติที่ห้าแล้ว!
หนำซ้ำขั้นพลังยังบรรลุเกือบถึงจุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนกลาง นี่ยังเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือเขารู้สึกถึงอันตรายจากซูหมิง อันตรายนี้คือกลิ่นอายพลังที่อยู่เหนือกว่าทุกสิ่งมีชีวิต ตอนนี้กลิ่นอายพลังยังเบาบางอยู่
แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้เขาตื่นตกใจแล้ว หากเติบใหญ่ขึ้น เกรงว่าเพียงความคิดเดียวก็ทำให้เขาสลายหายไปได้ ความรู้สึกนี้ทำให้เขาใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ทว่าชื่อหั่วโหวคิดผิดแล้ว หากกลิ่นอายพลังต้นกำเนิดจิตในร่างกายซูหมิงเติบโตขึ้นจริงๆ หนึ่งความคิดจะไม่ได้ทำลายล้างเพียงชื่อหั่วโหว แต่เป็น…ทั้งจักรวาล
นี่ก็คือหนึ่งความคิดฟ้าสูญสลาย
“เจ้า…ผ่านไปกี่ปีแล้ว?” ถึงอย่างไรชื่อหั่วโหวก็อยู่มานานไม่รู้กี่ปี ถึงเขาจะตื่นตะลึง สิ่งแรกที่ถามมากลับเป็นจุดสำคัญเลย
หากซูหมิงบอกเขาว่าผ่านไปแสนปีหรือนานกว่านั้น ทุกอย่างก็จะมีคำตอบ กลับกันหากตอบเพียงหลายร้อยหรือหลายพันปี เช่นนั้นในช่วงเวลานี้ซูหมิงจะต้องได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่เหนือจินตนาการมาอย่างแน่นอน
“อีกเดี๋ยวข้าจะบอกผู้อาวุโสชื่อหั่ว ตอนนี้ผู้อาวุโสช่วยตอบข้าด้วยว่ากระเรียนขนร่วงมีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”