ตอนที่ 857 เจ้านายของเยวี่ยหงปัง
เยวี่ยหงปังถอนหายใจแล้วหลับตาลงอีกครั้ง เขารู้ว่าการทรมานจะหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะให้ตนตาย เพราะตัวเขาที่ตายไปจะไม่มีความลับอะไรอีก
ทว่านอกจากนี้แล้วก็ไม่มีวิธีใดๆ พูดออกไปก็ตาย หากไม่พูดก็ยังรอด เพียงแต่การใช้ชีวิตอย่างทรมานนี้ทำให้จิตใจตั้งมั่นของเขาหย่อนยาน
ชั่วขณะที่เขาหลับตาลง ทันใดนั้นก็มีเสียงราบเรียบแว่วมาจากในถ้ำ
“ในตัวเจ้ามีความลับอะไรกันแน่?”
เยวี่ยหงปังเงียบลงทันที ไม่สนใจสิ่งใด เขาคิดว่าอีกฝ่ายมาอีกแล้ว ทว่าทันใดนั้นก็พลันตัวสั่นสะท้าน เพราะเสียงนี้ไม่ใช่ของชายหนุ่มคนนั้น แต่เป็นของใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ในความทรงจำ
ชั่วขณะที่เยวี่ยหงปังตัวสั่น เสียงก็ดังแว่วมาอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเจ้าปกครองโลกแล้ว น่ายินดีจริงๆ”
เยวี่ยหงปังตัวสั่น พลันลืมตาขึ้นมอง เห็นชายหนุ่มเสื้อคลุมขาวยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มมีเส้นผมสีเทา ใบหน้าหล่อเหลา ทว่ามีความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชนที่อำพรางไม่มิดอยู่ กำลังมองมาที่ตนอย่างสงบนิ่ง
“นะ…นายท่าน?” เยวี่ยหงปังตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายและสีหน้าเหมือนกับคนในความทรงจำทุกประการ
เขายังมั่นใจอีกว่านี่ไม่ใช่ภาพหลอน แต่เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายถูกบีบให้เข้าไปในแดนประหลาดวงแหวนบูรพาเมื่อพันปีก่อน หนำซ้ำแดนประหลาดที่ว่าก็มีน้อยคนมากนักที่จะรอดออกมาได้
“เห็นแก่มิตรภาพระหว่างเราในตอนนั้น” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ ก่อนจะยกมือขวาสะบัดไปทางเยวี่ยหงปัง ฉับพลันนั้นโซ่เหล็กตรงสองมือเยวี่ยหงปังเกิดเสียงกึกๆ และแตกเป็นชิ้นๆ ยังไม่ทันร่วงหล่นก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไป
กระทั่งน้ำขังที่แช่เยวี่ยหงปังอยู่ยังแห้งลงในพริบตา เผยให้เห็นร่างกายไม่ใช่สภาพคนของเยวี่ยหงปัง
เขามองร่างน่าอนาถของเยวี่ยหงปังแวบหนึ่ง แม้สีหน้ายังเป็นปกติ ในใจกลับแค่นเสียงหึเย็นชา เยวี่ยหงปังเป็นคนมีสติปัญญาสูงมาก เชี่ยวชาญการฉวยโอกาส รู้จักรุกและถอย
คนแบบนี้บางทีอาจเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ตอนนั้นคารวะตนเป็นเจ้านายก็เพื่อให้ได้รับการคุ้มกัน กระทั่งวางแผนสังหารสหายส่วนใหญ่ไปทีละคนอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่เสียใจ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ความลับที่ว่าตนเป็นผู้มาเยือนในยุคสมัยแรก
แบบนี้เขาก็จะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของซูหมิง และเหลือทางเอาไว้สายหนึ่งเพื่อจะได้คารวะซูหมิงเป็นเจ้านายในภายภาคหน้า ถึงขั้นมอบของวิเศษช่วยชีวิตให้อย่างไม่เสียดายเพื่อให้ซูหมิงไว้ใจ และแสดงถึงความแน่วแน่
คนที่ทะเยอทะยานแบบนี้มักจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของปุถุชน ทว่าคนที่ไม่ชอบก็เป็นเพราะไม่อาจหยุดยั้งคนคนนี้ได้ ฉะนั้นใจจึงเกิดความริษยา ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้มีคนแบบนี้อยู่ข้างกาย เพราะมักจะรู้สึกว่ามีอำนาจคุกคามซ่อนอยู่
ทว่าในสายตาซูหมิง ตอนนั้นที่อีกฝ่ายติดตามตนก็เชื่อฟังอย่างดี อีกอย่างต่อให้ตนไปแล้ว จากจำนวนหินสีฟ้าเหล่านั้นจะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของตนอีกหลายร้อยปี จนกระทั่งถูกจับตัวมาอยู่ที่นี่ถึงได้หยุดไป ดังนั้นไม่ว่าคนผู้นี้จะมีนิสัยอย่างไร ทะเยอทะยานก็ดี ต่ำทรามก็ดี ทว่าเขาเชื่อฟังก็พอแล้ว อีกอย่างคนที่เชื่อฟังยังมาถูกทรมานเช่นนี้อีก ถึงแม้การปฏิบัติหน้าที่มาหลายร้อยปีไม่ได้ทำให้ซูหมิงเห็นใจและสงสาร แต่เขาก็มีความรู้สึกว่าต้องเข้าข้างอีกฝ่าย
“คนของข้า ไม่ใช่ว่าใครคิดจะทำร้ายก็ทำร้ายได้” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ สะบัดมือขวาไปทางเยวี่ยหงปังอีกครั้ง
ทางฝั่งเยวี่ยหงปังพลันรู้สึกว่ามีพลังชีวิตหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกาย กายเนื้อเขาเติบโตขึ้นในพริบตา ระหว่างนั้นเขาก็เห็นว่าร่างกายตนฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ กระทั่งขั้นพลังยังพัฒนาอีกไม่น้อย กลิ่นอายพลังระดับเจ้าปกครองโลกตอนต้นปะทุมาจากกาย
เยวี่ยหงปังก้มหน้ามองร่างกายตัวเองพลางกำหมัดแน่น ความรู้สึกที่ได้ครอบครองพลังผุดขึ้นในใจอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เคยรู้สึกแกร่งแบบนี้มาก่อน ความสุขสบายจากพลังชีวิตที่ไหลเวียนทั่วร่างขัดแย้งกันอย่างเด่นชัดกับการทรมานหลายร้อยปี ทำให้เขาแทบอดใจไม่ไหว อยากเงยหน้าคำราม
เขามองซูหมิงด้วยความฮึกเหิม ทว่าสีหน้ากับความตื่นตะลึงตรงส่วนลึกในใจกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ภายในใจเขา ระดับความแกร่งของซูหมิงทำให้เขาหวาดกลัว เพียงสะบัดมือก็ช่วยให้ตนฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ อีกอย่างการสังหารง่ายกว่าการฟื้นฟูมาก ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าหากอีกฝ่ายคิดจะสังหารตนก็เพียงแค่สะบัดมือเท่านั้น
“ขอบคุณนายท่านมากที่ช่วยชีวิต!” เยวี่ยหงปังคุกเข่าลงตรงหน้าซูหมิงอย่างไม่ลังเล ทำสีหน้าตื่นเต้นเพื่อให้ซูหมิงเห็น ร่างกายสั่นเทาก็เพื่อบ่งบอกถึงความเคารพยำเกรงต่อซูหมิงที่ระงับไม่อยู่ในใจ
“ข้าได้ยินว่ามีคนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิด เจ้าตามข้าไปดูหน่อยเถอะ”
ซูหมิงกล่าวราบเรียบแล้วหมุนตัวเดินออกจากถ้ำไป เยวี่ยหงปังรีบตามอยู่ด้านหลัง หัวใจเขาเต้นระรัวยิ่งขึ้น เขาเข้าใจความหมายของซูหมิง ความปรารถนาอย่างแรงกล้าอบอวลอยู่ในใจ ในที่สุดการทรมานหลายร้อยปีก็ถึงเวลาเอาคืนเสียที
‘จ้าวกว่างโหย่ว เจ้าไม่รอดจากงานวันเกิดครั้งนี้แน่!’
เทือกเขาสูงต่ำสลับขึ้นลง ตรงจุดที่ห่างจากยอดเขาที่ขังเยวี่ยหงปังไม่ไกลนัก ยามนี้กลางเทือกเขาแห่งนี้มีเสียงคนดังเกรียวกราว ผู้ฝึกฌานบนดาวแดงเพลิงจำนวนไม่น้อยเดินทางมาที่นี่เพื่อรออวยพรในงานวันเกิดอีกสามวันให้หลัง
นี่คืองานวันเกิดของผู้แข็งแกร่งที่สุดบนดาวแดงเพลิง คนผู้นี้มาดาวแดงเพลิงอย่างกะทันหันเมื่อพันปีก่อน เขากำราบเหมยหลันด้วยขั้นพลังจุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนต้น และยังผนึกเยวี่ยหงปังเจ้าปกครองโลกที่เพิ่งบรรลุคนใหม่ในตอนนั้น หลังจากเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ยึดครองที่นี่ ก่อนจะสร้างเป็นสำนักของตน
จากนั้นมา ที่นี่ก็แทบจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของดาวแดงเพลิง
เวลานี้ กลางเทือกเขาของสำนักแห่งนี้ ซูหมิงกำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนขั้นบันไดซึ่งมุ่งหน้าไปยังยอดเขา เขาเดินไปพลางมองฟ้าขมุกขมัว มองเทือกเขาไกลๆ สีหน้าเหมือนปกติ
เยวี่ยหงปังเดิมก้มหน้าอยู่ด้านหลังซูหมิง สีหน้าเคารพอย่างยิ่ง
สองคนนี้เดินไม่เร็ว ระหว่างทางยังเจอผู้ฝึกฌานกำลังนั่งฌานอยู่รอบๆ ไม่น้อย ผู้ฝึกฌานเหล่านี้อยู่ทุกจุดของเทือกเขา กำลังรองานวันเกิดในอีกสามวันให้หลัง
หลังจากซูหมิงกับเยวี่ยหงปังเดินไป ก็มีผู้ฝึกฌานที่กำลังนั่งฌานอยู่หลายคนสนทนากันเสียงเบา ทว่ามีหนึ่งคนในนั้นกวาดสายตามองมาตามอำเภอใจ และเห็นเยวี่ยหงปังด้านหลังซูหมิงเข้า เขากลับตะลึงงันโดยทันที
จนกระทั่งซูหมิงกับเยวี่ยหงปังเดินจากไปไกล เขาถึงเพิ่งจะหลุดเสียงออกมา
“ยะ…เยวี่ยหงปัง คนเมื่อครู่นั่นคือเยวี่ยหงปัง!”
“อะไรนะ เยวี่ยหงปังหรือ? ไม่ใช่ว่าเขาถูกท่านจ้าวกว่างโหย่วผนึกไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนหรอกรึ!”
สิ้นเสียงคนนี้ ผู้ฝึกฌานข้างๆ แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่พากันมองไป เห็นเพียงเงาแผ่นหลังซูหมิงกับเยวี่ยหงปัง
ไม่นานก็เริ่มมีคนสังเกตเห็นสองคนที่กำลังเดินหน้าไปสู่ยอดเขาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างไรเยวี่ยหงปังก็เป็นคนดาวแดงเพลิง เวลาหลายร้อยปีคงยากจะมีใครลืมเขา จากนั้นก็เริ่มเกิดเสียงดังเกรียวกราวจนกลายเป็นเสียงดังอื้ออึง หลังจากมีการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนรู้เรื่องนี้เยอะขึ้น
“เป็นเยวี่ยหงปังจริงๆ ทว่า…คนตรงหน้าเขาคือใครกัน?”
“ดูจากท่าทางเยวี่ยหงปังแล้วเหมือนจะเคารพคนตรงหน้าอย่างยิ่ง คนนี้…เหตุใดถึงดูคุ้นๆ ตา”
“ข้าเองก็คุ้นๆ ตาเหมือนกัน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด…ทว่าทำให้เยวี่ยหงปังเคารพเช่นนี้ได้ คนผู้นี้…อ๊า ข้านึกออกแล้ว!”
“โม่ซู เขาคือ…โม่ซู!”
ชั่ววินาทีนี้คนทั้งเทือกเขาพลันส่งเสียงดังสนั่นเมื่อสิ้นคำว่าโม่ซู ความตื่นตะลึงจากใจและกายทำให้ทันทีที่ในความคิดทุกคนมีคำว่าโม่ซูลอยขึ้นมา พวกเขาต่างนึกไปถึงภาพเมื่อพันปีก่อนและเหตุการณ์ต่างๆ ของทั้งเขตดาราวงแหวนบูรพา
“จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ท่านโม่ซูเป็นเจ้านายของเยวี่ยหงปัง ท่านจ้าวกว่างโหย่วขังเยวี่ยหงปังมาหลายร้อยปี ตอนนี้ท่านโม่ซูกลับมาแล้ว จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากแน่ๆ!”
“ไม่นึกเลยว่าท่านโม่ซูจะออกมาจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพาได้ เรื่องนี้มัน…จะต้องสั่นคลอนขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงอย่างแน่นอน และจะต้องเกิดมหันตภัยใหม่ขึ้น!”
สายรุ้งยาวหลายสายบินตามซูหมิงกับเยวี่ยหงปังขึ้นไปบนยอดเขา ทว่ากลับไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป ในความทรงจำพวกเขา โม่ซูเมื่อพันปีก่อนสังหารคนมานับไม่ถ้วน เล่าลือว่าที่ใดที่เขาผ่าน ดาวดวงนั้นจะระเบิดกระจุย ผู้ฝึกฌานบนดาวนั้นไม่มีใครรอด
เวลานี้ ณ ยอดเขาสูงสุดของเขาลูกนี้ กลางวิหารใหญ่ที่สร้างจากหินหลังหนึ่ง
จ้าวกว้างโหย่วหรือผู้แข็งแกร่งที่สุดบนดาวแดงเพลิงกำลังนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าตัดสลับขาว รูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน ทว่าใบหน้ากลับมีจุดเล็กๆ อยู่เต็ม ดูแล้วอัปลักษณ์เล็กน้อย ตอนนี้เขากำลังมองชายหนุ่มแปดคนตรงหน้า
แปดคนนี้คือศิษย์ที่เขารับมาบนดาวแดงเพลิง ทุกคนล้วนมีใบหน้าเหล่อเหลา จ้าวกว่างโหย่วมองแปดคนนี้ ในส่วนลึกดวงตาฉายแววประหลาด
“อาจารย์ คนที่มาอวยพรมีเกินกว่าสามพันคนแล้ว อีกอย่างยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั้งดาวแดงเพลิง ศิษย์ขออวยพรล่วงหน้าให้อาจารย์อายุยืนยาวหมื่นๆ ปี”
ครั้นเหล่าลูกศิษย์อวยพรเสร็จแล้ว จ้าวกว่างโหยว่ก็หัวเราะเสียงดัง เขากวาดสายตาไปมองคนสุดท้ายในแปดคน
“เยวี่ยหงปังพูดรึยัง?”
“เรียนอาจารย์ อีกฝ่าย…ยังไม่ยอมพูด เป็นศิษย์ที่ไร้ความสามารถเอง” ชายหนุ่มที่จ้าวกว่างโหย่วมองก้มหน้ากล่าว เขาก็คือชายหนุ่มคนที่ไปหาเยวี่ยหงปังก่อนหน้านี้
ช่วงที่เขากล่าวประโยคเหล่านี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเกรียวกราวและเสียงระเบิดแว่วมาจากนอกวิหารใหญ่ ดังสนั่นอย่างยิ่ง
เสียงเอะอะโวยวายทำให้จ้าวกว่างโหย่วขมวดคิ้ว
“ข้างนอก…” จ้าวกว่างโหยว่ยังกล่าวไม่จบ ฉับพลันนั้นก็มีเสียงระเบิดดังมาจากนอกวิหาร สั่นสะเทือนพื้นดิน พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบแว่วเข้ามา
“จ้าวกว่างโหย่ว ข้าไม่มีวันลืมสิ่งที่เจ้าทำกับแซ่เยวี่ยมาหลายร้อยปี วันนี้เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าพักเอาไว้ก่อน เจ้านายข้ามาแล้ว เจ้ายังไม่รีบออกมาคารวะอีก!”
นี่เป็นเสียงเยวี่ยหงปัง ชายหนุ่มแปดคนในวิหารใหญ่หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน ส่วนจ้าวกว่างโหย่วแค่นเสียงเย็นชา
“เจ้านายของเจ้า? แซ่จ้าวไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ามีเจ้านายตั้งแต่เมื่อไร!” จ้าวกว่างโหย่วก้าวเดินแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาว ขณะกำลังจะบินออกจากวิหารใหญ่ เขาพลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง และนึกถึงเจ้านายที่เยวี่ยหงปังเอ่ยถึงเมื่อครู่ทันที
ตามความเข้าใจของเขา ในโลกนี้เยวี่ยหงปังมีเจ้านายเพียงคนเดียว นั่นคือ…โม่ซู คนที่ตอนนั้นเขาเข้าร่วมการล่าสังหารด้วย ทว่าอีกฝ่ายกลับสังหารคนอื่นจนเขาตกใจกลัวหนีไป หนำซ้ำสี่มหาโลกแท้จริงยังตั้งค่าหัวไว้อีกด้วย