Skip to content

สู่วิถีอสุรา 856

ตอนที่ 856 กลับดาวแดงเพลิงอีกครั้ง

ฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ มองไปไร้พรมแดน มีสีสันมันวาวซ้ำไปซ้ำมา หากมองไม่นานก็รู้สึกว่าสวยงามอยู่บ้าง ทว่าหากมองนานๆ จะเกิดความรู้สึกสับสนในใจ มีความรู้สึกไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด

ความเล็กจ้อยของตัวเองกับความกว้างใหญ่ของฟ้ากระจ่างดาวมักจะสร้างเป็นแรงกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงให้กับผู้คน

ตอนนี้ภายในฟ้ากระจ่างดาววงแหวนบูรพามีสายรุ้งยาวสายหนึ่งกำลังห้อเหยียดอยู่ สายรุ้งนี้แทบจะมองเห็นไม่ชัด เพราะสีของมันเป็นสีดำคล้ายกับผืนฟ้า

สายรุ้งยาวนั้นเป็นแสงหม่น จะเห็นรางๆ ว่าแสงหม่นเหมือนกับกระเรียนสีดำตัวหนึ่ง มันมีสีหน้าลำพองใจ แววตาไร้ศีลธรรม นอกจากกระเรียนขนร่วงแล้ว ในจักรวาลนี้ก็คงไม่มีกระเรียนแบบนี้อีก

ภายในแสงหม่นมีโลงศพสีแดงโลงหนึ่ง บนโลงมีอักขระเว้านูนและยังแผ่กระจายแรงกดดันแก่กล้า ส่วนซูหมิงนั่งฌานสมาธิอยู่ข้างบน

ชื่อหั่วโหวอยู่ข้างๆ เหมือนกับคนรับใช้เก่าแก่ เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เฉยเมยต่อทุกอย่าง

นี่คือวันที่สิบหกหลังจากที่พวกเขาออกจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพา

ในสิบหกวันนี้ บางทีอาจเป็นเพราะในช่วงนี้มีข่าวว่าผู้กุมชะตาเกิดดับต่อสู้กับซูหมิง ทำให้เขตดาราวงแหวนบูรพาสั่นสะเทือนไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นผู้ฝึกฌานในเขตดารานี้จึงพากันหวาดกลัวและไม่กล้าออกจากดาวกันง่ายๆ ทำให้สิบหกวันนี้ จุดที่ซูหมิงผ่านจะเงียบอย่างยิ่ง

เขาชอบความเงียบแบบนี้

เขตดาราวงแหวนบูรพาห่างจากดาวทมิฬค่อนข้างไกล ระยะทางแบบนี้ นอกจากจะให้ร่างแยกเอ้อชางออกมา มิเช่นนั้นแล้วด้วยความเร็วของเขาคงไม่มีทางไปถึงในเวลาอันสั้น

ทว่าดีที่หลังจากกระเรียนขนร่วงตื่นขึ้น วงแหวนอาคมผนึกจิตเปิดแล้ว จึงอาศัยวงแหวนอาคมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นมาก

ตามการคาดเดาของซูหมิง ราวๆ หกปีเขาน่าจะเห็นดาวทมิฬ

เพียงแต่ว่าก่อนจากไป เขายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ หลังแก้ไขเรื่องนี้แล้ว เขาก็จะไม่มีอุปสรรคมากเกินไปอีกในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา

เวลาผ่านไปอีกสามวัน วันที่สิบเก้าหลังออกจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพา ซูหมิงที่นั่งฌานอยู่บนโลงศพค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ทันทีที่ลืมตา กลางฟ้ากระจ่างดาวตรงหน้ามีดาวดวงหนึ่ง มันเป็นสีแดงทึบ ประหนึ่งว่ามีเปลวเพลิงลุกโชตช่วงไปจนสุดปลายและใกล้จะมอดดับ

“ดาวแดงเพลิง…..” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา

“ดาวแดงเพลิง….กลับมาที่นี่อีกครั้งแล้ว” ชื่อหั่วโหวข้างๆ มีสีหน้าค่อนข้างปลงอนิจจัง ผ่านไปพันกว่าปี พอนึกถึงภาพในวันวานเขาก็มีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย

ร่างเงากระเรียนขนร่วงค่อยๆ หดเล็กลง ช่วงที่โลงศพไม้สีแดงเข้าไปใกล้ดาวแดงเพลิง มันก็กลับมามีขนาดปกติ แล้วยื่นหน้าออกไปข้างนอก

โครม!

โลงศพสีแดงพุ่งไปยังดาวแดงเพลิงทันที ทันทีที่สัมผัสกับชั้นบรรยากาศดาวนี้ ก็เกิดทะเลเพลิงจากการเสียดสีกระจายเป็นลักษณะโค้งตรงหน้าโลงศพ

สายลมร้อนระอุรุนแรงโชยเข้ามา สายลมนี้มากพอจะทำลายล้างผู้ฝึกฌานระดับฟ้าทุกคน กระทั่งหากเป็นเจ้าปกครองโลกตอนต้นธรรมดาก็ต้องเอาของวิเศษออกมาป้องกัน จะให้สัมผัสกับร่างกายไม่ได้ ทว่าซูหมิงกลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายลมร้อนพัดผ่านตัวเขา พัดผ่านเส้นผม แต่กลับทำอันตรายตัวเขาไม่ได้แม้แต่น้อย

เขามองพื้นดินที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ มองซอกเทือกเขาต่างๆ พร้อมกันนั้นที่ราบและภูเขาไฟก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในสายตา

จนกระทั่งตอนที่เกิดเสียงครึกโครมดังกึกก้อง โลงศพทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศ สายลมร้อนอ่อนลงไม่น้อยโดยพลัน แต่ก็ยังอยู่ เพียงแต่ว่าทำอันตรายผู้ฝึกฌานไม่ได้แล้ว แค่ทำให้รู้สึกไม่ชินเท่านั้น

ได้กลิ่นไอร้อนคุ้นเคย มองแผ่นดินคุ้นตา ซูหมิงก็อดนึกถึงภาพตัวเองตอนที่เพิ่งมาโผล่ตัวบนดาวแดงเพลิงเมื่อพันปีก่อนไม่ได้

เขาถอนหายใจเบา ร่างกายแผ่ระลอกคลื่นขณะอยู่กลางอากาศ แม้แต่โลงศพยังหายไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย เขามาปรากฏตัวอีกทีคืออยู่บนแผ่นดินแห้ง โดยรอบเป็นพื้นที่กว้าง ไม่มีคน เห็นได้ชัดว่าที่นี่ค่อนข้างกันดาร

เขามองพื้นดิน ที่นี่ก็คือจุดที่เขานอนอยู่หลังจากถูกเคลื่อนย้ายมาจากแดนมรณะหยิน และก็เป็นที่นี่ที่เขาเจอเยวี่ยหงปัง

เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ขณะกำลังจะจากไปนั้น เขาก็เห็นกระเรียนขนร่วงกำลังขุดดินอยู่ข้างๆ เขาจำได้ว่าตรงนั้นเป็นจุดที่กระเรียนขนร่วงแปลงกลายเป็นหิน พอมองไปก็เห็นว่ามันขุดเป็นโพรงเล็กๆ ก่อนหยิบหินผลึกสามก้อนขึ้นมา

“เฮอะๆ ยังอยู่จริงๆ ด้วย ท่านกระเรียนผู้นี้ฉลาดจริงๆ ตอนนั้นที่ซ่อนหินผลึกเอาไว้สามก้อนที่นี่ก็เพื่อกันเอาไว้ แต่ในเมื่อผ่านทางมาที่นี่ก็เอาพวกมันไปด้วยแล้วกัน

อืม จะเอาหินผลึกที่ซ่อนไว้ทั้งหมดไปดีหรือไม่นา…..” สีหน้าลำพองใจและท่าทางการเก็บหินผลึกอย่างตื่นเต้น โดยเฉพาะคำพูดพึมพำของมัน ทำให้ซูหมิงเข้าใจความมั่งคั่งของกระเรียนขนร่วงลึกซึ้งขึ้นไปอีก

เขาไม่สนใจกระเรียนขนร่วงอีก แต่มองชื่อหั่วโหวแวบหนึ่ง ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังมองแผ่นดินด้วยสีหน้าหวนคะนึงคิด ซูหมิงที่รู้ความคิดชื่อหั่วโหวจึงส่งกระแสจิตไปหาอีกฝ่าย

ชื่อหั่วโหวเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง ประสานมือคารวะแล้วหมุนตัวหายไป มุ่งหน้าไปยังแดนผนึกตัวเขาในอดีต

คล้อยหลังชื่อหั่วโหว ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวจากไปเช่นกัน เหลือเพียงกระเรียนขนร่วงที่ยังตรึกตรองอยู่ว่าจะเอาหินผลึกไปทั้งหมดดีหรือไม่

ตอนที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งก็มายืนอยู่นอกภูเขาเล็ก สายตามองภูเขาเล็กตรงหน้า มันคือถ้ำแห่งหนึ่ง นอกถ้ำวางหินสีฟ้านับไม่ถ้วน มองไปสุดลูกหูลูกตา

เพียงแต่ที่นี่มีฝุ่นปลิวว่อนและไม่มีคนมานานมากแล้ว ถ้ำก็เปลี่ยวร้าง ถูกคนทำลายจากภายใน มองไปเหมือนภูเขา แต่ความจริงมีหลุมเต็มไปหมด

มิเช่นนั้นแล้ว รกร้างมานานขนาดนี้จะต้องถูกใครยึดครองอย่างแน่นอน

ที่นี่คือถ้ำของฉีเป่ยซานในอดีต หินสีฟ้าเหล่านี้คือวัตถุที่เขาให้เยวี่งหงปังรวบรวมมาเมื่อพันปีก่อน

‘หินสีฟ้าเยอะขนาดนี้ เกรงว่าคงรวบรวมมานานกว่าหลายร้อยปี ไม่รู้ว่าเยวี่ยหงปังจะเป็นอย่างไรบ้าง และหงส์งูเหลือมแดงยังอยู่หรือไม่…..’ ซูหมิงส่ายศีรษะพลางแผ่กระจายจิตสัมผัสปกคลุมทั้งดาวแดงเพลิง ครู่ต่อมาเขาหาร่องรอยหงส์งูเหลือมแดงไม่พบ

พวกมันจากไปแล้ว

ทว่าเขาเห็นเยวี่ยหงปัง

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของดาวแดงเพลิง กลางเทือกเขายาวเหยียดไม่มีสิ้นสุด มียอดเขาสูงตระหง่านอยู่ลูกหนึ่ง ยอดเขาเป็นสีแดงฉาน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยอดเขาธรรมดา แต่เป็นภูเขาไฟที่หินหนืดมอบดับไปแล้ว

ใต้ภูเขาไฟนี้ กลางหินหนืดแข็งตัวมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ภายในถ้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำเน่า สีของน้ำเป็นสีดำ และยังมีฟองโผล่ขึ้นมาราวกับกำลังเดือดปุดๆ

กลางน้ำท่วมขังมีชายร่างกำยำคนหนึ่งถูกแช่อยู่ น้ำท่วมถึงหน้าอก

สองมือถูกโซ่ทะลวงผ่าน ถูกแขวนเอาไว้กับหินหนืดสองข้าง พลังจากผนึกไหลผ่านโซ่เข้าสู่ตัวเขาอยู่ตลอดเวลาเพื่อระงับขั้นพลัง และยังเป็นการทรมานด้วยความเจ็บปวด

ชายร่างกำยำเส้นผมยุ่งเหยิง ร่างกายซูบผอม หน้าตาสกปรกมอมแมม เขากำลังหลับตา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเน่า และยังมีตัวอ่อนแมลงวันชอนไชอยู่ภายใน ตอนที่มองไปจะอดเกิดความรู้สึกขยะแขยงและตกใจไม่ได้

ไม่รู้ว่าเขาถูกแช่มากี่ปีแล้ว กระทั่งร่างในน้ำเน่ายังเน่าเปื่อยเป็นส่วนใหญ่ ทว่าพลังชีวิตกลับไม่หายไป แต่ยังคงอยู่เสี้ยวหนึ่งตลอด เห็นได้ว่ามีคนจงใจไม่ให้เขาตาย

ชายร่างกำยำแน่นิ่ง หากไม่ใช่เพราะมีพลังชีวิตเหลืออยู่คงถูกมองเป็นศพไปแล้วแน่ๆ ในตัวเขายังมีระลอกคลื่นพลังแผ่ออกมาเป็นบางครั้ง ระลอกคลื่นพลังนี้…..ไม่ใช่ระดับฟ้า แต่เป็น…..พลังแห่งโลก

เขาเป็นเจ้าปกครองโลกแล้ว!

ถึงจะเป็นเจ้าปกครองโลกตอนต้น ทว่ากลิ่นอายพลังก็ไม่ผิดแน่

เสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากโลกข้างนอก ครู่ต่อมาก็มีแสงตะเกียงเข้ามาใกล้ เห็นเป็นชายหนุ่มเสื้อคลุมดำคนหนึ่ง เขาวางตะเกียงไว้ข้างๆ แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกน้ำขัง สายตามองชายร่างกำยำที่ถูกผนึก

“เจ้าตัดสินใจได้รึยัง”

ชายร่างกำยำที่ถูกแขวนแน่นิ่ง ไม่กล่าวอะไร ยังคงหลับตาก้มหน้า

“คนคนนั้นหายตัวไปพันปี ตอนนี้ก็ยังไม่ออกจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพา เขาตายไปแล้ว คนตายแบบนี้ เหตุใดเจ้าต้องปกปิดความลับให้เขา

แค่บอกมา อาจารย์ข้าก็จะให้อิสระเจ้า กระทั่งด้วยขั้นพลังของผู้อาวุโส ถ้าไม่นับอาจารย์ข้า เจ้าก็จะได้เป็นหนึ่งในสามเจ้าปกครองโลกบนดาวแดงเพลิงที่เทียบเท่ากับผู้อาวุโสเหมยหลัน”

ชายร่างกำยำยังคงแน่นิ่งเหมือนตายไปแล้ว

“ต่อให้เขายังไม่ตายแล้วจะอย่างไร ถูกขังอยู่ในแดนประหลาดวงแหวนบูรพาแบบนั้นไม่มีทางออกมาได้แล้ว ถึงเขาจะออกมาก็มีขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงล่าสังหารอยู่ เขายังเอาตัวเองไม่รอดเลย เหตุใดเจ้าต้องปกปิดความลับให้เขา”

“พูดออกมา เหตุใดตอนนั้นโม่ซูถึงต้องรวบรวมหินสีฟ้าพวกนั้น พูดมา เขาสูบพลังจากหินสีฟ้าและทำให้ร่างกายแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร!

พูดออกมา แล้วเจ้าจะเป็นอิสระ หากไม่พูด เจ้าก็จงถูกผนึกอยู่ที่นี่เถอะ จงมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความตาย!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงต่ำใส่ชายร่างกำยำด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด

ศีรษะชายร่างกำยำขยับไหวเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เขาลืมตาขึ้น แววตามัวหมองจ้องชายหนุ่มตาเขม็ง

“อาจารย์เจ้าก็ค้นวิญญาณแซ่เยวี่ยไปแล้ว ในเมื่อไม่เจอคำตอบ ข้าก็คงไม่มีอะไรจะบอก” น้ำเสียงเขาแฝงไว้ด้วยความแค้นเข้ากระดูกและเล็ดรอดจากการขบฟัน ทำให้ที่นี่เย็นและอึมครึม

“หึ นั่นคืออุบายที่เจ้าใช้ปกป้องความทรงจำ หากไม่ใช่เพราะเจ้ารู้ความลับของโม่ซู เจ้าจะก้าวจากระดับฟ้าสู่เจ้าปกครองโลกได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร” ชายหนุ่มมีสีหน้าโหดเหี้ยม สายตาจ้องเยวี่ยหงปังเขม็ง ผ่านไปพักใหญ่ก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วหยิบตะเกียงก่อนหมุนตัวจากไป

เขามีสีหน้าทะมึนทึบ ในใจนึกไปถึงตอนนั้นที่อาจารย์ให้เขาเฝ้าที่นี่ ตอนนี้ใกล้จะถึงวันเกิดอาจารย์แล้ว เดิมทีคิดว่าจะใช้คำตอบจากเยวี่ยหงปังมาเป็นของขวัญ ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมพูด จึงตัดสินใจว่าหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดอาจารย์ ตนจะต้องหาวิธีมาทรมานเยวี่ยหงปังอีก

เยวี่ยหงปังมองเงาแผ่นหลังของชายหนุ่มเดินจากไป ก่อนค่อยๆ หลับตาลง เขาไม่รู้ความลับของซูหมิง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมเชื่อ ถึงเขาจะบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกได้ในเวลาอันสั้นจริงๆ แต่ความลับของเขาหากพูดไปก็เท่ากับตาย

กลับกันสู้ไม่พูดจะดีกว่า แบบนี้บางทีอาจมีโอกาสรอดชีวิต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version