ตอนที่ 855 ข้าต้องการแรงกระตุ้น…
“สีม่วง หากไม่ใช่เพราะวิญญาณเจ้ายังเป็นเอ้อชาง ข้าคงสงสัยแล้วว่าเจ้าถูกเครื่องบรรณาการยึดวิญญาณแล้ว!”
“ไม่ว่าเจ้าจะถูกยึดวิญญาณหรือไม่ สีม่วง วิญญาณเจ้าคือเอ้อชาง หากไม่ถูกยึดวิญญาณก็แล้วไป แต่หากถูกยึดวิญญาณจริงๆ ไม่ใช่สีม่วงอย่างเมื่อก่อนอีก พวกเราก็ไม่สนใจ แต่เจ้าต้องปฏิบัติตามสัญญาของวิญญาณเอ้อชางสิบดวงด้วย”
“ก่อนหน้าที่พวกเรายังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ ยังไม่ได้หลอมรวมกันก็ตัดสินไปแล้วว่าใครคือหัวหลัก เจ้าห้ามล่วงเกินผู้กุมชะตาเกิดดับจากข้างนอกอีก ห้ามสร้างปัญหาให้พวกเรา”
“หากมีคนมาล่วงเกินข้าที่นี่ล่ะ!” ซูหมิงส่งกระแสจิตดังกึกก้องทันที
“พวกเราล้วนเป็นเอ้อชาง หากล่วงเกินเจ้าก็เท่ากับล่วงเกินพวกเรา ดูถูกเจ้าก็เท่ากับดูถูกพวกเรา หากมีคนมา พวกเราจะรับมือกันอย่างเต็มที่”
“ดี!” พอได้ยินจิตวิญญาณอีกเก้าดวง ซูหมิงก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยอมรับเรื่องนี้ ความจริงเขารู้นานแล้วว่าวิญญาณอีกเก้าดวงเกิดความสงสัยต่อตนเอง ทว่าวิญญาณเขายังเป็นของเอ้อชางอยู่ เพราะฉะนั้นต่อให้พวกเขารู้ว่าตนยึดร่างมาก็ยังไม่เป็นอะไร
นี่คือพรสวรรค์ของเผ่ายมโลก ซูหมิงรู้สึกว่ามันลึกล้ำไม่อาจคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ว่าเผ่ายมโลกเหมือนอยู่อีกระดับหนึ่งซึ่งอยู่เหนือเอ้อชางปรากฏขึ้นในใจทีละน้อย
‘สิ่งมีชีวิตเช่นเอ้อชางอาศัยร่างของผู้ยิ่งใหญ่ในการรวมวิญญาณ กลืนกินต้นกำเนิดจิตเพื่อถือกำเนิด แต่ข้า…ยึดร่างเอ้อชางและแข็งแกร่งขึ้นมา’ ซูหมิงดึงกระแสจิตกลับมา เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในธารดาราสีม่วงของฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งลืมตาขึ้น
‘ความแกร่งของผู้กุมชะตาเกิดดับสั่นสะท้านจิตใจข้า’ ซูหมิงมองสี ม่วงของฟ้ากระจ่างดาว นัยน์ตาฉายแววยึดมั่น
‘ชะตาเกิดชะตาดับ ลมหายใจของทุกสิ่งมีชีวิตอยู่ในหนึ่งฝ่ามือ…ตอนที่ยังไม่ยึดวิญญาณเอ้อชาง ชีวิตนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นขั้นพลังระดับนี้หรือไม่ แต่พอมีร่างแยกเอ้อชางแล้ว จากนี้ไปข้าจะก้าวสู่ตำนาน’ ซูหมิงค่อยๆ หลับตาลง ปกปิดความยึดมั่นในแววตา ทว่ากลับปกปิดความแน่วแน่ในใจไม่มิด
‘ตอนที่ข้าหลอมรวมกับวิญญาณเอ้อชางอีกเก้าดวง ข้าจะข้ามผ่านขั้นพลังระดับนี้ไป’ ซูหมิงไม่ได้กล่าวประโยคนี้ แต่ทันทีที่หลับตา มันก็ดังก้องในใจเขาอย่างเงียบๆ
ขณะเดียวกับที่ร่างแยกเอ้อชางหลับตาในฟ้ากระจ่างดาวสีม่วง ร่างแยกกลืนนภาของเขาก็ลืมตาขึ้น
เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ตอนที่ลืมตาขึ้นก็มองไม่เห็นความยึดมั่นและแน่วแน่แล้ว มีเพียงความลุ่มลึกไม่มีสิ้นสุดในแววตา หากมองตาเขาดีๆ จะเห็นรางๆ ว่าในดวงตาขวามีอักขระซ้อนทับอยู่ ส่วนในดวงตาซ้ายก็เปลี่ยนเป็นฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือนี้เป็นมายา ทว่าเกิดขึ้นหลังจากที่เขารอดชีวิตจากผู้กุมชะตาเกิดดับและได้ตระหนักรู้มา การตระหนักรู้ครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนดวงตาซ้าย แต่เขาจะเข้าใจมันตลอดไป
ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นมองกลางฝ่ามือตัวเอง มองลายมือบนฝ่ามือ ครู่ต่อมาก็สะบัดมือขวา พลันปรากฏขนนกสีดำอันหนึ่งในมือ
นี่คือขนนกแรกเริ่มสีดำจากอู่ลี่จื่อ หลังจากหลอมรวมขนนกทั้งหมดที่ได้มาแล้วก็กลายเป็นอันเดียว
ขนนกไม่มีโลหิต ทว่าวินาทีที่โผล่ออกมา กลับมีเงามายานกยูงสีดำเผยขึ้น ราวกับว่าในมือเขาไม่ใช่ขนนก แต่เป็นนกยูง
ซูหมิงมองขนนกพลางใช้มือซ้ายตบถุงเก็บวัตถุ กระเรียนขนร่วงที่หลับใหลอยู่กลายเป็นแสงหม่นปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
มันกำลังหลับตา ยังคงไม่ตื่นจากการหลับใหล แต่ตอนมันปรากฏตัว แสงหม่นในตัวมันกลับขยับวูบวาบเด่นชัด ขณะเดียวกัน นกยูงสีดำบนมือขวาเขาก็ส่งเสียงคำรามทันทีเหมือนกับเจอศัตรูธรรมชาติ
สองสิ่งที่ให้ความรู้สึกมีต้นกำเนิดเหมือนกันเกิดอาการเช่นนี้ ทำให้แววตาซูหมิงขยับวูบไหว ก่อนหน้านี้ในใจเกิดการคาดเดาอย่างหนึ่ง ตอนนี้มั่นใจการคาดเดาที่ว่าสี่ส่วนแล้ว
ตอนนี้เอง แสงหม่นจากกระเรียนขนร่วงสว่างวาบก่อน ขณะขยับวิบวับเด่นชัดก็กลายเป็นกระเรียนสีดำตัวหนึ่ง กระเรียนตัวนี้ไม่หลับตา ทว่าดวงตาสองข้างกลับไม่มีประกาย มันร้องคำรามเสียงแหลมพร้อมกับพุ่งไปยังนกยูงสีดำ
นกยูงก็ส่งเสียงร้องและพุ่งไปเช่นกัน สองฝ่ายชนกันต่อหน้าซูหมิงโดยพลัน แต่ก็ไม่มีเสียงโครมครามใดๆ จากนั้นพวกมันก็เหมือนเริ่มหลอมรวมกันอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนสงบนิ่ง ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกชัดว่านี่เหมือนกับการกลืนกิน
ไม่ใช่กระเรียนขนร่วงกินนกยูงสีดำ แต่นกยูงกำลังกินกระเรียนขนร่วงต่างหากทว่ามีซูหมิงอยู่ เขาไม่มีทางยอมให้นกยูงสีดำทำสำเร็จ จึงแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง แล้วยกมือขวากดนกยูงสีดำอย่างแรงในขณะที่สองฝ่ายกำลังกลืนกินกัน ตอนที่กดนิ้วไป นกยูงสีดำร้องโหยหวนเสียงแหลม ร่างสลายไปทันที กลายเป็นจุดแสงสีดำและถูกกระเรียนขนร่วงกินไป
ขั้นตอนนี้ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม กระเรียนขนร่วงก็ตัวสั่นสะท้าน มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้น ทว่าเหมือนพลังที่รวมยังไม่มากพอ ทำให้การลืมตาครั้งนี้ยังขาดไปอีกเล็กน้อยแม้บอกว่าขาดอีกเล็กน้อย แต่หากไม่เตรียมพลังในการลืมตาให้ดีๆ มันก็คงไม่ตื่นขึ้น
“ข้า…ต้องการ….แรงกระ….” ขณะกระเรียนขนร่วงกำลังดิ้นรน มันเอ่ยคำเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก มันเปิดตามาเป็นรอยแยกเส้นหนึ่งแล้ว แต่เหมือนเสียทุกอย่างไปจึงหลับตาลงอีกครั้ง สัญญาณการตื่นขึ้นก็หายตามไปอย่างรวดเร็วด้วย
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ มองกระเรียนขนร่วงพลางกล่าวราบเรียบ
“ไม่ต้องแสร้งแล้ว นกยูงสีดำนั้นมากพอจะทำให้เจ้าตื่นขึ้น ข้าไม่มีหินผลึกแล้ว คงจะให้แรงกระตุ้นเจ้าไม่ได้”
ซูหมิงกล่าวออกไป กระเรียนขนร่วงกลับเหมือนไม่ได้ยิน มันตัวสั่นเทาและดิ้นรน คล้ายกับว่ากำลังรวมพลังทั้งหมดเพื่อหยุดการหลับใหล แต่ก็ยังทำไม่ได้ ตอนนี้มันหลับตาอยู่ ความรู้สึกหลับใหลแผ่กระจายมาจากตัวมัน
ซูหมิงเพ่งสายตามอง เขาเห็นว่าท่าทางกระเรียนขนร่วงเหมือนไม่ได้แสร้งทำ อีกทั้งหากมันไม่อาจตื่นขึ้นเพราะหินผลึก เช่นนั้นซูหมิงคงรับไม่ได้ เขาฝ่าอันตรายไปยังขุมอำนาจรักษาการณ์ของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ และยังถูกผู้กุมชะตาเกิดดับล่าสังหารมาเกือบตายกว่าจะได้ขนนกสีดำกลับมา
เห็นกระเรียนขนร่วงเกิดเค้าลางจะตื่นอีกครั้ง แต่ก็กลับเข้าสู่การหลับใหลอีก ซูหมิงจึงกดมือขวาบนถุงเก็บวัตถุอย่างไม่ลังเล ก่อนจะหยิบหินวิญญาณหลายร้อยก้อนสุดท้ายในถุงเก็บวัตถุออกมาทั้งหมดทันที
คุณภาพหินวิญญาณเหล่านี้ดีอย่างยิ่ง เป็นคลังสุดท้ายของเขาแล้ว รู้กันดีว่ามีกระเรียนขนร่วงอยู่ การที่เขาจะเก็บหินผลึกเหล่านี้เอาไว้เป็นเรื่องยากเพียงใด…
ทว่าเพื่อเป็นแรงกระตุ้นอย่างที่กระเรียนขนร่วงบอก เขาจำต้องนำทรัพย์สินทั้งหมดเหล่านี้ออกมา แทบทันทีที่หินวิญญาณพร่างพราวถูกนำออกมาจากถุงเก็บวัตถุ กระเรียนขนร่วงก็เหมือนได้กลิ่นไออุ่นทันที แม้ว่า…หินผลึกจะไม่มีกลิ่นก็ตาม
ท่าทางของกระเรียนขนร่วงเป็นแบบนี้อย่างชัดเจน มันทำจมูกฟุดฟิดอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็เหมือนในร่างกายมีพลังใหม่ปรากฏขึ้น ระหว่างที่มันตัวสั่น ดวงตาที่จะปิดก็ดิ้นรนเปิดขึ้น ประหนึ่งว่าอยากมองหินผลึกที่มันลุ่มหลง
ความแกร่งของพลังใหม่ที่ว่าเหมือนค้ำจุนให้มันตื่นขึ้นโดยเร็ว จนกระทั่งมันฝืนลืมตาขึ้น พอเห็นหินผลึกเหล่านั้นว่ามีเพียงหลายร้อยก้อนแล้ว มันก็เสียพลังทั้งหมดไปและเข้าสู่การหลับใหลอีกครั้ง
“แรงกระตุ้น…ไม่พอ…ต้องการ…แรงกระตุ้นอีก….” กระเรียนขนร่วงกล่าวติดๆ ขัดๆ ด้วยท่าทางอ่อนแอถึงขีดสุด ทว่าซูหมิงเห็นประกายในแววตามันเมื่อครู่ นั่นคือความกระปรี้กระเปร่า
“ยังต้องการแรงกระตุ้นอีกเท่าไร?” ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชาในใจ น้ำเสียงที่กล่าวไม่ช้าไม่เร็ว
“ยัง….ต้องการอีก….หนึ่งพัน….ไม่ หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน!” กระเรียนขนร่วงพยายามไม่ให้ตนหลับตา ดูแล้วอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม
“หนึ่งแสนพอแล้วรึ? ต้องการมากกว่านี้หรือไม่?” ซูหมิงเอ่ยเสียงราบเรียบ
กระเรียนขนร่วงอึ้งงัน แต่ในร่างกายก็เหมือนมีพลังอีกครั้งขึ้นมาทันที ราวกับคำพูดซูหมิงเทียบเท่ากับเม็ดยาทุกอย่าง
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ให้ข้า…หนึ่งล้านแล้วกัน”
“อืม เจ้าหลับต่อไปเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้นแล้วยกมือขวาสะบัดไป หินผลึกหลายร้อยก้อนหายไปทั้งหมด เมื่อเข้าไปในถุงเก็บวัตถุแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป
ช่วงที่ซูหมิงหมุนตัวเตรียมจากไปนั้น กระเรียนขนร่วงร้องโหยหวน มันกุมหน้าอกตัวเอง หรี่ตามองด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“เจ้า…โหดร้ายมาก….ข้าจะ….หลับใหลแล้ว ลาก่อนชั่วนิรันดร์ซูหมิง ข้าหลับแล้ว”
ซูหมิงจากไปไกล
“ข้าจะหลับจริงๆ แล้วนะ!” กระเรียนขนร่วงรีบกล่าวขึ้น
ซูหมิงเดินจากไปไกลยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจะหลับแล้วจริงๆ!” เสียงกระเรียนขนร่วงช่างดูอเนจอนาถ มันหลับตาลงสนิท ร่างเอียงลอยแน่นิ่งอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว และหลับใหลเหมือนก่อนหน้านี้
ซูหมิงเดินไปไกลจนให้จะไม่เห็นร่างเงาแล้ว
“ย่ากระเรียนเจ้าเถอะ!” กระเรียนขนร่วงลืมตาข้างหนึ่ง มองซูหมิงซึ่งเป็นร่างเงาเดินไปไกลอย่างเหี้ยมโหด
“ข้าสู้สุดชีวิตเพื่อช่วยเจ้ายึดวิญญาณ พอตอนนี้เจ้าเห็นข้าจะตายแล้วกลับไม่ช่วย เจ้าๆๆ…เจ้าทำเกินไปแล้ว ก็แค่หินผลึกไม่เท่าไรเองไม่ใช่รึ กับอีแค่ของนอกกาย กับอีแค่…อ๊าก….” กระเรียนขนร่วงที่กำลังบ่นพึมพำพลันเห็นรอบตัวซูหมิงที่อยู่ไกลออกไปปรากฏระลอกคลื่นขึ้น ตอนที่เขากำลังจะออกจากฟ้ากระจ่างดาวแห่งนี้ มันก็ส่งเสียงร้องแหลมและลืมตาขึ้นทันที มันในตอนนี้ไมได้อ่อนแออะไร เห็นได้ชัดว่าได้รับการเติมเต็มครั้งใหญ่มา
“หืม ข้าหายดีแล้ว แปลกนัก เหตุใดข้าถึงรู้สึกหายดีขึ้นมา ฮ่าๆ ท่านกระเรียนผู้นี้ฟื้นกลับมาแล้ว ท่านกระเรียนก็ยังเป็นท่านกระเรียนวันยังค่ำ” มันตะโกนเสียงดังพลางตบปีกบินตามซูหมิงไป ก่อนจะเอาศีรษะพุ่งเข้าไปในระลอกคลื่น หายไปพร้อมกับซูหมิง
มีเพียงเสียงหัวเราะอย่างลำพองใจที่ยังดังก้องอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว ดังในหูร่างแยกเอ้อชางกลางธารดาราไกลออกไป ร่างแยกเอ้อชางไม่ได้ลืมตา แต่มุมปากยกยิ้มสบายใจ
“ซูหมิง เจ้าจะพาท่านกระเรียนผู้นี้ไปที่ใด? ท่านกระเรียนขอบอกเจ้าก่อน หากที่นั่นไม่มีหินผลึกข้าจะไม่ไป!”
“ไปดาวทมิฬ ที่นั่นไม่ใช่แค่มีหินผลึก แต่อาจจะมีกายเนื้อส่วนหนึ่งของเจ้าด้วย เจ้าจะไม่ไปก็ได้”
“ไป! มีหินผลึก มีกายเนื้อ ย่ากระเรียนมันเถอะ ข้าต้องไปแน่ ข้าว่าเจ้าช้าเกินไปแล้ว ดูข้านี่ เร็วกว่าเจ้าอีก”