Skip to content

สู่วิถีอสุรา 861

ตอนที่ 861 ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ช่วงที่เสียงเรียกที่สองดังแว่วมา มันไม่ได้ดังกังวานอยู่ในใจมังกรยมโลก แต่กระจายอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว เสียงนี้เหมือนเบา ทว่าตอนดังมากลับเหนี่ยวนำให้ฟ้าเกิดระลอกคลื่นเป็นวงกว้างอย่างรุนแรง และยังทำให้ผืนฟ้าเหมือนบิดเบี้ยว

โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานเกือบร้อยคนที่กำลังเข้าไปใกล้มังกรยมโลก หมายจะแยกชิ้นส่วนมัน ยามเสียงนี้แว่วเข้าหูพวกเขา ฉับพลันนั้นก็กลายเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นฟ้าดิน สั่นสะเทือนแก้วหู และยังระเบิดเข้าสู่จิตใจ ก่อนจะบดขยี้สมองพวกเขาลามไปจนถึงจิตวิญญาณ

โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด!

ผู้ฝึกฌานเกือบร้อยล้วนมีโลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด แววตาพลันเหม่อลอย สูญเสียประกายทุกอย่างไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำโลหิตไหลลง เหล่าผีเสื้อกลางคืนใต้ร่างพวกเขายังส่งเสียงร้องแหลม แล้วจึงระเบิดเป็นเศษเนื้อไปทีละตัว

ร่างผู้ฝึกฌานเกือบร้อยคนเหมือนกับถูกพลังมหาศาลกวาดล้าง ต่างทยอยกันกระเด็นถอยไป ทั้งยังกระอักโลหิตระหว่างอยู่กลางอากาศ จากนั้น…ก็สิ้นชีพทั้งหมด!

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคำว่าเสี่ยวหวงประโยคเดียว!

สองคำนี้สังหารผู้ฝึกฌานเกือบร้อยคน แม้ในนั้นจะไม่มีเจ้าปกครองโลก อย่างมากสุดก็ระดับฟ้า แต่คนที่ทำแบบนี้ได้มากพอจะทำให้ผู้พบเห็นใจสั่นสะท้านแล้ว

ผู้ฝึกฌานเกือบร้อยคนตายพร้อมกัน ร่างพวกเขากระเด็นถอยไปพร้อมกับแหลกสลายเป็นเศษเนื้อ กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปรอบๆ ทันใด หญิงสาวที่ข้อมือมีกระดิ่งหน้าซีดขาว บุรุษวัยกลางคนสองคนด้านหลังนางมีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังดูหวาดกลัว กระทั่งหน้าผากยังมีเม็ดเหงื่อเย็นเยียบเพราะตึงเครียดถึงขีดสุดซึมออกมา

“เสี่ยวหวง…”

เวลานี้ ประโยคที่สามดังชัดมาจากอากาศไม่ไกลนัก เข้าถึงหูมังกรยมโลก เข้าถึงหูหญิงสาวและชายวัยกลางคนด้านหลังนางสองคน

ขณะเดียวกับที่เสียงนี้ดังขึ้น มังกรยมโลกลืมตา มันเห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาจากอากาศไกลๆ

เป็นคนสวมเสื้อคลุมขาว เส้นผมสีเทา เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ใบหน้าเหล่อเหลา มีกลิ่นอายผ่านโลกมาอย่างโชกโชน มีแววตาคุ้นเคยรวมถึงช่วงเวลาในความทรงจำ การเดินมาเยือนของเขาเหมือนมาพร้อมกับกาลเวลา มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงอันยาวนาน ทำให้ฟ้ากระจ่างดาวรอบๆ เหมือนหยุดนิ่ง

หลังจากเห็นซูหมิงชัดแล้ว มังกรยมโลกตัวสั่นรุนแรงขึ้น มันตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น คือการสั่นด้วยความเหลือเชื่อ มันไม่นึกเลยว่าตนจะได้เจอสหายเก่าในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

“เจ้า…” มังกรยมโลกกล่าวได้เพียงคำเดียวก็ค่อยๆ หลับตาลง มันเหนื่อยล้าถึงขีดสุดแล้ว หลังจากสิ้นหวัง ในพริบตาที่เห็นซูหมิง วิญญาณของมันก็เกิดการสลายไป

ซูหมิงเดินเข้ามา ยกมือขวากดบนหัวมังกรยมโลกที่เต็มไปด้วยรอยแผลและโลหิตเบาๆ วิญญาณมันที่กำลังสลายไปก็รวมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง รอยแผลทั้งหมดบนตัวผสานกันในพริบตา

และด้วยการกดครั้งนี้เอง ซูหมิงจึงรู้ว่าเสี่ยวหวงถูกทำลายขั้นพลัง และใช้พลังได้เพียงเทียบเท่าระดับมนุษย์ เขายังรู้อีกว่ามันไม่มีเส้นเอ็นมังกรแล้ว

ซูหมิงไม่รู้ว่ามันอยู่ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมานานกี่ปี ทว่าเขาพอจะคาดเดาได้ มังกรยมโลกตัวหนึ่งที่ใช้พลังได้เพียงระดับมนุษย์ ต่อให้อยู่ที่นี่เพียงหลายสิบปีก็ยังลำบากยิ่ง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขณะร่างมังกรยมโลกกำลังฟื้นฟู เขาเห็นรอยแผลนับไม่ถ้วน กระทั่งมีไม่น้อยที่คงอยู่มานาน เห็นได้ชัดว่าอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว กระทั่ง…ยังมีอีกหลายจุดสาหัสจนทำให้มันเกือบถึงชีวิต

ซูหมิงโกรธแล้ว

เขาโกรธจริงๆ นอกจากโกรธเกรี้ยวแล้ว เขายังร้อนใจ เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมังกรยมโลกถึงมาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต รู้เพียงว่าตอนนั้นที่อยู่แดนมรณะหยิน เขาเห็นกับตาว่ามันพาอวี่เซวียนมุ่งหน้าไปยังโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก

ทว่าตอนนี้มันมาอยู่ที่นี่ เช่นนั้น…อวี่เซวียนอยู่ที่ใด?

‘ข้าคือต้นเซวียนกลางสายฝน เป็นพืชสีเขียวที่ไร้ความทุกข์…’ ข้างหูซูหมิงเหมือนมีเสียงอวี่เซวียนดังกังวานอยู่นานไม่เลือนหาย

ตอนที่ซูหมิงเงียบงัน ชายวัยกลางคนสองคนที่อยู่ไม่ไกลใจสั่น สีหน้าหวาดกลัวถึงขีดสุด พวกเขาอ่านขั้นพลังซูหมิงไม่ออก แต่พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดอย่างที่ไม่เคยเจอจากอีกฝ่าย

เดิมทีพวกเขาคิดว่าตนสังหารมาไม่น้อยแล้ว กระทั่งยังภูมิใจกับกลิ่นอายชั่วร้ายไร้รูปที่ก่อขึ้นมา ทว่าช่วงที่มองซูหมิง พวกเขาพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ความเข้มข้นของกลิ่นอายชั่วร้ายของอีกฝ่ายไม่อาจนำมาเปรียบกับตัวเองได้เลย เหมือนกับแสงหิ่งห้อยกับแสงจันทร์ก็ไม่ปาน

หนำซ้ำอานุภาพกดดันจากซูหมิงยังทำให้สองคนนี้จิตใจแทบแหลกสลาย แรงกดดันนี้ ต่อให้พวกเขาอยู่ต่อหน้าบรรพบุรุษก็ยังไม่รู้สึกรุนแรงเท่านี้ จากการวิเคราะห์ พวกเขามั่นใจว่าอย่างน้อยสุดขั้นพลังของคนตรงหน้าก็อยู่จุดสูงสุดของเจ้าปกครองโลกตอนกลาง กระทั่งเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลาย!

‘มังกรยมโลกตัวนี้เป็นมังกรของเจ้าปกครองโลกตอนปลาย!’ ขณะสองคนนี้ใจสั่นไหว ก็เห็นซูหมิงเงียบงัน พวกเขาจึงคว้าตัวหญิงสาวที่กำลังตื่นตะลึงจนมีสีหน้าสับสนถอยไปอย่างไม่ลังเลและบ้าคลั่ง

ตั้งแต่ที่พวกเขาติดตามบรรพบุรุษก็ไม่เคยหนีแบบนี้อีก ตอนนี้พวกเขาหนีไปในพริบตาโดยไม่สนสิ่งใด อีกทั้งขณะถอยหนี ทันทีที่เห็นว่าซูหมิงเงยหน้าขึ้น สองคนนี้ก็ร้องคำรามพร้อมกัน เส้นเลือดดำปูดขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะผลักหญิงสาวให้ถอยห่างไปหลายร้อยจั้งแล้วตะโกนไปทางนาง

“นายหญิงน้อยรีบหนีไป!”

“รีบไปเร็ว!”

หญิงสาวตัวสั่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากไปจนนางตั้งตัวแทบไม่ทัน ตอนนี้ชายวัยกลางคนสองคนตะโกนมา นางจึงหมุนตัวกลับ หนีไปด้วยความเร็วสูงสุดในชั่วพริบตา

แทบทันทีที่นางหมุนตัวไป ก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังกังวานไปรอบๆ นางคุ้นหูเสียงนี้ นั่นคือเสียงหนึ่งในสองชายวัยกลางคน

เสียงนี้ทำให้นางปวดใจ น้ำตารินไหล ทว่าจะมานึกเสียใจภายหลังไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้เงามืดมรณะที่มาเยือน ตรงส่วนลึกในใจนางได้ลิ้มลองความหวาดกลัวเป็นครั้งแรกแล้ว

“จิตใจซื่อสัตย์น่าชื่นชม แต่ก็ยากจะรอดพ้นจากความตาย” นัยน์ตาซูหมิงเผยจิตสังหารวูบผ่าน เขาดึงนิ้วชี้มือขวากลับ สายตามองหนึ่งในสองชายวัยกลางคนขั้นพลังเจ้าปกครองโลกตอนต้น หลังจากร่างกายแหลกสลายเป็นชิ้นๆ ก็มองไปยังอีกคน

คนผู้นี้หน้าซีดขาว ตอนนี้เขามั่นใจอย่างยิ่งแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสเจ้าปกครองโลกตอนปลาย อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นบรรพบุรุษ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้ก็เป็นเหมือนกับมดปลวก ความต่างประดุจฟ้ากับเหวทำให้เขาไม่มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้เลย

“ข้า…” ชายวัยกลางคนหน้าซีดขาว ครั้นเห็นซูหมิงยกมือขวาขึ้นอีก เขาเผยความคลุ้มคลั่งผ่านสีหน้าสิ้นหวัง ก่อนจะเผาขั้นพลังและจิตวิญญาณตัวเองพร้อมกัน แล้วพุ่งตรงไปหาซูหมิงอย่างบ้าคลั่ง เลือกจะระเบิดตัวเอง

ทว่า การระเบิดตัวเองจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่ออยู่กับคนจำนวนมาก ถึงอย่างไรก็เป็นวิชามรณะ หากแต่….ต่อหน้าชาวเผ่ายมโลก ขอเพียงเป็นผู้ที่ยมโลกตื่นขึ้น ส่วนใหญ่จะไร้ผล และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตระหนักรู้ของซูหมิงที่คลำหาความหมายแห่งฤดูร้อนในรูปแบบชะตาเจอแล้วเลย

เขายกมือขวาขึ้นแล้วสะบัดไป ความรู้สึกของเวลาปกคลุมร่างชายวัยกลางคนในพริบตา ทันใดนั้นกาลเวลาย้อนกลับ จากสภาพระเบิดตัวเองถอยมาเป็นก่อนหน้านี้และไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ยังคงย้อนต่อไป ทำให้ใบหน้าเขาไม่ใช่ชายวัยกลางคนอีก แต่เปลี่ยนเป็นชายหนุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นเด็กหนุ่ม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่ปี หลายลมหายใจต่อมาร่างกายเขาก็กลายเป็นฝุ่นละออง

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ซูหมิงหันกลับไปมองมังกรยมโลกที่กำลังหลับใหลแวบหนึ่ง มันหลับลึกมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้พักมานานมากแล้ว ครั้นมองรอยแผลบนตัวที่กำลังสมาน นัยน์ตาเขาก็ฉายแววอบอุ่น

“หลับเถอะ มีข้าอยู่เจ้าจะปลอดภัย”

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ใช้มือขวาตบไปทีหนึ่ง หลังจากนำมังกรยมโลกเข้าไปในถุงเก็บวัตถุแล้วก็หันหน้ามองไปทางเด็กสาวที่กำลังหนี นัยน์ตาเผยความเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือว่าบุรุษ ไม่ว่าจะอัปลักษณ์หรือโฉมงาม สิ่งเหล่านี้ในสายตาเขาเป็นเพียงเปลือกนอก ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย

ขอแค่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะสังหารมังกรยมโลกเสี่ยวหวง เท่านี้ก็พอแล้ว

“หากอวี่เซวียนอยู่ ด้วยนิสัยของนางคงไม่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ ทว่าตอนนี้นางไม่อยู่ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา แล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว

เขาไม่ได้ไล่ตามหญิงสาวคนนั้นไปทันที แต่เดินไปอย่างช้าๆ อยู่ด้านหลัง

ดังนั้นจึงก่อเป็นแรงกดดันรุนแรงขึ้น แรงกดดันรวมอยู่ที่ตัวหญิงสาว ทำให้นางหวาดกลัวและแทบจะสิ้นหวัง ตอนนี้นางได้รู้ถึงความรู้สึกของมังกรยมโลกตอนที่นางล่าสังหารมันอย่างเลือดเย็นและเหี้ยมโหดแล้ว

นางตัวสั่น ความสิ้นหวังและหวาดกลัวอบอวลอยู่ในใจทั้งหมด ความรู้สึกนี้แทบจะทำให้นางเสียสติ น้ำตาไหลไม่หยุดขณะหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว

ซูหมิงตามอยู่ด้านหลังอย่างสงบนิ่ง บ้างก็ชี้นิ้วมือขวา ฉับพลันนั้นมีรอยแผลโลหิตปรากฏขึ้นบนตัวหญิงสาวเส้นหนึ่ง ตอนที่โลหิตลอยออกมา จะมีขวดล้ำค่าใบหนึ่งลอยออกมาจากถุงเก็บวัตถุของเขา เมื่อบรรจุโลหิตของอีกฝ่ายไว้แล้ว มันก็จะลอยอยู่รอบๆ คอยเก็บอยู่ตลอดเวลา

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีขั้นพลังต่ำกว่าแล้วโอ้อวดฐานะ ตนเองถึงได้รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ประมาณตน แต่คำว่าผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ ในความคิดซูหมิง ขอเพียงเป็นศัตรู หากทำอะไรได้เขาก็จะทำ

ผู้มีขั้นพลังสูงส่งเขาก็มีวิธีจัดการคล้ายๆ กัน ส่วนผู้มีขั้นพลังอ่อนแอ เขาก็จะบีบไปเช่นนี้โดยไม่ใส่ใจอะไร

เขาไม่เคยคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ขอเพียงเขาคิดว่าควรทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครมาเปลี่ยนได้ ความจริงแล้วคนที่เข้าใจเขามากที่สุดคือเยวี่ยหงปัง คำว่าคุ้มดีคุ้มร้ายเหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว

คุ้มดีคุ้มร้าย ทุกอย่างเกิดจากความคิด ไม่ว่ากฎหรือข้อบังคับใดก็ไม่อาจควบคุมความประพฤติเขาได้ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าการกระทำของตนมีอะไรไม่ถูกต้อง

เจ้าล่าสังหารมังกรยมโลกอย่างไร ข้าก็จะล่าสังหารเจ้าอย่างนั้น นี่คือความคิดที่ง่ายที่สุดของเขา

เวลาผ่านไป หลังจากล่าสังหารติดต่อกันหนึ่งวัน หญิงสาวคนนั้นเส้นผมยุ่งเหยิง นางใกล้จะเสียสติแล้ว ใบหน้าซีดขาว ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแผล โลหิตหยดลงไม่หยุดและถูกเก็บไปเรื่อยๆ แรงกดดันที่ได้รับทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังถึงขีดสุด

ยังห่างจากถ้ำของบรรพบุรุษอีกระยะทางมากกว่าครึ่งวัน ทว่าสตินางรับการทรมานแบบนี้ไม่ไหวแล้ว ในที่สุดนางก็ไม่หนีอีก แต่หมุนตัวกลับมาอ้อนวอนซูหมิง

“ผู้อาวุโสปล่อยข้าไปเถอะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอเพียงผู้อาวุโสไม่สังหารข้า ข้าจะทำตามทุกอย่างที่ผู้อาวุโสบอก!” เดิมทีหญิงสาวมีใบหน้างดงาม แต่ตอนนี้อาภรณ์ขาดวิ่น จึงปกปิดร่างกายไม่มิด และยิ่งมีความงามน่าหลงใหล

“ทุกอย่างเลยรึ?” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ

“ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม!” หญิงสาวเหมือนนึกอะไรอะไรออก นางกัดริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว ใบหน้างามแดงเรื่อขึ้นมาทันที ในใจกระหายจะมีชีวิตรอดอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version