Skip to content

สู่วิถีอสุรา 870

ตอนที่ 870 ตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียง

โครม!

ซูหมิงกระอักเลือด มือขวาวางลงจากหน้าอก หมัดนี้เขาทุบหน้าอกตัวเอง ความเจ็บปวดจากในร่างกายทำให้ได้สติ ทว่าต่อให้ได้สติกลับมา ทุกอย่างรอบๆ ก็ยังอยู่

ทั้งตระกูลอวี้ว่างเปล่าและเงียบสงัด

เขาไม่รู้ว่าตนสังหารไปเท่าไร ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เข้าใกล้ตนและกลายเป็นพลังชีวิตถูกเขาสูบกิน

เขายืนอยู่บนพื้นดิน ยืนอยู่นอกภูเขาวิถีเต๋า โดยรอบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงเขาคนเดียว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่ความดุร้ายของผีร้ายบนภูเขาวิถีเต๋ากลับชัดเจนอย่างยิ่ง

ซูหมิงมีสีหน้าขมขื่น เขาแยกไม่ออกว่ารอบๆ นี้เป็นวิชามายาหรือไม่ แยกสภาพการณ์ตอนนี้ไม่ออกว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือทุกอย่างเป็นมายา

‘ขอเพียงท่านเชื่อมัน มันก็จะอยู่’ คำเตือนของอวี้เฉินไห่ก่อนหน้านี้ยังดังก้องอยู่ข้างหูซูหมิง

“ข้าไม่เคยเชื่อมัน หรือว่าทุกอย่างที่นี่จะเป็นของจริง…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา นัยน์ตาขยับประกาย

“จริงหรือปลอม ไปที่อื่นบนดาวทมิฬก็จะรู้เอง!” ซูหมิงขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาว กำลังจะออกจากตระกูลอวี้ซึ่งเงียบสงัด ทว่าทันทีที่จะออกไป เขาพลันตัวสั่นสะท้าน

นัยน์ตาเขาเปล่งประกายเด่นชัด ลมหายใจกระชั้น ก่อนจะหันหน้าอย่างเนิบช้ากลับไปจ้องภูเขาวิถีเต๋า

ซูหมิงนึกออกแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเชื่อมัน ตอนที่เขาพุ่งออกจากฝ่ามือนั้นและมองอวี้เฉินไห่กับชายชราห้าคนบนพื้น เขาเคยแย้มยิ้ม

นี่เหมือนรอยยิ้มธรรมดา แต่เวลานั้นกลับบ่งบอกว่าในใจเขาเชื่อ

ช่วงที่เห็นพวกอวี้เฉินไห่ เขาคิดว่าผ่านด่านแรกแล้ว

ความผิดพลาดอยู่ที่ตอนนั้น ที่เป็นแบบนี้ เพราะว่าเขาเชื่อในครั้งนั้น ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

ซูหมิงเงียบงัน ผ่านไปพักใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้าลึก บินลงมายังพื้นอีกครั้งแล้วนั่งขัดสมาธิลง นัยน์ตาฉายประกายอึมครึม

‘เป็นวิชามายาที่แกร่งมาก มิน่า คนตระกูลอวี้ที่รู้ความลับของวิชามายานี้แล้วยังยากจะมีคนผ่าน’ ซูหมิงหลับตาลงอย่างช้าๆ ชั่วเวลานั้นเขายกมือขวาขึ้น มือขวารวมวิชาแห่งกาลเวลาของเผ่ายมโลก กำลังจะกดลงตรงระหว่างคิ้ว หากกดลงพลังแห่งกาลเวลาย้อนคืนจะกระจายมาจากตัวเขาทันที

ถึงตอนนั้นเขาจะเปลี่ยนกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างที่นี่กลับมาเป็นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาด

‘มาดูกันหน่อยว่าวิชามายาของเผ่าเจ้ากับอภินิหารเผ่ายมโลกของข้าใครจะแกร่งกว่ากัน!’ พริบตาที่ซูหมิงกำลังจะกดตรงหว่างคิ้ว เขาพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง

เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกาย

“ไม่ถูกต้อง…” เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลดมือลง

“หากข้าใช้วิชาแห่งกาลเวลาของเผ่ายมโลกต่อต้าน นั่นหมายความว่าข้าเชื่อว่าทุกอย่างเป็นวิชามายา วิชามายาก็ดี ความจริงก็ดี ขอแค่เชื่อมันก็จะคงอยู่ ประโยคนี้ช่วยให้เข้าใจได้หลายอย่าง…” ซูหมิงพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ครู่ต่อมาเขาไม่ใช่กลอุบายใดๆ อีก เพียงนั่งอย่างเงียบๆ ให้จิตใจเข้าสู่ความสงบ

ข้างหูเริ่มมีเสียงร้องโหยหวนแว่วมา ทว่าเขาไม่ได้ลืมตามอง

หลังจากเสียงกรีดร้องข้างหู ก็มีเสียงขอร้องอ้อนวอนนับไม่ถ้วนแว่วมาอีก เขาก็ยังไม่ลืมตา

เวลาผ่านไป ซูหมิงยังคงหลับตา ไม่ว่าเขาจะได้ยินอะไร จิตใจจะไม่แปรเปลี่ยน ตนยังอยู่ในความเงียบสงบ ไม่คิดถึงสิ่งใด

“ซูหมิง…” เสียงเบาแว่วมา นั่นคือเสียงไป๋หลิง ซูหมิงตัวสั่นไหว เขาเหมือนจะลืมตาขึ้น แต่ครู่ต่อมาก็สงบลง

“ซูหมิง…เจ้าเติบใหญ่แล้ว…” ตอนที่เสียงของท่านปู่ดังอยู่ข้างหู เขานิ่งเงียบ

“เจ้า…คือบุตรของข้าหรือ…เป็นเด็กทารกที่ข้ากอดตอนนั้นหรือ…” เสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงสัมผัสที่ซูหมิงทั้งคุ้ยเคยและไม่คุ้นเคย

“ซูหมิง ข้าคือเหลยเฉิน เจ้าจะนั่งอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าพวกเราจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกันหรอกรึ?” นี่คือเสียงเหลยเฉิน

“ศิษย์ของข้า เจ้าไปดูให้อาจารย์หน่อยว่าอะไรคือฟ้า อะไรคือดิน!” นั่นคือเสียงของเทียนเสียจื่อ จากนั้นเป็นศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่ หู่จื่อ รวมถึงทุกคนในความทรงจำต่างส่งเสียงมาไม่หยุดหย่อน

จนกระทั่งซูหมิงลืมตาขึ้น

ตอนที่ลืมตาเขาเห็นคนจำนวนมาก เห็นภาพและเห็นอดีตที่มองไม่เห็นแล้วมากมาย

เขามองอย่างสงบนิ่งอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้สหายเก่าและภาพเหล่านี้แสดงอยู่ตรงหน้าเขาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร

“ขอแค่เจ้าเชื่อ มันก็จะคงอยู่”

“ข้าไม่เชื่อ” ซูหมิงยืนขึ้นแล้วเดินหน้าไป เขาสัมผัสสหายเก่าเหล่านั้น พวกเขาต่างหายไปทีละคน แผ่นดินที่เขาเดินผ่านค่อยๆ ถอดสี

พื้นดินม้วนตลบอยู่ด้านหลังเป็นชั้นๆ ราวกับลอกคราบ หลังจากกระจายออกไปแล้ว แผ่นดินก็ยังเป็นพื้นดินคล้ายกับฝ่ามือนั้น

สหายเก่ากับภาพการร้องเรียกอยู่ด้านหลัง ทว่าเมื่อซูหมิงเดินไกลออกไป พวกมันก็กลายเป็นความว่างเปล่า จนกระทั่งเขาเดินไปไกลมาก ฟ้ายังคงกว้างใหญ่ แผ่นดินยังเป็นฝ่ามือ

เส้นผมซูหมิงปลิวไสว มาพร้อมกับความสงบนิ่งในใจและความเฉยชา ช่วงที่เขากำลังเดินไป ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทว่ากลางความมืดมิด ตรงหน้าเขาปรากฏปากส่องสว่างอันหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้และเดินออกมาก็ไม่มีสีดำอีก เขาเห็นท้องฟ้าสว่าง เห็นลานตระกูลอวี้ เห็นอวี้เฉินไห่รวมถึงชายชราห้าคนบนลาน และยังมีร่างเงาคนอีกหลายร้อยคน รวมถึงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุด

คนตระกูลอวี้ทั้งลานต่างมองซูหมิง ทันทีที่เห็นเขาพลันเกิดเสียงดังเกรียวกราว ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลอวี้หรือผู้มาเยือน นานมาแล้วที่ไม่มีใครผ่านด่านแรก!

ทว่าตอนนี้ พวกเขาเห็นคนประสบความสำเร็จด้วยตาตัวเอง มิหนำซ้ำช่วงที่ซูหมิงเดินออกมา ค้างคาวในฝ่ามือผีร้ายบนภูเขาวิถีเต๋ายังเปล่งแสงสว่างส่องไปรอบๆ ทำให้เกิดความพร่าเลือน

“ขอแสดงความยินดีที่สหายผ่านด่านแรกของสามวิถีสวรรค์!” ผู้อาวุโสสามในกลุ่มคนหรือชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้ม ยิ้มพลางประสานมือคารวะซูหมิง

อวี้เฉินไห่ข้างๆ มองซูหมิงด้วยความตื่นเต้น ความปรารถนาและฮึกเหิมในแววตายากจะบรรยาย เขารู้ว่าตอนที่ซูหมิงเดินออกมาจากด่านแรก ฐานะของตนในตระกูลสูงขึ้นมากแล้ว

เมื่อแสงจากค้างคาวส่องสว่าง ในตระกูลอวี้มีร่างเงาบินมาจากรอบๆ อย่างรวดเร็วด้วยจำนวนมากกว่าเดิม สำหรับทั้งตระกูลอวี้แล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

ซูหมิงเดินออกมาจากภูเขาวิถีเต๋า มองทุกคนด้านล่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วประสานมือคารวะชายวัยกลางคน

เขาไม่กล่าวอะไร เพราะทันทีที่เดินออกมา ก็พลันเกิดเสียงโครมครามขึ้นเหนือภูเขาวิถีเต๋าท่ามกลางค้างคาวในฝ่ามือผีร้ายที่เปล่งแสงสว่างไม่มีสิ้นสุด

เสียงโครมนี้ดังไปทั้งตระกูลอวี้ ดังสนั่นกึกก้องฟ้า ท้องฟ้าบิดเบี้ยวเป็นผืนใหญ่ มียอดเขายักษ์สองลูกโผล่ออกมาจากบนฟ้าบิดเบี้ยวนั้น

จะว่าเป็นยอดเขาสองลูกก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นรูปปั้นยักษ์สองรูปจะดีกว่า หนึ่งในนั้นทุกส่วนเป็นสีดำทึบ มีสีหน้าดุร้าย ระหว่างที่ยกมือขวาขึ้นก็มีดวงตะวันสีแดงดวงหนึ่งอยู่ในฝ่ามือ

อีกรูปปั้นส่องแสงเรืองรอง มีสีหน้าค่อนข้างเฉยชา ดูแล้วเหมือนสตรีคนหนึ่ง บนมือขวานางมีดวงจันทร์อยู่ ส่องแสงสว่างนุ่มนวลสะท้อนแผ่นดิน

“ตะวันจันทราส่องสว่างพร้อมเพรียง!”

“ในที่สุดก็เห็นดวงตะวันจันทราส่องสว่างพร้อมเพรียง นี่คือด่านที่สองของสามวิถีสวรรค์ มีเพียงผ่านด่านแรกเท่านั้นถึงจะปรากฏขึ้น”

“ตั้งแต่โบราณมาด่านนี้ปรากฏหลายครั้ง นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ข้าโชคดีได้เห็นมัน”

“ดวงตะวันและจันทราที่แกร่งกว่าเขาวิถีเต๋านี้ ไม่รู้ว่าผู้มาเยือนท่านนี้จะผ่านไปได้หรือไม่!”

เสียงอื้ออึงเกรียวกราวดังขึ้นบนลานแห่งนี้ หลังจากภูเขาลูกนี้ปรากฏขึ้น คนตระกูลอวี้ก็บินมาจากรอบๆ อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นคนในตระกูลที่ไม่สนใจก่อนหน้านี้ก็ยังมากันไม่น้อย ทั้งยังมีสายรุ้งหนึ่งมาพร้อมด้วยอำนาจบาตรใหญ่ไร้คำพูดจากที่ห่างไกล มาถึงที่นี่ในพริบตา แล้วกลายเป็นชายชราเส้มผมแดงฉานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสสาม

ทันทีที่เขามาถึง คนในตระกูลทั้งหมดโดยรอบล้วนใจสั่นสะท้าน ราวกับว่าการมาของเขาทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนได้

“คารวะผู้อาวุโสสอง!”

นอกจากผู้อาวุโสสามแล้ว ทุกคนล้วนคารวะชายชราผมแดงฉานด้วยความเคารพ อวี้เฉินไห่มีสีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ก่อนก้มลงคารวะตาม

ส่วนชายชราห้าคนที่สร้างความยุ่งยากให้ซูหมิง ตอนนี้มีสีหน้าดุจเถ้าถ่านมอดดับ ต่างเคารพและยำเกรง

“ใครเป็นคนเชิญผู้มาเยือนท่านนี้มา?” ชายชราเส้นผมแดงไม่ได้มองคนรอบๆ ที่ก้มลงคารวะ แต่มองซูหมิงนอกภูเขาวิถีเต๋า ดวงตาเปล่งประกายยามกล่าวเนิบช้า

“เป็นรุ่นเยาว์คนนี้จากสายสกุลอวี้เชิญเขามา” ผู้อาวุโสสามด้านข้างยิ้มน้อยๆ สายตามองอวี้เฉินไห่ที่กำลังตื่นเต้น

ชายชราผมแดงฉานหันหน้าไปมองอวี้เฉินไห่แล้วยิ้มเล็กน้อย หลังพยักหน้าให้แล้วก็ประสานมือคารวะพร้อมกล่าวกับซูหมิงที่กำลังเงยหน้ามองรูปปั้นดวงตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียง

“สหายท่านนี้ผ่านด่านแรกมาได้ จากนี้ไปท่านคือผู้มาเยือนของตระกูลอวี้เรา เราจะทำตามทุกความต้องการของท่าน ตระกูลอวี้ของเราให้ความสำคัญกับแขกเสมอ

หากท่านผ่านด่านที่สอง ท่านจะเป็นผู้มาเยือนอาวุโสของตระกูลอวี้ มีเกียรติอย่างยิ่ง และอยู่ในระดับเดียวกับพวกข้าสามคน!”

ช่วงที่กล่าวประโยคนี้ รูปปั้นสองรูปของดวงตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียงเปล่งแสงไปหมื่นจั้ง และยังเกิดเสียงดังสนั่นกลบทุกเสียงกังวานไปรอบๆ

ตอนนี้เอง ซูหมิงยกเท้าขึ้นเดินเข้าไปรูปปั้นทั้งสอง

เขาจะไม่บุกด่านที่สองก็ได้ ทว่าเขามีความทะเยอทะยานของตน ในด่านแรกเขารู้สึกว่าในนั้นมีพลังประหลาดแฝงอยู่ ความแกร่งของพลังนี้เป็นความมหัศจรรย์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน นั่นคือขอแค่เชื่อมันก็จะมีอยู่

นี่คือวิชามายา ทว่าก็ไม่ใช่วิชามายาเช่นกัน เขาอยากเข้าใจวงโคจรของพลังนี้ กระทั่งอยากควบคุมมันแล้วหลอมรวมเข้าสู่วิชามายาดวงตะวันจันทราและดารา หากทำสำเร็จ วิชานี้ของเขาจะทรงพลังอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version