Skip to content

สู่วิถีอสุรา 869

ตอนที่ 869 ขอแค่เชื่อ

ซูหมิงมองการเปลี่ยนแปลงประหลาดของร่างกายตัวเองอย่างสงบ มองร่างกายเน่าเปื่อยและหายไปกลายเป็นค้างคาว รู้สึกว่าด้านหลังมีปีกกำลังงอกออกมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งปีกส่งเสียงพรึ่บก็กางออกมาจากหลังทั้งหมด ยกไว้เสมอกัน มีความยาวหลายสิบจั้ง ทำให้ร่างเขาดูเต็มไปด้วยความพิลึก

“ค้างคาว….” ซูหมิงยิ้มบางๆ สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงหมานเพลิงกับค้างคาวจันทราตอนยังเยาว์วัย

“ภายนอกคล้ายกันเล็กน้อย ทว่าภายในต่างกันโดยสิ้นเชิง” ซูหมิงหลับตาลง ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอีก และปล่อยให้เวลาผ่านไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่ซูหมิงลืมตาอีกครั้ง ร่างกายเขากลายเป็นค้างคาวยักษ์สีดำเต็มตัว

ความรู้สึกนี้สมจริงอย่างยิ่ง จริงจนในใจอดสั่นไหวขึ้นมามิได้

‘ค้างคาวกลางฝ่ามือ ร่างผีร้ายที่ข้าเห็นตอนอยู่นอกภูเขาวิถีเต๋า กลางฝ่ามือมันมีค้างคาวอยู่ เพียงแต่ว่าวิชามายาระดับนี้ยังไม่อาจเปลี่ยนสติและจิตใจข้าได้’ นัยน์ตาเขาขยับวูบไหว แค่นเสียงหึเย็นชาทีหนึ่ง ตะวันจันทราและดาราในดวงตาหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ร่างเขาพลันสั่นเทา มีเลือดเนื้อผุดขึ้นมาอย่างเร็วรี่

มองจากไกลๆ ร่างกายเขากำลังกลายสภาพจากค้างคาวเป็นคน ราวๆ หลายลมหายใจต่อมา ช่วงที่เขายืนขึ้น ร่างกายก็ไม่ใช่ค้างคาวอีก แต่กลับมาเป็นร่างเดิมแล้ว

แทบทันทีที่คืนร่างเดิม พื้นดินสั่นสะเทือน ขณะพื้นฝ่ามือยักษ์ใต้ร่างซูหมิงกำลังสั่นไหวอยู่นี้ เขาก็รู้สึกถึงภาพที่คุ้นเคย

นั่นคือห้านิ้วมือกำลังหุบลงมาอย่างรวดเร็ว หมายจะบดขยี้เขากลางฝ่ามือ

‘ในเมื่อเป็นภาพมายา เช่นนั้นที่นี่ข้าก็ทำได้ทุกอย่าง’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาพลันกระโดดขึ้น ทะยานสู่ฟ้าด้วยความเร็วทั้งหมด ขณะห้อเหยียดไปฟ้าดินก็ส่งเสียงครึกโครม

นิ้วมือแรกลากยาวลงมาจากด้านบน นิ้วนั้นเข้าแทนที่ฟ้า พริบตาที่มันเข้ามาใกล้ เขายกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ปรากฏดวงตะวันมายาดวงหนึ่งขึ้น และตอนที่ยื่นมือซ้ายออกไปก็ปรากฏดวงจันทร์ ขณะตัวเขาเดินหน้าอยู่ ด้านหลังมีดวงดาราติดตาม ทำให้วิชามายาตะวันจันทราและดาราแสดงออกมาอย่างเต็มที่

โครม! ซูหมิงกดมือขวาลงตรงนิ้วมือแรกที่เคลื่อนลงมา ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว นิ้วมือนั้นถูกดีดออกไปหลายร้อยจั้ง ตอนนี้เอง นิ้วมือที่สองก็ตามเข้ามา

โครม โครม! สองมือซูหมิงมีตะวันและจันทราวนเวียน หลังปะทะกันอีกครั้ง นิ้วที่สองก็ถูกดีดออกไป ความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างบินขึ้นฟ้า นิ้วมือที่สามและสี่ก็เข้ามาใกล้

“ตะวันจันทรา ดวงดารา!” ซูหมิงสะบัดสองมือไปข้างหน้า ระหว่างนั้นดวงตะวันมือซ้ายและดวงจันทร์มือขวา รวมถึงดาราด้านหลัง ก็พุ่งออกมาปะทะกับนิ้วมือยักษ์สองนิ้วนั้นพร้อมกัน

โครม โครม โครม!

เสียงดังสนั่นฟ้า ตอนที่เมฆลมเปลี่ยนสี สองนิ้วมือนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนซูหมิงก็พุ่งออกไป ทันทีที่กำลังจะบินออกจากฝ่ามือพื้นดิน นิ้วมือที่ห้าซึ่งเป็นนิ้วโป้งก็เข้ามาใกล้ราวกับจะถล่มฟ้า

เกิดเสียงลากยาวแสบแก้วหูขึ้น ชั่วขณะที่นิ้วโป้งตรงเข้ามา อักขระต้นกำเนิดจิตรอบตัวซูหมิงค่อยๆ รวมอยู่บนตัวเขา ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นกระบี่คมกริบ ตรงไปยังนิ้วโป้งและตัดผ่านไป

โครม ครืน ครืน!

ฟ้าดินสั่นสะเทือน กระบี่ทะลวงผ่านนิ้วโป้งทันที ไม่มีโลหิตติดมาด้วย ทว่าร่างกายซูหมิงกลับทะลวงออกมาจากฝ่ามือยักษ์ ช่วงเวลานั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำลายเครื่องพันธนาการบางอย่างไป อักขระรอบตัวหายไป ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นและมองลงไปข้างล่างนั้น

ซูหมิงเผยรอยยิ้ม เขาเห็นภูเขาวิถีเต๋า เห็นชายชราตระกูลอวี้ห้าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล และยังมีอวี้เฉินไห่อีกคน

อวี้เฉินไห่ในยามนี้มีสีหน้าตื่นเต้น ส่วนชายชราตระกูลอวี้ห้าคนมีสีหน้าทะมึน

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบินลงไป ทันทีที่เขาบินลงนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี เขาได้ยินเสียงนุ่มนวลกำลังกังวานเนิบๆ อยู่ข้างหู

“สรรพสัตว์ในฟ้าและดินมีชีวิต ชีวิตนี้มิได้คงอยู่นาน ทว่าตระกูลข้าทำลายความลับของฟ้าโดยบังเอิญ สิ่งมีชีวิตที่ทำตาม จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

“ผู้ผ่านสามวิถีสวรรค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เจ้าผ่านด่านแรกแล้ว ขอมอบวิชาช่วงชิงชีวิตให้ สามารถช่วงชิงอายุขัยของคนอื่นมาให้ตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” เสียงนี้ดังมาจากปากผีร้ายบนภูเขาวิถีเต๋า ตอนที่แว่วเข้าหูซูหมิง คำพูดเหล่านี้ก็กลายเป็นน้ำวนในจิตใจ น้ำวนหมุนโคจรอย่างช้าๆ มีพลังชีวิตมหาศาลกระจายมาจากภายใน

ซูหมิงตะลึงงัน

ตอนที่ตะลึงงันนั้น ตัวเขาบินลงมาจากฟ้าสู่พื้นดินแล้ว

อวี้เฉินไห่รีบเดินเข้ามาหลายก้าว มาอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้วโค้งคารวะ เขามีสีหน้าตื่นเต้น ขณะกำลังจะกล่าวนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

“ผู้อาวุโสซู ทะ…ท่าน…”

เสียงอวี้เฉินไห่กลายเป็นเสียงร้องโหยหวนในพริบตา ตัวเขาถอยหลังไปหลายก้าว ระหว่างถอยไปร่างกายเขาเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เหลือเพียงกระดูก ตอนที่ซูหมิงมองไปก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ร่างอวี้เฉินไห่แหลกเป็นชิ้นส่วน กลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป

ทว่ากลับมีเส้นสายพลังชีวิตหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างซูหมิงอย่างเร็วไว พลังชีวิตเหล่านี้มีอายุขัยอยู่ ความรู้สึกไม่อาจบรรยายผุดขึ้นในตัวเขาทันที

เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตตนเปี่ยมล้นขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสีหน้ายังไม่เปลี่ยนไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ กระทั่งไม่ได้คิดจะลงมือฆ่าอวี้เฉินไห่ด้วยซ้ำ

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ นี่…..”

ซูหมิงอึ้งมองอวี้เฉินไห่ตายไป ขยายจิตสัมผัสไปทันที จนกระทั่งไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของอวี้เฉินไห่ ทุกอย่างล้วนชัดเจนแล้วว่า อวี้เฉินไห่…ตายแล้วจริงๆ

ช่วงที่ซูหมิงตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้ ชายชราห้าคนแห่งตระกูลอวี้ที่อยู่ไกลออกไปหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาพลันยืนขึ้น ดูมีสีหน้าเหลือเชื่อ ราวกับไม่นึกเลยว่าซูหมิงจะสังหารคน อีกทั้งยังสังหารอวี้เฉินไห่

“กล้าสังหารคนตระกูลอวี้ เจ้าช่างหาญกล้านัก!” ขณะห้าคนนี้หน้าเปลี่ยนสี ก็มีสี่คนพุ่งเข้าไปหาซูหมิงอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกคนยกมือขวาสะบัดขึ้นฟ้า ท้องฟ้าพลันเกิดเสียงครึกโครม ปรากฏชั้นเมฆสีโลหิตผืนหนึ่ง ชั้นเมฆนั้นปรากฏขึ้นกับอากาศ พริบตาเดียวก็กลายเป็นคำว่าอวี้ขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

นี่คือสัญญาณ เป็นสัญญาณบอกคนตระกูลอวี้

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนกะทันหัน ซูหมิงไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย ยามนี้สี่คนจากชายชราคำรามเสียงต่ำพร้อมเข้ามาแล้ว

ทว่าทันทีที่พวกเขาเข้ามาใกล้และซูหมิงมองไปนั้น สี่คนนี้ก็ร้องโหยหวน สีหน้าดูหวาดกลัวและเจ็บปวด พวกเขาจึงไม่บุกเข้าไปอีก แต่ถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

ทว่าถอยไปเพียงหลายจั้ง ร่างกายก็เน่าเปื่อยเหมือนกับอวี้เฉินไห่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไป พลังชีวิตหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกายซูหมิง ทำให้เขาผู้กำลังสับสนได้สัมผัสถึงความสบายจากพลังชีวิตเปี่ยมล้นขึ้นอีกครั้ง

ความสุขสบายนี้มากพอจะทำให้คนหลงใหล ให้คนลุ่มหลง มันเป็นความรู้สึกยากจะบรรยาย

ชายชราที่เหลืออยู่คนสุดท้าย ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสี ขณะกำลังถอยไปอย่างเร่งรีบ รอบๆ ก็มีสายรุ้งยาวพุ่งเข้ามาจำนวนมาก นั่นคือร่างเงาคนตระกูลอวี้ที่บินเข้ามาอย่างเร็วไวหลังจากเห็นเมฆโลหิต

“เหตุใดถึงเป็นแบบนี้…” ซูหมิงฝืนอดกลั้นความสุขสบายสุดจะบรรยายในร่างกาย ความรู้สึกนี้ทำให้เขาหลงใหลเล็กน้อย มีความรู้สึกอยากจะได้รับความสุขสบายมากกว่านี้ ทว่าเขากลับฝืนอดกลั้นเอาไว้

‘พลังในร่างกายข้าชนิดนี้ไม่ถูกต้อง!’ ซูหมิงกัดฟันแน่น ก่อนบินขึ้นฟ้าไป เขาอยากไปจากที่นี่ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว

ทว่าทันทีที่เขาบินไป คนตระกูลอวี้ก็เข้ามา มีราวๆ เกือบร้อยคนโอบล้อมอยู่และตรงเข้ามาหา แต่เพิ่งจะเข้าใกล้เขาในระยะสามร้อยจั้ง พวกเขาก็ล้วนส่งเสียงร้องทันที ก่อนที่ร่างจะสลายเป็นเถ้าธุลีหายไป พลังชีวิตจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายเขา เขารู้สึกสุขสบายจนอดใจไม่ไหวต้องเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

‘นี่มันพลังอะไรกันแน่!’ ซูหมิงรู้สึกควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เล็กน้อย เขากัดฟันห้อเหยียดไปอีกครั้ง ทว่ากลับมีคนตระกูลอวี้ปรากฏขึ้นเกือบพันคน ร่างเงาคนพวกนี้ต่างใช้อภินิหารไม่มีสิ้นสุดอย่างเกรี้ยวโกรธ

“อย่าเข้ามา หลบไป!” ซูหมิงส่งเสียงตะโกนไป ทว่าช้าไปแล้ว คนเกือบพันรอบๆ เข้ามาใกล้เขา ก่อนกรีดร้องพร้อมกัน จากนั้นก็สลายหายไปทีละคน ความรู้สึกสุขสบายในร่างกายเขาจุดให้เกิดพายุคลั่งในความคิด ทำให้สติเขาเลือนราง นอกร่างกายปรากฏร่างเงาค้างคาวยักษ์ขึ้นมาตัวหนึ่ง

ร่างเงานี้เหมือนกำลังหัวเราะเยาะและสมจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ซูหมิงใช้สองมือกดศีรษะ ดวงตาสองข้างปรากฏเส้นเลือดฝอย ประกายแววตาเต็มไปด้วยความละโมบและคลุ้มคลั่ง เขาพลันขยับวูบไหวและพุ่งไปอยู่กลางตระกูลอวี้อีกครั้ง

จุดที่ผ่านจะเกิดเสียงกรีดร้องดังไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกสุขสบายเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ร่างเงาค้างคาวด้านหลังก็ชัดเจนขึ้น

ทว่าการต่อสู้ดิ้นรนในใจ ตอนนี้เองก็ระเบิดถึงขีดจำกัดเช่นกัน

“ไม่ถูกต้อง หรือว่าข้ายังอยู่ในวิชามายา!” ซูหมิงมีสีหน้าเหี้ยมโหด พยายามให้ตัวเองหยุด ร่างกายสั่นเทา

ดาวทมิฬ ลานตระกูลอวี้ นอกภูเขาวิถีเต๋า อวี้เฉินไห่มองภูเขาวิถีเต๋าอย่างตึงเครียด เขาเห็นค้างคาวในฝ่ามือผีร้ายบนภูเขามีแสงอ่อนๆ กำลังสว่างขึ้นมา

ชายชราตระกูลอวี้ห้าคนข้างกายเขามีสีหน้าราวกับเถ้าที่มอดดับไป คนตระกูลอวี้ที่มาจากรอบๆ มีหลายร้อยคนแล้ว พวกเขาล้วนมองภูเขาวิถีเต๋าอย่างเงียบๆ

ผู้อาวุโสสามของตระกูลอวี้หรือชายวัยกลางคนมีสีหน้าเฉยชา ทว่านัยน์ตากลับเป็นประกายวาววับ เขาจ้องค้างคาวที่กำลังส่องสว่าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version