ตอนที่ 878 ยินดีต้อนรับบรรพบุรุษออกฌาน
เขาเห็นว่ากลางฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่มีวัตถุพิลึกที่ไม่อาจบรรยายขนาดอยู่ชิ้นหนึ่ง เขายากจะเปรียบเทียบมันได้ว่าเป็นอะไร
สิ่งนั้นเหมือนเป็นเสายักษ์ต้นหนึ่ง ทว่าความกว้างของมันราวกับแทนที่ฟ้า พอมองไปจะเกิดความรู้สึกว่ามีปราการขวางอยู่
“นะ…นี่มัน….” ชายชราใจสั่นไหว หมอกเทาจากตัวเขาเกิดระลอกคลื่นรุนแรงตามการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจนสุด เมื่อมองไปก็ยังไม่เห็นสุดปลายเสายักษ์ต้นนั้น
จนกระทั่งใช้พลังจากจิตสัมผัส ยามใช้จิตสัมผัสมหาศาลมองไป หมอกจากร่างเขาสั่นไหวแล้วพลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ประหนึ่งหยุดนิ่งทั้งหมด จิตใจในยามนี้ยิ่งเหมือนไม่เกิดคลื่นแม้แต่น้อย เขา…เบิกตาค้างอย่างสมบูรณ์ สมองขาวโพลนทันที ไม่มีความคิดใดๆ อีก มีเพียงความสับสนจากความตื่นตะลึงอย่างสุดขีด
เขาเห็นรางๆ ในจิตสัมผัสว่าผิวนอกเสายักษ์เป็นเหมือนกับเปลือกไม้ ทว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าโลกนี้จะมีต้นไม้ใหญ่ที่เหนือจินตนาการเช่นนี้อยู่
แต่ครู่ต่อมา ตอนที่เขาเห็นแมกไม้ใหญ่นั้น เห็นกิ่งไม้ไม่มีสิ้นสุด หลังจากเห็นรูปร่างทั้งหมดของต้นไม้ใหญ่ เขาก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา
“นะ…นี่มันอะไร เจ้า…เจ้าเป็นใคร!” เขาตัวสั่น ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหลือเชื่อ
“ข้า คือคนที่จะยึดร่างเจ้า” ร่างแยกเอ้อชางสีม่วงที่ใหญ่ยักษ์เกินบรรยายกล่าวเสียงราบเรียบ เสียงนี้พลันดังกึกก้อง เพียงแว่วออกมาก็สั่นสะเทือนหมอกเทาจากร่างชายชรา สั่นสะท้านไม่หยุดเหมือนแทบจะแหลกสลาย
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นทูต ทูตรับมรดกของเทพสุริยันจันทรา ทว่าเทพสุริยันจันทราได้รับบาดเจ็บสาหัสในยุคสมัยที่เหล่าเทพตกต่ำ ต่อให้เจ้าได้รับมรดกมาก็ไม่น่าจะปรากฏวิญญาณเช่นนี้!
จะ….เจ้าไม่ใช่ทูต!” ขณะชายชรากล่าวเสียงแหลม หมอกเทาจากตัวเขาพลันม้วนถอยไปทันที พยายามหนีออกจากจิตใจซูหมิงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาลองทำมาแล้ว ยามนี้มาลองอีกครั้งก็ยังไม่มีประโยชน์ใดๆ
ที่นี่คือจิตใจซูหมิง ที่นี่คือฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งของเขา ที่นี่คือจุดที่วิญญาณเขาสำแดงพลังได้แกร่งที่สุด ที่นี่….เขาคือเจ้าผู้ปกครอง!
ซูหมิงที่ยึดร่างเอ้อชางมา ในฟ้าดินแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตน้อยมากที่จะยึดร่างเขาได้ เพราะยากเย็นกว่าตอนเขายึดร่างเอ้อชางเสียอีก!
แทบเป็นช่วงที่หมอกสีเทาจากร่างชายชราบ้าคลั่งและคิดจะหนีไปโดยไม่สนสิ่งใด ต้นไม้ใหญ่เอ้อชางร่างแปลงซูหมิงก็ค่อยๆ เปิดออกเป็นโพรงตรงลำต้น
มองไปโพรงนี้เหมือนกับปากใหญ่กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง
ซูหมิงเคลื่อนไหวไม่เร็ว และก็เพราะเขาเนิบช้า จึงสร้างความหวาดกลัวให้กับชายชราอย่างหาที่สุดมิได้ ชายชราลองหนีไม่หยุดหย่อน ส่งเสียงร้องมด้วยความสิ้นหวังเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียง…มองปากใหญ่บนลำต้นซูหมิงค่อยๆ อ้าออกกว้าง ดูน่าสยดสยองจนเขาต้องกรีดร้อง
“ไม่!”
“ปล่อยข้าไป อย่ากินข้า ข้าจะยอมเป็นทาสรับใช้ของท่าน!”
“ขะ…ข้าให้ทั้งตระกูลอวี้เป็นทาสของท่านได้ อย่าฆ่าข้า ขะ….ข้าจะทำสงครามกับดาวทมิฬเพื่อท่าน!” ถึงตอนนี้ชายชราพูดจาสับสนไปแล้ว โอกาสที่เฝ้ารอมาหลายหมื่นปี ยามนี้กลายเป็นเงามืดมรณะ ทั้งที่คิดว่าเป็นโอกาสที่จะทำสำเร็จ แต่พริบตาเดียวกลับตาลปัตร ตนต้องจ่ายราคาเป็นชีวิต ทุกอย่างนี้ทำให้ส่วนลึกในใจเขารับไม่ได้อย่างยิ่ง
“เจ้ามีนามว่าอะไร” ซูหมิงกล่าวเสียงดังก้อง แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามสูงสุด ในจิตใจเขา เสียงเขาคือพลานุภาพสวรรค์ มีดวงจิตที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
“อวี้หาน บรรพบุรุษรุ่นสี่ของตระกูลอวี้…” คำถามของซูหมิงทำให้ชายชราเหมือนคว้าเสี้ยวโอกาสรอดชีวิตได้ เขาจึงกล่าวไปอย่างไม่ลังเล
ทว่าเพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ ปากใหญ่บนลำต้นของต้นไม้เอ้อชางก็สูบทีหนึ่งอย่างน่าสะพรึงกลัว
เมื่อสูบไปแล้ว ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งเกิดเสียงโครมครามพร้อมกัน ทุกส่วนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับผืนฟ้าจะถล่มลง จักรวาลจะพังพินาศ
มิหนำซ้ำในวินาทีนี้ มีเสียงร้องด้วยความสิ้นหวังดังมาจากในหมอกเทาของชายชรา หมอกเทาของเขาถูกสูบมา กลายเป็นเส้นควันจำนวนมากตรงไปยังปากใหญ่เอ้อชางทันที
“ข้ารอคอยมาหลายหมื่นปี คนรุ่นหลังสิบกว่าคนในยุคสมัยต่างกันคอยช่วยข้า ในที่สุดคนที่ข้ารอคอยก็มาถึง ข้าไม่ยอม…ข้า…ไม่ยอม!” ภายในเส้นควันที่กำลังถูกสูบเข้าปากเอ้อชางปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวของชายชรา สีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น สิ้นหวัง และไม่ยอมอย่างเด่นชัด
ทว่าเขาหยุดทุกอย่างไม่ได้เลย เดิมทีเขาคิดว่าคงจะกดขี่ผู้ฝึกฌานที่มาได้ตามสบาย ไม่คิดเลยว่าจะมีความน่ากลัวมากกว่าสัตว์ร้ายบรรพกาลเสียอีก
เวลานี้ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด่านที่สามของวิถีสวรรค์ไม่มีคนอื่นภายนอกรู้ มีเพียงช้างมงคลเหมือนหินภูเขายักษ์ที่เห็นวิถีสวรรค์ด่านสามข้างบนฟ้าเท่านั้นที่เปล่งแสงสว่างจ้า
แสงสว่างเปลี่ยนไปไม่หยุดหย่อน ทำให้ช้างมงคลเหมือนฟื้นคืนชีพ และยังมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกระจายไปรอบๆ ฟ้าดิน
ภายในลานตระกูลอวี้ ขณะคนนับไม่ถ้วนในตระกูลอวี้หมดสติ อวี้โหรวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นางค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
รอยยิ้มนั้นเล็กน้อยมาก กระทั่งหากไม่สังเกตก็ยากจะมองออก มีเพียงนางที่รู้ว่าหนึ่งลมหายใจเมื่อครู่นี้นางมีความสุขมากนัก
‘อย่าหวังจะยึดร่างทูตเลย บรรพชนอวี้หาน ภายใต้แสงสว่างแห่งเทพสุริยันจันทรา เจ้า…ไม่มีทางทำสำเร็จ!’
คำพูดนี้ดังก้องในใจอวี้โหรว กลายเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อครู่นี้
ในเวลาเดียวกัน ณ ด่านสามบนท้องฟ้า กลางแสงสว่างจากช้างมงคลหมื่นจั้ง แผ่นดินข้างกายอวี้โหรวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นเกิดรอยร้าวขึ้นหลายเส้น
รอยร้าวเหล่านี้ตัดสลับกันและค่อยๆ กระจายออกกลายเป็นร่องหุบเขา หนำซ้ำขณะพวกมันตัดสลับกัน ยังก่อขึ้นเป็นสิบสามจุดรอบตัวอวี้โหรว!
ในสิบสามจุดนี้มีหมอกเทาปะทุออกมา หมอกเหล่านี้พลันปะทุขึ้น และรวมเป็นร่างหมอกขนาดราวหลายจั้งสิบสามคน
ในร่างหมอกสิบสามคนนี้ จะเห็นรางๆ ว่ามีชายชราที่แก่เฒ่าอย่างยิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่สิบสามคน เหมือนว่าหมอกรอบตัวพวกเขาคือปราการคุ้มกัน อีกทั้งพวกเขาจำต้องอยู่ในหมอก มิเช่นนั้นจะออกมาข้างนอกไม่ได้
ชายชราสิบสามคนนี้คือสิบสามคนในวิหารใต้ดิน
ตอนนี้พวกเขามีสีหน้าตื่นเต้น ทั้งหมดเงยหน้ามองช้างมงคลบนฟ้า จากการสนทนากันอยู่หลายครั้งกับบรรพบุรุษรุ่นสี่ พวกเขารู้ว่าเมื่อทูตที่บรรพบุรุษรอคอยมาถึง ช่วงที่เขาทำการยึดร่าง ช้างมงคลจะเกิดแสงสว่างแบบนี้
อีกทั้งยังเตรียมการมาหลายหมื่นปี บรรพบุรุษที่ถึงขั้นยืมใช้พลังน่าอัศจรรย์ของสามวิถีสวรรค์ได้ย่อมไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน หากยึดร่างเมื่อใด คนที่ออกมาจะต้องเป็นบรรพบุรุษแน่นอน เว้นแต่จะไม่ยึดร่างเท่านั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงออกมาจากวิหารใต้ดินทั้งหมด อยากจะแสดงความยินดีกับการออกฌานของบรรพบุรุษ กระทั่งพวกเขายังจินตนาการอย่างตื่นเต้นว่า เมื่อบรรพบุรุษออกมาจะต้องมีสมบัติช้างมงคลมาด้วย เขาที่ควบคุมร่างกายทูตเทพสุริยันกับจันทราและเชี่ยวชาญพลังอัศจรรรย์ของสามวิถีสวรรค์ จะทำให้กิจการของตระกูลอวี้เจริญรุ่งเรืองบนดาวทมิฬ
นอกจากนี้…ยังจะพาพวกเขากลับทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ไปตามหาคนในเผ่าอีกสายเลือดหนึ่งของสายเลือดวิถีเต๋า ทำให้เผ่าวิถีเต๋าฟื้นกลับมาสู่จุดสูงสุด ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ท่านบรรพบุรุษต้องทำสำเร็จแน่ อีกไม่นานเขาก็จะออกมาจากช้างมงคล!”
“วันที่ตระกูลอวี้ของเรารุ่งเรืองมาถึงแล้ว!” ช่วงที่ชายชราสิบสามคนมองฟ้าด้วยความตื่นเต้น อวี้โหรวข้างๆ ยืนนิ่งอย่างเฉยชา ไม่มีใครเห็นการเย้ยเยาะที่วูบผ่านแววตานาง
ตอนนี้เอง ช้างมงคลในด่านสามบนฟ้าพลันส่องสว่างถึงขีดสุด มองไปราวกับดวงตะวันดวงหนึ่ง แสงสว่างอาบไล้ไปทั่วแผ่นดิน กระทั่งยังแผ่กระจายความน่าเกรงขามมากมายออกมา
เห็นรางๆ ว่าในช้างมงคลเหมือนปรากฏร่างเงาหนึ่งขึ้น
ชั่วขณะที่ปรากฏร่างเงารางๆ นี้ ชายชราสิบสามคนบนพื้นดินต่างก้มคารวะบนพื้นด้วยความฮึกเหิม
“ยินดีต้อนรับท่านบรรพบุรุษออกฌาน!”
“ยินดีต้อนรับท่านบรรพบุรุษออกฌาน!” ชายชราสิบสามคนกล่าวพร้อมกัน คลื่นเสียงดังสนั่นฟ้าดิน อวี้โหรวในตอนนี้มีสีหน้านอบน้อม ขณะก้มหน้าก้มคารวะก็เอ่ยพึมพำเบาๆ
“ยินดีต้อนรับท่านทูตออกฌาน….” เพียงแต่เสียงของนางถูกกลบในคลื่นเสียงชายชราสิบสามคน ไม่มีใครในตอนนี้ได้ยินเสียงนางซึ่งต่างกับคนอื่นเกินไป
เวลาผ่านไปทีละนิด แวบเดียวก็สิบกว่าลมหายใจ ตอนที่ร่างเงาในช้างมงคลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชายชราสิบสามคนบนพื้นก็ส่งเสียงด้วยความฮึกเหิมดังขึ้นอีก
“ยินดีต้อนรับท่านบรรพบุรุษออกฌาน!”
เสียงทุกอย่างในฟ้าดินแห่งนี้เหมือนถูกคำพูดนี้กลบหายไปสิ้น ทำให้ทั้งผืนฟ้าเหมือนก้องกังวานด้วยประโยคนี้อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งร่างเงาในช้างมงคลเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เก้าลมหายใจต่อมาก็เกิดเสียงระเบิดรุนแรงบีบเข้ามาอยู่ในคลื่นเสียงอันฮึกเหิม ซูหมิงค่อยๆ เดินออกมาจากในช้างมงคลท่ามกลางแสงสว่างไม่มีสิ้นสุด
เขามีสีหน้าเหมือนปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ตอนที่เดินออกมาเส้นผมยาวปลิวไสว อาภรณ์โบกสะบัด มองไปดูเหนือธรรมดา ทว่านัยน์ตามีความน่าเกรงขาม หากเขายืนอยู่บนฟ้า เช่นนั้นเขาก็คือดวงจิตที่อยู่เหนือกว่าฟ้า หากเขายืนอยู่บนพื้น เขาก็เป็นเทพที่อยู่เหนือกว่าแผ่นดิน
พริบตาที่เขาเดินออกมา ชายชราสิบสามคนบนพื้นต่างส่งเสียงฮึกเหิมที่สุดในชีวิต
“ยินดีต้อนรับ…ท่านบรรพบุรุษออกฌาน!”
ซูหมิงมองชายชราสิบสามคนบนพื้น และยังมีอวี้โหรว ใบหน้าเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางแบบที่ไม่อาจจับได้ ดูแล้วชั่วร้ายและพิลึกอย่างยิ่ง