ตอนที่ 884 ความคิดถึงของเลี่ยซาน
ดาวทมิฬในฤดูนี้มีฝนแต่ไม่หนาว สายฝนมาพร้อมกับความอบอุ่น แต่เมื่อตกลงบนตัวคนจะทำให้อาภรณ์ติดกับผิวหนังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมาก
กลางม่านฝน ร่มกระดาษน้ำมันหลายคันเหมือนกับดอกไม้กลางสายฝน หากมองจากบนฟ้าจะมองไม่เห็นคน จะเห็นเพียงฝีเท้าใต้ร่มกำลังเดินอย่างไม่ช้าและไม่เร็ว
ซูหมิงเอามือไพล่หลัง ลมฝนพัดเส้นผมยาวสีเทา ข้างกายเขาคืออวี้โหรวผู้เรียบง่ายแต่งดงาม นางถือร่มคันหนึ่งเดินตามติดอยู่ข้างซูหมิง เหมือนกับเป็นหญิงรับใช้จริงๆ
เส้นผมยาวของซูหมิงปลิวไสวในลมฝน มีอยู่บ้างที่ปลิวผ่านผ้าคลุมหน้าของอวี้โหรว เหมือนกับหลอมรวมกับผ้าคลุมหน้า กลายเป็นลวดลายบนนั้น
ด้านหลังพวกเขามีกระเรียนขนร่วงนั่งอยู่บนตัวสุนัขใหญ่สีเหลือง ปล่อยให้ฝนตกลงบนตัว มีท่าทีจองหองใส่ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจองหองใส่ใคร…
สุนัขตัวใหญ่สีเหลืองยังคงมองอวี้โหรวด้วยเจตนาร้าย และตามไปอย่างรวดเร็วกลางสายฝน
ด้านหลังสุดคือ อวี้เฉินไห่
กลุ่มคนเดินออกจากประตูใหญ่ตระกูลอวี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือฟ้าดินกว้างใหญ่ ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน เป็นที่ตั้งของตระกูลอวี้ หากอยากจะไปลานประมูลก็ต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองวารีดำ
ทั้งดาวทมิฬถูกแบ่งพื้นที่โดยตระกูลต่างๆ ออกเป็นจำนวนมาก ในนั้นมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อน โดยสรุปคือมีเมืองใหญ่ที่สุดสามเมืองคือวารีดำ กิเลนหมึก และโลกดารา แบ่งเป็นขุมอำนาจตระกูลที่ใหญ่ที่สุดสามกลุ่มบนดาวทมิฬ
เพราะความลือชื่อของเมืองใหญ่สามเมืองนี้ เพราะผู้ฝึกฌานในเมือง หรือเพราะเป็นจุดรวมเผ่าประหลาดจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ทั้งยังเป็นเพราะการจัดสรรผลประโยชน์บางอย่าง ดังนั้นตระกูลที่เหลือจึงสามารถจัดงานประมูลของตนในเมืองที่สะดวกได้ แต่ก็มีเก็บค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง
ฉะนั้นงานประมูลขนาดเล็กจำนวนหนึ่งจึงมักจะจัดงานประมูลในสามเมืองที่สะดวกนี้ มีเพียงงานประมูลขนาดใหญ่ที่จะส่งเทียบเชิญและดำเนินงานประมูลในสถานที่ต่างกันของแต่ละตระกูล
อย่างเช่นลานประมูลของตระกูลอวี้ก็จัดตรงที่ราบลุ่มธรรมชาติกว้างใหญ่ที่อยู่นอกเมืองวารีดำไปแปดพันลี้ ที่นั่นมีผู้แข็งแกร่งตระกูลอวี้รักษาการณ์อยู่ตลอดทั้งปี ตัวงานหรูหราอย่างยิ่ง มีคุณลักษณะของลานประมูลระดับกลาง การรักษาการณ์หนาแน่น มิหนำซ้ำยังช่วยเสริมกันกับที่ตั้งตระกูลอวี้ หากตอนประมูลเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็จะแก้ไขได้ตลอดเวลา
จากถิ่นตระกูลอวี้มายังเมืองวารีดำมีระยะทางราวๆ หลายหมื่นลี้ ฟังดูเหมือนไกล แต่สำหรับผู้ฝึกฌานแล้วระยะแค่นี้ก็ไม่เท่าไร
กระทั่งหากไม่อยากบินไป ก็มีอาคมเคลื่อนย้ายไปยังเมืองวารีดำได้ทันที
ซูหมิงไม่ได้ใช้อาคมเคลื่อนย้าย เขาชอบสายฝนของที่นี่ มันเป็นของจริงในมุมมองเขา ก่อนมาถึงดาวทมิฬเขาไม่เคยเห็นเลย
กลางสายฝน กลุ่มคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินอยู่ในม่านฝนกลางฟ้าดิน และค่อยๆ ไกลออกไป
จนกระทั่งบนพื้นดินไกลๆ ปรากฏเมืองยักษ์แห่งหนึ่ง เมืองนี้มองแวบแรกดูประหลาดนัก ไม่มีกำแพงเมือง แต่เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่มาก
บึงน้ำเป็นสีดำทึบ มีไอหนาวแผ่กระจาย ยังผลให้สายฝนที่กำลังจะตกลงบนบึงน้ำกลายเป็นผลึกน้ำแข็งในพริบตา แล้วตกลงกลางบึง เกิดเป็นวงน้ำกระเพื่อมนับไม่ถ้วน
สะพานหินหลายจุดวางพาดผ่านทั้งบึงน้ำ ตรงจุดตัดของสะพานหินเหล่านี้จะมีแท่นราบขนาดราวๆ หมื่นจั้งหรือกระทั่งมากกว่านั้นอยู่ บนแท่นราบมีวิหาร หอ และร้านค้าอยู่จำนวนมาก
จุดตัดของสะพานหินสิบกว่าที่บางแห่งมีแท่นราบใหญ่มากกว่าแสนจั้ง รั้วที่สร้างขึ้นจากหยกวางทอดตัวสุดสายตา
ที่นี่ก็คือเมืองวารีดำ แม้ว่าจะมีฝนตก ทว่าก็บดบังคนที่เดินกันขวักไขว่ไม่ได้ ทุกที่จะเห็นร่างเงาผู้ฝึกฌานอยู่ในเมืองวารีดำ
ความใหญ่ของเมืองมากพอจะบรรจุผู้ฝึกฌานได้หลายหมื่นคน หากมองจากขนาดเมืองก็จะรู้ถึงความกว้างใหญ่ของบึงน้ำ นี่ไม่ใช่บึงน้ำแล้ว แต่ใหญ่พอจะเรียกว่าทะเลด้วยซ้ำ
“ในแต่ละตระกูลบนดาวทมิฬ มีตระกูลโม่ ไท่ฉือ และหวาเป็นสามตระกูลใหญ่ พวกเขาเป็นสามตระกูลที่แกร่งที่สุดบนดาวทมิฬ และก็มีแค่ขุมอำนาจอย่างตระกูลพวกเขาเท่านั้นถึงจะสร้างเมืองแบบนี้ขึ้นมาได้
ขนาดเผ่าประหลาดในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตยังต้องเกรงใจสามตระกูลใหญ่มาก แม้แต่ขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงยังมาที่นี่เป็นบางครั้งเพื่อเข้าคารวะสามตระกูลใหญ่
เล่าลือว่า…เพียงแค่เล่าลือเท่านั้นนะ สามตระกูลใหญ่สามารถต่อรองเงื่อนไขกับสี่มหาโลกแท้จริงให้ส่งคนในตระกูลออกจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตไปฝึกฝนยังสี่มหาโลกแท้จริงได้” อวี้เฉินไห่เดินเร็วๆ มาหลายก้าว แล้วกล่าวเสียงเบาข้างหลังซูหมิง
ทุกคนบินลงจากบนฟ้า มาอยู่นอกเมืองวารีดำ
“เมืองวารีดำสร้างโดยตระกูลไท่ฉือ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเฉพาะบึงน้ำแห่งนี้ยิ่งมีตำนานมากมาย มีบันทึกน่าเหลือเชื่อหลายเล่ม เลยไม่รู้ว่าจริงหรือไม่
ทว่ามีตำนานหนึ่ง เคยมีคนตระกูลอวี้ของเราเห็นกับตาว่าตรงส่วนลึกของบึงน้ำนี้มีสัตว์ร้ายโบราณน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งตัวหนึ่ง มันมีเก้าหัว…จะปรากฏตัวทุกๆ หมื่นปี ส่งเสียงคำรามสองคำแล้วก็จากไป”
นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ ฟังคำพูดอวี้เฉินไห่พลางมองบึงน้ำเมืองวารีดำที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง
“ไปเถอะ ไปดูลานประมูลของตระกูลเลี่ยซานในเมืองวารีดำกัน” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เขาเดินอยู่ข้างหน้า อวี้โหรวสงบนิ่งตลอดทาง ตอนนี้พอซูหมิงเดินไป นางจึงกางร่มให้เขาและเดินขึ้นไปบนสะพานหินแห่งหนึ่งกลางบึงน้ำ
เมืองนี้ไม่มีทหารรักษาการณ์ รอบเมืองมีสะพานหินเป็นทางเข้าอยู่จำนวนมาก ไปมาได้ตามอำเภอใจ เรื่องที่ไม่มีการป้องกันนี้ อธิบายได้เพียงว่าตระกูลไท่ฉือที่ควบคุมเมืองนี้อยู่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง
สุนัขเหลืองตัวใหญ่ก้มหน้ามองบึงน้ำตลอดเวลา นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ พอดมอย่างถี่ถ้วนแล้วมันก็ออกห่างจากบึงน้ำทันที ส่วนกระเรียนขนร่วงไม่สนใจบึงน้ำแม้แต่น้อย ยามนี้ก้มหน้าลง ขยับกรงเล็บตัวเองไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคำนวณอะไรอยู่
ขณะเดินอยู่บนสะพานก็เห็นเมืองที่ไม่เหมือนใครตรงหน้า
ซูหมิงมีสีหน้าผ่อนคลายลงมาก อวี้โหรวข้างๆ เดินตามอย่างสงบ หลังจากเข้าไปในเมืองก็เริ่มเห็นผู้ฝึกฌานไม่น้อย
ถึงอวี้โหรวจะสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ แต่ก็ยังดึงดูดสายตาของผู้ฝึกฌานรอบๆ
นางเหมือนชินกับการถูกมองแบบนี้แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไร ยังคงทำเหมือนกับหญิงรับใช้ แบบนี้จึงทำให้ซูหมิงถูกผู้ฝึกฌานรอบๆ เพ่งมองมา
ทว่าส่วนใหญ่มองมาแวบหนึ่งแล้วจะละสายตากลับทันที
ท่าทางของซูหมิงตอนนี้ มีหญิงรับใช้คอยตาม มีสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง กระเรียนขนร่วงตัวหนึ่ง และยังมีอวี้เฉินไห่อยู่ข้างๆ ราวกับเด็กรับใช้ ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต้องเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรจากตระกูลมั่งคั่ง
กระทั่งไม่ต้องใคร่ครวญก็มั่นใจได้เลยว่า ซูหมิงจะต้องเป็นบุตรสายตรงของบางตระกูลอย่างแน่นอน พาคนรับใช้มายังดาวทมิฬเช่นนี้ คนแบบนี้ปกติแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีใครไปล่วงเกินก่อน
อวี้เฉินไห่เป็นคนตระกูลอวี้ จึงเป็นที่รู้จักในเมืองวารีดำอย่างดี ภายใต้การนำทางด้วยความนอบน้อมของเขา ซูหมิงเดินอยู่บนสะพานหินหลายแห่ง ไม่นานก็เห็นจุดที่มีสะพานหินหกแห่งตัดสลับกัน
ตรงนั้นมีแท่นราบใหญ่ราวสามหมื่นกว่าจั้งอยู่ ด้านบนมีสิ่งก่อสร้างลักษณะวงรีอยู่หนึ่งหลัง เหมือนกับว่ามันตั้งล้อมพื้นดิน ตรงกลางอากาศวงแหวนนั้นมีแท่นราบลอยอยู่เช่นกัน กำลังขยับแสงวิบวับ
โดยรอบมีวัตถุมายาเป็นเส้นๆ อยู่นับไม่ถ้วนกำลังพลิ้วไหว เส้นเหล่านี้ดูเหมือนโปรยลงมา ทว่าหากมองดีๆ จะดูออกว่าพวกมันรวมเป็นสี่คำใหญ่
ตระกูลเลี่ยซาน
“ที่นี่คือลานประมูลของตระกูลเลี่ยซานที่จัดในเมืองวารีดำ สิ่งก่อสร้างดูแปลกไปบ้าง ลานประมูลของตระกูลเลี่ยซานจะเป็นแบบนี้ตลอด ไม่สวยงามเท่าลานประมูลของตระกูลอวี้เรา” อวี้เฉินไห่กล่าวเสียงเบา
ซูหมิงเงียบงัน เขามองสิ่งก่อสร้างลักษณะวงแหวนยักษ์ สีหน้าซับซ้อนขึ้นมา สิ่งก่อสร้างประหลาดนี้อาจไม่สวยงามนักในมุมมองคนอื่น ทว่าสำหรับซูหมิง พริบตาที่เห็นสิ่งก่อสร้างนี้ ในใจก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นหลายชั้น
บนสิ่งก่อสร้างวงแหวน เขาเห็นว่าทุกจุดมีส่วนเว้าและนูนขึ้น มีขวางและตั้งตัดกันจำนวนมาก นี่…มันใช่สิ่งก่อสร้างที่ไหนกัน เห็นชัดเลยว่านี่คือ…แผนที่ของเผ่าหมาน!
จุดเว้าลงไปคือแอ่งกระทะ จุดที่นูนขึ้นคือที่ราบสูง การตัดกันของแนวขวางและตั้งคือเทือกเขาขึ้นลงหลายแห่ง ตรงกลางอากาศของวงแหวนนั้นก็คือ…ทะเลมรณะ!
แท่นราบกลางอากาศคือใจกลางในอดีตของเผ่าหมาน เป็นที่ตั้งราชวงศ์ต้าอวี๋ นี่คือแผนที่เผ่าหมานสมบูรณ์แบบ สิ่งก่อสร้างนี้รวมออกมาเป็นความคิดถึงที่เลี่ยซานซิวมีต่อบ้าน
ความคิดถึงนี้ บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าไม่มีใครอธิบายได้ ดังนั้นจึงนำความคิดถึงหลอมรวมอยู่ในสิ่งก่อสร้างของตระกูลเลี่ยซาน บางทีเขาอาจไม่เคยคิดว่าจะมีคน…มองเห็นความคิดถึงของเขาจากสิ่งก่อสร้างนี้
ซูหมิงมองออก เขาเหม่อมองสิ่งก่อสร้างลักษณะวงแหวน มองเส้นมายารอบๆ ที่มีอยู่ไม่มากไม่น้อย หนึ่งพันเส้นนี้เหมือนกับสายเลือดในกายเผ่าหมาน เป็นการรู้แจ้งและรากฐานของวิชาเผ่าหมาน
ในมุมมองซูหมิง สี่คำที่รวมขึ้นจากเส้นโลหิตนี้ไม่ใช่วิชาอภินิหารอะไร
แต่คือลายหมานของเผ่าหมาน!
ใช้เส้นโลหิตพันเส้นรวมขึ้นเป็นลายหมาน!
“คิดถึงบ้านเกิด…” ซูหมิงพึมพำ เขารู้สึกอย่างชัดเจนถึงความคิดถึงต่อบ้านที่แฝงอยู่ในสิ่งก่อสร้างทรงวงแหวน เขามองอย่างเงียบๆ ทุกอย่างข้างหูหายไป โลกตรงหน้าเลือนราง มีเพียงสิ่งก่อสร้างวงแหวนนี้อย่างเดียว
‘แผ่นดินเผ่าหมานแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ในสมัยเทพหมานรุ่นสองแล้ว ในสมัยเทพหมานรุ่นหนึ่งมันยังสมบูรณ์ เดิมทีข้าคิดว่าเป็นแผ่นดินใหญ่หนึ่งแผ่นดิน ทว่าตอนนี้ นี่ต่างหาก…คือแผ่นดินเผ่าหมานในสมัยเทพหมานรุ่นหนึ่ง
ถึงภายหลังจะเปลี่ยนไปมาก ข้าก็ยังเห็นร่องรอยบางอย่างจากตัวมัน…ที่นั่นคือ…ยอดเขาลำดับเก้า ที่นั่นคือ…ภูเขาทมิฬ’ ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ
“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปกัน” ซูหมิงบอกเสียงเบาแล้วเดินอยู่ข้างหน้า
เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว ก็มีผู้ฝึกฌานหลายคนเดินออกมาจากในลานประมูลแห่งนี้ทันที ตอนนี้กำลังดำเนินงานประมูลอยู่ หากไม่มีสิ่งยืนยันเฉพาะก็จะเข้าร่วมกลางคันไม่ได้
ทว่าอวี้เฉินไห่เป็นคนตระกูลอวี้ เขาพาซูหมิงมาที่นี่ได้ย่อมต้องมีวิธีอยู่แล้ว เขาหยิบตราชิ้นหนึ่งออกมา ผู้ฝึกฌานเหล่านั้นต่างหลีกทางให้อย่างว่าง่าย ทั้งยังมีเสียงหัวเราะเบิกบานแว่วมาจากข้างใน
“ที่แท้ก็เป็นสหายเฉินไห่ เชิญเข้ามาๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นตามด้วยชายฉกรรจ์ร่างกำยำอย่างยิ่งคนหนึ่ง เขามีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี คิ้วหนาตาโต ดูหยาบกระด้างนัก เทียบกับผู้ฝึกฌานธรรมดาแล้วเขาดูล่ำสันอย่างเห็นได้ชัด