ตอนที่ 883 แรกรู้จักเลี่ยซาน
ฤดูนี้ของดาวทมิฬมีฝนตกบ่อยครั้ง ฟ้ามืดติดกันหลายวัน วันนี้ก็มีฝนตกเสียงดังซ่าๆ เช่นกัน
ฝนตกลงสู่พื้นดิน ทำให้ทั้งโลกเหมือนเป็นภาพขมุกขมัว ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางหอหลังหนึ่งในตระกูลอวี้ สายตามองฝนที่อยู่ตรงหน้าต่าง ตรงหน้าเขาวางแผ่นบันทึกที่สร้างจากหินหยกม้วนหนึ่ง ด้านบนประทับสภาพพื้นดิน ขุมอำนาจ และตำแหน่งลานประมูลของทุกคนบนดาวทมิฬไว้
กระทั่งบนม้วนแผ่นหยกนี้ยังมีพื้นที่ของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตขนาดใหญ่มาก เพียงแต่มันดูเหมือนใหญ่ ทว่าความจริงเมื่อเทียบกับทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอันกว้างใหญ่จริงๆ แล้ว แผนที่ที่ตระกูลอวี้ให้คนในตระกูลรวบรวมมาไม่รู้กี่ปีนี้เป็นเพียงเม็ดข้าวในทะเลเท่านั้น
ซูหมิงถือแผ่นหยก เขาไม่ได้มองมันในทันที แต่มองสายฝนนอกหน้าต่าง สายตาครุ่นคิด
‘ช้างมีสองร่าง หนึ่งคือร่างแห่งความจริง อีกหนึ่งคือมายาแห่งความว่างเปล่า! ร่างจริงของช้างตาชั่งเหมือนกับฐานะสูงส่งของเผ่าวิถีเต๋า มิใช่พลังแห่งบรรพชนวิญญาณ ความว่างเปล่าของช้างก็เหมือนกับความนึกคิดเพ้อฝัน สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่า…ช้างตัวนี้สามลมหายใจ!’
ในความคิดกึกก้องไปด้วยเสียงของผีร้ายชั่งช้างตอนอยู่ในห้องลับ
‘ข้าไม่ค่อยเข้าใจประโยคนี้ แต่พอใคร่ครวญดีๆ แล้ว ช้างมีสองร่างที่ว่านั้นบอกว่าเป็นความจริงกับมายา ความจริงคือร่างจริงของช้าง ส่วนมายา…ผู้คนมักพูดถึงสภาพการณ์ ช้างในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งมีชีวิต แต่เป็น…สภาพการณ์ชนิดหนึ่ง เป็นสภาพแวดล้อม’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย
‘แบบนี้ก็จะอธิบายความหมายของประโยคที่สองและสามข้างหลังได้ ร่างจริงของช้างตาชั่งเหมือนกับฐานะสูงส่งของเผ่าวิถีเต๋า เพียงแต่คนที่ทำแบบนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่ระดับชีวิตบรรลุถึงบรรพชนวิญญาณก็ไม่มีทางทำได้
ประโยคที่สามเข้าใจแบบนี้ได้ หรือก็หมายความว่าชั่งน้ำหนักสภาพการณ์กับภาพลวงตา แต่ประโยคสุดท้าย ช้างตัวนี้สามลมหายใจ หมายความว่าอย่างไร…’ ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะกับตัวเอง นำความสงสัยเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจ
สายตามองม้วนหยก
ข้างกายเขามีถุงเก็บวัตถุใบหนึ่ง ทุกช่วงเขาจะเอามือล้วงเข้าไป หยิบหินผลึกออกมาวางบนแผ่นหยกก้อนหนึ่ง หลังจากหินผลึกขยับแสงวิบวับหลายครั้งแล้วก็หลอมรวมเข้าไปในม้วนหยก
แผ่นหยกม้วนนี้ประหลาดมาก บางทีอาจเป็นเพราะอยู่มานาน ทุกครั้งที่มีคนอ่านจะเกิดความเสียหาย ดังนั้นหากจะอ่านก็ต้องใช้หินผลึกมาบำรุง
อวี้โหรวสวมผ้าคลุมหน้า เอกลักษณ์ต่างกับเมื่อก่อนอย่างมาก กระทั่งระลอกคลื่นพลังยังอ่อนลงเยอะ ดูแล้วเป็นเพียงเจ้าปกครองโลกตอนต้นเท่านั้น ไม่ได้มีพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายดังเดิมเลย
นางนั่งคุกเข่าอยู่ข้างซูหมิงอย่างเงียบๆ ควันสีเขียวโชยมาจากกระถางธูปหลายอันในห้อง ให้ความรู้สึกเหนือธรรมดาบางอย่าง
ตรงหน้านางเป็นสุรากำลังต้มเหยือกหนึ่ง นางใช้มืองามยกมันขึ้นแล้วเทใส่แก้วสุราอย่างเบามือ ก่อนจะวางไว้ข้างซูหมิงที่กำลังอ่านแผ่นหยก
ท่าทางของนาง กิริยาของนาง ดูเหมือนกับหญิงรับใช้ก็ไม่ปาน
นี่เป็นภาพที่มีท่วงทำนองอย่างยิ่ง ควันสีเขียวบางๆ หญิงรับใช้เหนือธรรมดา สายฝนนอกหน้าต่าง ส่งเสียงดังซ่าซ่ากึกก้องราวกับเพลงกลอนแห่งสวรรค์ ทว่าในภาพนี้กลับมีอยู่สามอย่างที่ไม่เข้ากัน
กระเรียนขนร่วงนอนหมอบบนพื้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ กลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด…
“หินผลึก เจ้ารับปากข้าแล้วว่าเจ้าจะให้หินผลึกข้า เจ้า เจ้า เจ้า….เจ้าทำเกินไปแล้ว หินผลึกเยอะขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงแบ่งให้ข้านิดเดียว หินผลึกของข้า เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ พวกนั้นเป็นหินผลึกของข้า….
เจ้า…อ๊าก นี่เจ้ายังวางหินผลึกเข้าไปข้างในอีกรึ โอ้สวรรค์ สามร้อยเจ็ดสิบเก้าก้อนแล้ว นั่นมันหินผลึกนะ หินผลึกพร่างพราวสามร้อยเจ็ดสิบเก้าก้อนเชียว” ขณะกระเรียนขนร่วงร้องโอดครวญ มันก็จ้องซูหมิงตาเขม็ง มองเขาอ่านม้วนแผ่นหยกและใส่หินผลึกลงไปทีละก้อนๆ ภาพเหล่านี้แทบจะทำให้มันคลุ้มคลั่ง
ทว่าซูหมิงไม่ได้สนใจเสียงโอดครวญของมัน แม้แต่อวี้โหรวก็ยังไม่สนใจ นางมองสุราที่กำลังต้มอยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมย ราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ
และยังมีอีกจุดหนึ่งที่ไม่เข้าพวกคือ….สุนัขตัวใหญ่สีเหลือง
มันนอนหมอบอยู่ไม่ไกล จ้องอวี้โหรวอย่างไม่เป็นมิตร บ้างก็ส่งเสียงเห่าขู่ เหมือนว่าอวี้โหรวทำให้มันรู้สึกถึงอำนาจคุกคามทางอ้อมบางอย่าง
‘บัดซบ เหตุใดถึงมีหญิงงามเหมือนกับนายหญิงน้อยอยู่แบบนี้ ดูจากท่าทางซูหมิงแล้ว เหมือนจะยอมรับหญิงสาวสมควรตายผู้นี้ด้วย ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!’
สุนัขใหญ่สีเหลืองกลอกตาไปมา ตรึกตรองอยู่ตลอดว่าถ้านายหญิงน้อยอยู่ที่นี่จะทำอย่างไร อำนาจคุกคามและเจตนาร้ายในแววตาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งสุดท้ายที่ไม่เข้ากันมาจากอวี้เฉินไห่
เขานั่งเหม่ออยู่ข้างๆ ตนเป็นคนนำแผ่นหยกนี้มาให้ซูหมิงเอง บ้างก็มองซูหมิง แต่จะแอบมอบอวี้โหรวเสียมากกว่า
เขามักจะรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อยกับหญิงคนนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใดมาก่อน จุดนี้ยังไม่สำคัญ สำคัญคือถึงนางจะสวมผ้าปิดหน้าและปิดใบหน้าไปมากกว่าครึ่งจนเห็นเพียงรางๆ แต่ก็ยังเห็นความงามที่ทำให้คนใจสั่นไหวอยู่
ความงดงามแบบนี้ทำให้เขาใจเต้นระรัวขึ้น
‘ไม่ควร ด้วยขั้นพลังของข้าไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ทว่าเหตุใดนางถึงทำให้ข้ารู้สึกใกล้ชิดมากๆ เป็นความใกล้ชิดนี้ที่ทำให้ในใจข้าตื่นเต้นขึ้นมา’
ไม่ง่ายเลยที่อวี้เฉินไห่จะระงับความรู้สึกในใจนี้ไป เขาไม่กล้ามองหญิงคนนั้น กลัวว่าจะทำให้ซูหมิงเข้าใจผิด ดังนั้นถึงแม้จะอยากมอง ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
“ผู้อาวุโสซู อีกสามวันก็จะถึงงานประมูลที่ข้าเป็นเจ้าภาพแล้วขอรับ…” อวี้เฉินไห่รีบกล่าวเสียงต่ำ
ฐานะซูหมิงเปลี่ยนไปในตระกูลอวี้ สำหรับคนนอกเป็นผู้มาเยือนที่แท้จริง ทว่าความจริงข้างในคนในตระกูลยังไม่รู้
“รู้แล้ว” ซูหมิงพยักหน้า หยิบหินผลึกวางบนแผ่นหยกและอ่านต่อไป
“เอ่อ…หากผู้อาวุโสมีเวลา พวกเราไปดูงานประมูลของคนอื่นเพื่อความคุ้นเคยหน่อยดีหรือไม่?” อวี้เฉินไห่รีบเสนอขึ้น
ซูหมิงไม่กล่าวราวกับไม่ได้ยิน
อวี้เฉินไห่ยิ้มเฝื่อน ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรอีกดี เขามองอวี้โหรวอีกครั้งโดยจิตใต้สำนึก ตอนที่มองไป อวี้โหรวเงยหน้าขึ้นมองอวี้เฉินไห่แวบหนึ่งเช่นกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใบหน้าใต้ผ้าคลุมถึงเผยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นประทับในดวงตาอวี้เฉินไห่ กลายเป็นอาการใจสั่นไหวอย่างยากจะควบคุมจิตใจ สายตามองนางด้วยความหลงใหล
ท่ามกลางสามสิ่งที่ไม่เข้ากันนี้ บรรยากาศในหอจึงแปลกไปเล็กน้อย ซูหมิงยังคงอ่านม้วนแผ่นหยก มือขวาล้วงเข้าไปในถุงเก็บวัตถุเพื่อหยิบหินผลึกออกมา เขาอ่านแผ่นหยกไปมากกว่าครึ่งแล้ว ยังเหลือเรื่องที่เกิดขึ้นบนดาวทมิฬในหมื่นปีมานี้อีกเล็กน้อย ตอนนี้ขณะที่มือถือหินผลึกและขณะกำลังจะวางลงบนแผ่นหยก มือขวาพลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นในห้องนี้ก็เกิดความอึดอัดขึ้นมาทันที อวี้โหรวพลันรู้สึกถึงความอึดอัดนี้ กระเรียนขนร่วงก็อึ้งงัน ไม่ร้องโอดครวญอีก แต่มองซูหมิงอย่างประหลาดใจ แม้แต่สุนัขตัวใหญ่สีเหลืองที่มีสีหน้าไม่เป็นมิตรยังกะพริบตาปริบๆ แล้วมองซูหมิง
มีเพียงอวี้เฉินไห่ที่ยังตกอยู่ในบ่วงความหลงใหล ไม่อาจถอนตัวขึ้น
‘ตระกูลเลี่ยซาน ผงาดขึ้นบนดาวทมิฬเมื่อหมื่นปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลนี้นามเลี่ยซานซิว มีเบื้องหลังลึกลับยากจะคาดเดา ขั้นพลังยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก…คนผู้นี้มีความสามารถที่โดดเด่นและมองการณ์ไกล ในเวลาหมื่นปีเขาทำให้ตระกูลของเขาเข้ามาอยู่ในลานประมูลระดับกลางบนดาวทมิฬได้’
ซูหมิงกำลังอ่านประโยคนี้ในแผ่นหยก
‘เลี่ยซานซิวเป็นคนที่เหี้ยมโหดไร้ความปรานี ถึงจะไม่รู้เบื้องหลังเขา ทว่า ฟ้ากระจ่างดาวที่เขาอยู่จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน ทว่า…จากการตรวจสอบหลายครั้งในหมื่นปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นทะเลดาราต้นกำเนิดจิตหรือสี่เขตฟ้ากระจ่างดาวใหญ่ล้วนไม่มีเบาะแสของเขาเลย…’
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ กระทั่งคลื่นลมกลายเป็นฟ้าผ่าดังกังวานอยู่ในจิตใจ
ความสงบนิ่งของเขาเป็นของปลอม ความตื่นตะลึงต่างหากคือของจริง
แม้จะมีการคาดเดาอยู่บ้างแล้ว แต่พอมาเจอจริงๆ ในใจก็ยังไม่อาจสงบลงได้
มือขวาที่ถือหินผลึกเตรียมจะวางลงหยุดนิ่ง กลิ่นอายพลังในร่างกายแผ่ออกมาเล็กน้อย ทำให้หอแห่งนี้เกิดความอึดอัดขึ้น
หลายลมหายใจต่อมา ความรู้สึกอึดอัดในหอก็หายไป ซูหมิงนำหินผลึกวางไว้บนแผ่นหยกก่อนจะอ่านต่อไป จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาถึงหลับตาลง
‘เลี่ยซานซิว…’
“อวี้เฉินไห่ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะไปดูลานประมูลของตระกูลอื่นรึ?” ซูหมิงลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองอวี้เฉินไห่ มองเพียงแวบเดียวเขาก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มประหลาดใจ
อวี้เฉินไห่ในตอนนี้กำลังเหม่อมองอวี้โหรว ความหลงใหลในแววตา ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน
แต่อวี้โหรวมีสีหน้าเช่นปกติ ราวกับว่าไม่ถือสา…คนรุ่นเยาว์ในตระกูลตัวเองที่มองตนอย่างหลงใหลเช่นนี้แม้แต่น้อย
ซูหมิงกระแอมทีหนึ่ง อวี้เฉินไห่ตัวสั่นสะท้าน ได้สติขึ้นมาทันที ตอนที่เห็นซูหมิงกำลังมองตน เหงื่อเย็นๆ พลันซึมผ่านอาภรณ์ทั่วตัว ใบหน้าขาวซีด กระทั่งนึกถึงผลที่ตามมา ในใจก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัวกว่าเดิม
เขาไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรถึงเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของหญิงรับใช้คนนี้ และเข้าสู่สภาวะลุ่มหลง ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้วจึงเกิดความกลัวขึ้นโดยพลัน กลัวว่าซูหมิงจะไม่พอใจ
“ผู้อาวุโส…..ข้า…..” อวี้เฉินไห่กำลังจะอธิบายด้วยความกระวนกระวาย
“ตระกูลเลี่ยซานมีงานประมูลหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวราบเรียบขัดคำพูดอวี้เฉินไห่
“ตระกูลเลี่ยซานอยู่ลานประมูลระดับกลาง งานประมูลเล็กจะจัดหนึ่งครั้งในทุกๆ สามวัน วันนี้ก็มี” อวี้เฉินไห่รีบพยักหน้า
“ไปเถอะ เจ้านำทางไปลานประมูลของตระกูลเลี่ยซาน” ซูหมิงยืนขึ้น กล่าวพลางเดินไปยังประตู กระเรียนขนร่วงทำตาปริบๆ หลังจากมองไปมากับสุนัขใหญ่แล้ว พวกมันก็วิ่งฉิวตามซูหมิงไป
อวี้โหรวยืนขึ้นแบบเรียบๆ สง่างาม เก็บเหยือกสุรา แล้วขยับร่างระหงตามหลังซูหมิง
ตอนนี้อวี้เฉินไห่ค่อยถอนหายใจโล่งอกและรีบตามไป
เขามองสัดส่วนโค้งเว้าของอวี้โหรวตรงหน้า พลันนึกถึงอาการล่วงเกินของตนเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าซูหมิงจะไม่ได้สนใจอะไร และหญิงรับใช้คนนี้ที่จู่ๆ โผล่มาก็เหมือนจะไม่ได้สนใจด้วย
อวี้เฉินไห่หัวใจเต้นแรงราวหลงเสน่ห์ เขาไม่กล้าคิดไกล เดินตามซูหมิงออกจากหอไปอยู่กลางสายฝน