Skip to content

สู่วิถีอสุรา 882

ตอนที่ 882 ชั่วร้าย

เมื่อเสียงชายชราสิบสามดังก้องกังวานวิหารใต้ดิน หมอกสีเทาบนตัวพวกเขาก็ม้วนตลบขึ้นทีละน้อย เดิมทีการหมุนวนของหมอกเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยบดบังแสงตะวันให้พวกเขา เวลานี้มันเดือดพล่านอย่างรุนแรง หนำซ้ำระหว่างที่ซูหมิงยกมือขวาสะบัดไป หมอกเหล่านี้ก็ยังกระทบกันจนเกิดเสียงดังครึกโครม

“ผู้ศรัทธาข้าจะได้รับการคุ้มครองจากฟ้ากระจ่างดาวเอ้อชางของข้า” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ ครั้นสะบัดมือไป การชนกันของหมอกก็พลันรุนแรงถึงขีดสุด แต่ไม่นานก็เงียบหายไปทันที

แม้แต่หมอกยังกระจายตามไป เผยให้เห็นเป็นชายชราร่างคล้ายโครงกระดูกสิบสามคนหมอบอยู่บนพื้นตรงหน้าซูหมิง ถึงร่างกายพวกเขาจะเป็นหนังหุ้มกระดูก ทว่ากลับมีความรู้สึกคล้ายพายุคลั่งแฝงอยู่ภายใน

“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่มอบชีวิตใหม่ให้!” ชายชราสิบสามคนนี้มีสีหน้าฮึกเหิม เปลวเพลิงสีม่วงในแววตาลุกโชน หลังจากเข้ามาแทนที่ลูกตาทั้งหมดแล้ว ดวงตาพวกเขาจึงกลายเป็นสีม่วง

สีม่วงนั้นไม่แข็งกระด้าง แต่แฝงไว้ด้วยความปราดเปรียวที่ทุกคนควรมี เมื่อสิ้นคำพูดสิบสามคนนี้ กลิ่นอายพลังเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ในตัวซูหมิงก็กลับไปในกาลเวลาของมันอย่างสมบูรณ์

“ตระกูลอวี้ก็ยังเป็นตระกูลอวี้ การคงอยู่ของแซ่ซูมีแค่พวกเจ้าที่รู้ก็พอ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะ อวี้โหรวอยู่ก่อน” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบแล้วเดินหน้าไป หนึ่งก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าวิหารใต้ดินแล้ว ตรงนั้นมีขั้นบันไดอยู่ มันคือวัตถุคล้ายแท่นบวงสรวง บนแท่นบวงสรวงมีเก้าอี้หินยักษ์อยู่หนึ่งตัว

ซูหมิงยืนอยู่หน้าเก้าอี้หิน หมุนตัวกลับแล้วค่อยๆ นั่งลง

ช่วงที่เขานั่งลง ความรู้สึกน่าเกรงขามกระจายมาจากตัวเขา เข้าปกคลุมรอบๆ เขาเรียกตัวเองว่าข้าแซ่ซูต่อหน้าคนเหล่านี้ หากเป็นก่อนหน้าเขาจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด ทว่าตอนนี้ชายชราสิบสามคนรวมถึงอวี้โหรวถูกวิชาแห่งความเชื่อจากกลิ่นอายที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนซึ่งหลงเหลืออยู่ในตัวเขา….เปลี่ยนให้เป็นทูตอย่างสมบูรณ์แล้ว

เหมือนกับเทพสุริยันและจันทราที่ทำให้คนอื่นเชื่อได้ แล้วกลายเป็นทูตของพวกเขา ซูหมิงในตอนนี้กำลังทำแบบนั้น

ชายชราสิบสามคนขานรับด้วยความเคารพทันที ต่างก้มหน้าลงแล้วเอ่ยลา พวกเขาจะปรากฏตัวในตระกูลอวี้ จะสร้างความตื่นตะลึงให้คนตระกูลอวี้ทั้งหมด และทำให้คนตระกูลอวี้ฮึกเหิม กระทั่งนำพาตระกูลอวี้เปิดฉากการแย่งชิงอำนาจใหม่บนดาวทมิฬ

บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่อาจเป็นตระกูลที่อยู่จุดสูงสุดบนดาวทมิฬ แต่ก็มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ใช่อย่างตอนนี้อีก แต่กลายเป็นส่วนยอดของลานประมูลระดับกลาง

หลังจากชายชราสิบสามคนแยกย้ายกันไปแล้ว อวี้โหรวก้มหน้าลง คุกเข่าอยู่ตรงหน้าซูหมิงอย่างเงียบๆ ไม่พูดสักคำ

โดยรอบเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ซูหมิงเองก็ไม่พูด แต่นั่งมองอวี้โหรวบนเก้าอี้หิน

เวลาค่อยๆ ผ่านไป อวี้โหรวเริ่มมีสีหน้ายากจะสงบ เปลวเพลิงสีม่วงในแววตานางกำลังลุกโชน สีหน้าค่อยๆ เกิดความสับสนและดิ้นรน

“ให้เหตุผลที่ข้าไม่ควรจะสังหารเจ้ามาข้อหนึ่ง” เสียงซูหมิงดังกังวาน ทำลายความเงียบของที่นี่

“เหตุใดท่านคิดจะสังหารอวี้โหรว?” อวี้โหรวเงยหน้าขึ้น นั่นคือใบหน้าที่ทำให้คนใจสั่นไหว มีความงามจนบุรุษต้องหายใจกระชั้น

“เป็นเพราะอวี้โหรวปิดบังความลับของช้างมงคลอย่างนั้นหรือ ถึงบรรพบุรุษอวี้หานจะวางแผนมาหลายหมื่นปี แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพ ไม่คู่ควรเรียกขานว่าบรรพชนวิญญาณ และยิ่งไม่คู่ควรจะเรียกเทพบรรพชนเป็นเพียงผู้ฝึกฌานชนรุ่นหลังวิญญาณเท่านั้น

ผู้ฝึกฌานชนรุ่นหลังวิญญาณแบบนี้ หากยึดร่างท่านทูตได้จริงๆ เช่นนั้น…ท่านก็ไม่ใช่ทูตแล้ว ขอเพียงท่านเป็นทูต บรรพบุรุษอวี้หานต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

อวี้โหรวกล่าวเสียงเบา เสียงไพเราะอย่างยิ่ง เสียงนุ่มนวลดังก้องในวิหารใต้ดิน

“ไม่พอ” ซูหมิงส่ายศีรษะ

อวี้โหรวกัดริมฝีปากล่าง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“แม้บรรพบุรุษอวี้หานจะเป็นบรรพบุรุษรุ่นก่อน แต่เขาเคยยึดร่างข้า สุดท้ายแม้ล้มเหลว แต่ว่าอวี้โหรวก็ไม่มีวันลืมเรื่องนี้

ข้าอยากให้เขาตาย! อยากให้เขายึดร่างล้มเหลวและถูกท่านทูตสังหาร กระทั่งอวี้โหรวยังเคยคิดว่าหากบรรพบุรุษยึดร่างท่านทูตสำเร็จจริงๆ เช่นนั้นข้า…ก็คงไม่ต้องกลัวอีกแล้ว”

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ครั้งนี้เขาเงียบไป และก็ไม่ได้ส่ายศีรษะ แต่หลับตาลง รออวี้โหรวว่าต่อไป

อวี้โหรวก้มหน้าเงียบอีกครั้ง

“ข้ารู้นานแล้วว่าท่านไม่ใช่….ทูต” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง อวี้โหรวเงยใบหน้าน่าหลงใหลขึ้นมองซูหมิง

“แม้ในตัวท่านจะมีกลิ่นอายพลังของเทพสุริยันจันทรา แม้ท่านจะเดินออกมาจากตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียงในด่านสองของวิถีสวรรค์ แต่ข้ารู้ว่าท่านกินวิญญาณเทพสุริยันและจันทราในด่านสองไปแล้ว

ตอนที่ท่านกินพวกเขา พวกเขาส่งเสียงมาหาข้า ให้ข้าจัดหาคนตระกูลอวี้มาเพื่อขวางการกลืนกินของท่านทุกทาง กระทั่งหากตอนนั้นข้าเลือกปฏิบัติตาม ตอนที่ท่านเดินออกมา ตอนที่ท่านสูบกินร่างเทวรูปสุริยันและจันทรา บรรพบุรุษสิบสามคนนั้นคงจะลงมือแล้ว ต่อให้เป็นท่าน…ก็เกรงว่าคงรับมือไม่ไหว”

อวี้โหรวหน้าซีดขาวเล็กน้อย เปลวเพลิงสีม่วงในแววตาลุกโชติช่วง จิตใจนางกำลังถูกปกคลุมอย่างรวดเร็ว นางไม่เหมือนชายชราสิบสามคนนั้น ถึงพวกเขาจะมีขั้นพลังสูงส่ง ทว่าในตัวไม่มีพลังต่อต้านอภินิหารประหลาดของซูหมิงเมื่อครู่ได้เลย นี่คือความเหนือกว่าในระดับชีวิต

แต่อวี้โหรวต่างไป นาง…เป็นผู้ถูกเลือกของเทพสุริยันและจันทรา แม้จะไม่ตรงตามความต้องการในการยึดร่างของบรรพบุรุษตระกูลอวี้ แต่ก็ต่างกับผู้ฝึกฌานทั่วไปอย่างชัดเจน

“เทพบรรพชน บรรพวิญญาณ ชนรุ่นหลังวิญญาณ มันหมายถึงอะไร” ซูหมิงลืมตาขึ้น แววตาลุ่มลึก กล่าวอย่างเรียบๆ

“เป็นตำนานหนึ่ง รายละเอียดเป็นจริงหรือเท็จน่าจะไม่มีใครรู้ เพราะอยู่มานานมากแล้ว” อวี้โหรวลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเลือกพูดทุกอย่างที่ตนรู้ออกไป

“ตำนานเล่าว่าตอนที่ฟ้ากับดิน จักรวาล และฟ้ากระจ่างดาวยังวุ่นวายไร้ระเบียบ สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดเป็นกลุ่มแรกถูกเรียกว่า….เทพบรรพชน

เทพบรรพชนสร้างชีวิต ดังนั้นจึงมีหมื่นเผ่าพันธุ์ มีเหล่าสรรพสัตว์

ทุกสิ่งมีชีวิตเลื่อมใสศรัทธาเทพบรรพชน ในกาลเวลาที่ไร้สิ้นสุด ในหมื่นเผ่าพันธุ์ที่เลื่อมใสเทพบรรพชนก็ค่อยๆ ปรากฏสิ่งมีชีวิตที่ได้รับสืบทอดพลังของเทพบรรพชนขึ้นมา พวกเขาถูกเรียกว่าบรรพชนวิญญาณ บรรพชนนี้มีคนบอกว่าเป็นเซียนผู้ฝึกวิถีเซียน และก็มีคนบอกว่าเป็นบรรพบุรุษที่สืบทอดกันต่อมา ยุคสมัยต่างกัน ทว่าคำที่ต่างกันมีความหมายแฝงเหมือนกัน”

อวี้โหรวกล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“มหันตภัยที่ไม่ทราบแน่ครั้งหนึ่งทำให้เหล่าเทพตกต่ำและหลับใหล ไม่ว่าจะเป็นเทพบรรพชนหรือบรรพชนวิญญาณที่เกิดจากความเลื่อมใส ล้วนไม่มีใครหนีพ้น มหันตภัยครั้งนั้นได้

หลังจากมหันตภัยดำเนินต่อไป หมื่นเผ่าพันธุ์ก็ล้มหาย บ้างแยกย้าย บางเผ่าพันธุ์สูญสิ้น จนกระทั่งตกต่ำลง เผ่าวิถีเต๋าของข้าก็เป็นแบบนั้น”

“ผ่านไปไม่รู้กี่ปีหลังจากมหันตภัย ไม่มีเทพบรรพชน ไม่มีบรรพชนวิญญาณ ทว่าผู้คนมองจักรวาลเปลี่ยนแปลง มองฟ้าดินและดารา สัมผัสถึงกฎเกณฑ์ และเชื่อมสิ่งที่เหลืออยู่เล็กน้อยไว้ในกาลเวลา วิชาการฝึกฝนในตอนนั้นจึงค่อยๆ สร้างขึ้นเป็นระบบใหม่

ระบบที่…ทำให้ตัวเราสมบูรณ์แบบ ทำให้ชีวิตเรายกระดับอีกขั้น แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างกัน ทว่าเป้าหมายเหมือนกัน ในกาลเวลา ยอดฝีมือที่ฝึกฝนระบบนี้ต่างถูกเรียกว่าเป็นวิญญาณชนรุ่นหลัง

แต่จนถึงตอนนี้ วิญญาณชนรุ่นหลังหายากยิ่ง และด้วยความที่เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายและสืบเชื้อสาย คนที่ฝึกฝนจึงถูกเรียกว่าผู้ฝึกฌาน จริงๆ ตามคำเรียกเก่าแก่แล้วคือผู้ฝึกฌานชนรุ่นหลังวิญญาณ”

“เทพสุริยันและจันทราคือบรรพชนวิญญาณ…อีกทั้งเป็นเพียงบรรพชนวิญญาณที่อ่อนแอมาก กระทั่งข้ายังสงสัยว่าการหลับใหลคงทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในระดับชีวิตวิญญาณชนรุ่นหลังแล้ว”

อวี้โหรวกล่าวเสียงเบา คำพูดกึกก้องวิหารใต้ดิน ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ค่อยๆ พิจารณาคำพูดของนาง

“พลังแห่งต้นกำเนิดหยินคืออะไร?” ครู่ต่อมาซูหมิงก็กล่าวเรียบๆ

สิ้นคำประโยคนี้ อวี้โหรวหน้าซีดขาวขึ้นเล็กน้อยทันที นางเงียบ แต่มีสีหน้าขมขื่น ค่อยๆ ก้มหน้าลง สองมือยกขึ้นเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าซูหมิงอย่างช้าๆ

เมื่ออาภรณ์ร่วงลง จึงเผยให้เห็นร่างงดงามที่สวมเสื้อตัวเล็กแนบเนื้ออยู่ ภายใต้การเสริมกันด้วยใบหน้างดงามล้ำเลิศ ภาพนี้เพียงพอจะทำให้คนใจเต้นระรัว เป็นความรื่นรมย์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“พลังแห่งต้นกำเนิดหยินคือต้นกำเนิดจิตชนิดหนึ่งที่อวี้โหรวได้รับมาจากเทพจันทราในด่านสองของวิถีสวรรค์ มันจะค่อยๆ เติบโตในร่างกายข้า ทำให้ขั้นพลังข้าสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดตามเวลา และทำให้ระดับชีวิตข้าอยู่ในขั้นเดียวกับชนรุ่นหลังวิญญาณ มีโอกาสจะทะลวงผ่านไปถึงระดับวิญญาณชนรุ่นหลังได้ ถึงตอนนั้นข้าจะถูกเรียกตัวไป ให้นำทุกอย่างของข้าถวายแด่เทพจันทรา ท่านกินเทพจันทราในด่านสองของวิถีสวรรค์ไปได้ ก็ต้องกินพลังแห่งต้นกำเนิดหยินของข้าได้แน่นอน ข้าจะ…มอบให้ท่าน ขอเพียงท่านให้อิสระข้า อย่าให้ข้าต้องเป็นหุ่นเชิดที่ไม่อาจควบคุมโชคชะตาตัวเองต่อไป”

อวี้โหรวเงยหน้าขึ้น เปลวเพลิงสีม่วงในแววตาลุกโชนใกล้จะแทนที่ลูกตาดำทั้งหมดแล้ว นางมองซูหมิงด้วยใบหน้าขาวซีด ค่อยๆ เดินไปหาเขา

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย จนกระทั่งอวี้โหรวค่อยๆ เดินมาจนอยู่ตรงหน้าเขา เขามองเรือนร่างงดงามตรงหน้า มองร่างระหงย่อตัวลงช้าๆ เหมือนคุกเข่าให้ตน

เขาวางมือขวาบนผิวที่เหมือนดีดนิ้วก็แตกออกได้ของนาง ค่อยๆ ลูบผ่านส่วนเว้าโค้งไป จุดที่ลูบผ่านผิวหนังนางจะเกิดอาการสั่นไหวเพราะตึงเครียดทันที

จนกระทั่งมือซูหมิงลูบมาจนถึงใบหน้านาง จับคางนางเอาไว้แล้วช้อนใบหน้างามขึ้น จากนั้นค่อยๆ เข้าไปใกล้ กระทั่งใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจและหัวใจเต้นของกันและกัน

“คนที่เคยลอบกัดหลังแซ่ซู ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรก็ตาม ในชีวิตจะไม่มีคำว่าอิสระอีก”

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา คำพูดเขาทำให้นางตัวสั่น ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม

“อีกอย่างวิธีมอบต้นกำเนิดหยินของเจ้าคือต้องเป็นผู้หญิงของข้า ทว่า….เพียงแค่ใช้ต้นกำเนิดหยินแทนการชดใช้กับเป็นผู้หญิงของข้ามันยังไม่พอ”

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง ดวงตาขยับประกายพิลึก มีความชั่วร้ายที่ไม่อาจอธิบายอยู่

“มีคนเคยบอกหรือไม่ว่าท่านให้ความรู้สึกที่…ชั่วร้ายมาก” อวี้โหรวก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา

“ชั่วร้าย…ข้าชอบคำนี้” ซูหมิงยืนขึ้นแล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ร่างเงาเขาหายไปจากวิหารใต้ดิน เหลือเพียงอวี้โหรวที่สวมเสื้อตัวเล็กแนบเนื้อและมีสีหน้าซับซ้อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version