ตอนที่ 881 เหลืออยู่
ตั้งแต่ซูหมิงเข้าสู่ห้องลับ เวลาผ่านไปสิบเจ็ดวันแล้ว
ห้องลับไม่ได้อยู่บนพื้นดิน แต่อยู่กลางวิหารใต้ดินกว้างใหญ่ใต้หอจำนวนมากของตระกูลอวี้ วิหารใต้ดินสร้างมาหลายหมื่นปีแล้ว เป็นสถานที่ลับที่สุดของตระกูลอวี้
เวลานี้ ตรงส่วนลึกของวิหารใต้ดิน นอกห้องลับของซูหมิง มีประตูหินยักษ์สองบานตัดสลับกัน กลายเป็นประตูน่าสะพรึงกลัวขนาดหลายสิบจั้ง
บนประตูนี้มีอักขระสีโลหิตอยู่จำนวนมาก ระหว่างที่อักขระเหล่านี้ขยับแสงวูบวาบยังแผ่ระลอกคลื่นรุนแรงออกมา กระทั่งต่อให้เป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลายโจมตีอย่างสุดกำลัง ก็ยังยากจะทำลายประตูนี้ได้ในเวลาอันสั้น
นอกประตูหินตอนนี้ ชายชราสิบสามคนแห่งตระกูลอวี้ต่างนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยความเคารพ เหมือนกับกำลังเฝ้าอารักขา ความกระตือรือร้นต่อบรรพบุรุษตระกูลอวี้ ทำให้พวกเขายอมจ่ายชีวิตเพื่อการคุ้มกันครั้งนี้ได้ หากมีคนกล้าบุกเข้ามาตอนนี้ ก็ต้องเจอกับการลงมืออย่างบ้าคลั่งของชายชราสิบสามคน
นอกจากสิบสามคนนี้แล้ว ข้างๆ ยังมีอวี้โหรวนั่งอยู่ด้วย นางมีสีหน้าเฉยชาตลอด นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ดูต่างกับชายชราสิบสามคนอย่างชัดเจน ความงามของนางยังไม่เข้ากับความมืดทะมึนและเสื่อมถอยของสิบสามคนนี้
“บรรพบุรุษปิดด่านนั่งฌานมาสิบเจ็ดวันแล้ว…ไม่น่าจะมีปัญญาอะไรหรอกกระมัง?”
สิบสามคนนี้รอมาสิบเจ็ดวันแล้ว จึงแอบอดรู้สึกร้อนใจขึ้นมามิได้ ถึงอย่างไรก่อนซูหมิงจะปิดด่านนั่งฌานก็บอกไว้เพียงสองสามวัน
“หุบปาก ท่านบรรพบุรุษมีขั้นพลังสูงส่ง จะไปมีปัญหาได้อย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าท่านบรรพบุรุษกำลังสูบพลังชีวิตของทูตคนนั้น เพื่อให้ง่ายต่อการมีร่างกายใหม่” พลันมีเสียงตวาดดังมาจากข้างๆ เห็นได้ว่าคนที่ตวาดมีฐานะค่อนข้างสูง ทำให้ชายชราที่เอ่ยอย่างกังวลเมื่อครู่ก้มหน้าลงและเงียบไป
“ก็ไม่แน่!” เสียงแก่ชราแว่วมาเนิบๆ จากชายชราคล้ายโครงกระดูกอีกฟากหนึ่ง
“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากบรรพบุรุษยึดร่างล้มเหลวจะเป็นอย่างไร”
“เป็นไปไม่ได้ ด้วยขั้นพลังของบรรพบุรุษกับการเตรียมตัวมาหลายหมื่นปี ไม่มีทางล้มเหลวอย่างเด็ดขาด”
“ไม่ผิด ที่รุ่นเจ็ดพูดมาก็เป็นไปได้อยู่ ถ้าหาก…ล้มเหลวเล่า?”
“หากล้มเหลว เช่นนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเราก็ไม่ใช่บรรพบุรุษ แต่เป็นทูตคนนั้น!” ในสิบสามคนมีหลายคนดวงตาขยับประกายพร้อมกัน ต่างสื่อสารผ่านทางจิต
มีเพียงอวี้โหรวคนเดียวที่อยู่ไกลๆ อย่างเงียบเชียบ
ท่ามกลางการเฝ้ารอคอยมายาวนาน ทุกคนเริ่มเกิดความสงสัยและคาดเดาขึ้นทีละน้อย เวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน
ซูหมิงเข้ามาในห้องลับยี่สิบวันเต็มแล้ว วันนี้ยามโพล้เพล้นอกวิหารใต้ดิน สายลมอ่อนพัดมาเบาๆ ทำให้ต้นไม้โคลงเคลง ส่วนภายในวิหารใต้ดินพลันเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เสียงนี้ทำให้ชายชราสิบสามคนนั้นต่างเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่างมองประตูใหญ่ห้องลับตาไม่กะพริบ ก่อนยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิและเปลี่ยนเป็นคุกเข่า
เสียงดังสนั่นแว่วมาจากในประตูใหญ่ห้องลับ นี่คือเสียงประตูกำลังถูกเปิดมาจากข้างในอย่างช้าๆ เมื่อเสียงอึกทึกดังขึ้นเรื่อยๆ ประตูใหญ่นี้ก็แง้มออกมาเป็นซอกหนึ่ง
ซอกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครู่ต่อมาตอนที่ประตูใกล้จะเปิดทั้งหมด ไม่ว่าชายชราสิบสามคนนี้จะคาดเดาอย่างไรในใจ ยามนี้ต่างกล่าวออกไปด้วยความเคารพ
“พวกเรา คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
เสียงโครมดังขึ้น ประตูหินเปิดจนหมด ภายในเป็นสีดำทึบ เปลวเทียนสีเขียวในวิหารใต้ดินเหมือนจะลุกล้ำเข้าไปอยู่กลางความมืดมิดในประตูหิน ทว่ากลับถูกขวางเอาไว้นอกประตู ราวกับว่าข้างในมีพลังที่มองไม่เห็นขวางแสงสว่างทุกอย่างเอาไว้
ค่อยๆ มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากในความมืด ดังก้องอยู่กลางวิหารใต้ดิน เสียงฝีเท้านั้นดังไม่ช้าและไม่เร็ว หลายลมหายใจต่อมาก็ปรากฏร่างซูหมิงในประตูหินต่อหน้าทุกคน เขาหยุดชะงัก ไม่ได้เดินออกมา
ซูหมิงยืนอยู่ในเงามืด แสงสีเขียวหม่นนอกหนึ่งก้าวนั้นปกคลุมรอบๆ เอาไว้รางๆ ทำให้เห็นข้างนอกอย่างชัดเจน ทว่าคนนอกเห็นเขาเพียงรางๆ
เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของชายชราสิบสามคนนั้น แต่ยืนอยู่กลางความมืด กวาดสายตามองสิบสามคน รอบๆ ในเวลานี้เงียบสงัด
ประหนึ่งว่ากระทั่งลมหายใจยังหายไป ที่นี่เลยเงียบเป็นเป่าสาก ในเวลาเดียวกันค่อยๆ เกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น ชายชราสิบสามคนรู้สึกอย่างชัดเจนยิ่ง พวกเขาคุกเข่าคารวะอยู่บนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ว่ารูขุมขนบนตัวกำลังตรึงตัว นั่นคือสัญชาตญาณที่พบเจออันตราย
เพราะไม่ได้เงยหน้าขึ้น ความรู้สึกนี้จึงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายความชั่วร้ายอย่างยิ่ง ความบ้าอำนาจและนุ่มนวลหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบจากในประตูหิน
กลิ่นอายนี้เปลี่ยนไปมาแบบไม่มีหลักเกณฑ์ ฉะนั้นเลยคลำหาไม่เจอ ตอนบ้าอำนาจก็เหมือนจะทำลายทุกสิ่งมีชีวิตได้ ตอนนุ่มนวลก็เหมือนกับน้ำวนดินเลนให้ความรู้สึกว่าหากตกลงไปแล้วจะขึ้นมาไม่ได้ ซ้ำยังทำให้การคาดเดาและสงสัยในใจชายชราสิบสามคนนี้ไม่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขณะสิบสามคนนี้กำลังตึงเครียด มีเพียงอวี้โหรวที่ยังมีสีหน้าเฉยชา ทว่าทุกอย่างเป็นเพียงเปลือกนอก ความจริงนางตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่เด่นชัดนัก
จนกระทั่งผ่านไปสิบลมหายใจ กลิ่นอายพลังนี้จึงค่อยๆ หายไป พริบตาที่ชายชราสิบสามคนนี้ลอบถอนหายใจโล่งอก ซูหมิงก็เดินก้าวสุดท้ายออกมาจากความมืด เข้าสู่แสงสว่าง
เขาเผยตัวออกมาทั้งหมด เส้นผมยาวสีเทา อาภรณ์ยาวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาที่เกือบจะดูผิดปกติมาพร้อมด้วยความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชนไม่มีสิ้นสุด ความรู้สึกนี้เหมือนมิใช่ของเขา แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างจึงหลงเหลือไว้ที่ตัวเขาอยู่ชั่วคราว
กลิ่นอายผ่านโลกมาอย่างโชกโชนนี้ไม่มีทางที่จะตั้งใจปล่อยมันออกมาได้ หากมิได้ตกผลึกอยู่ในกาลเวลาที่เพียงพอและมองทะลุความว่างเปล่าทุกอย่าง ย่อมไม่มีทางอยู่กับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์นี้อย่างแน่นอน
กลิ่นอายผ่านโลกนี้ทำให้ชายชราสิบสามคนใจสั่นไหว เมื่อความแก่หง่อมจากตัวพวกเขาเผชิญหน้ากับกลิ่นอายผ่านโลกมาอย่างโชกโชน จึงดูเบาบางเกินไปทันที กระทั่งไม่คู่ควรจะเรียกว่าแก่ชรา
ช่วงที่ชายชราสิบสามคนจิตใจสั่นคลอน ซูหมิงมองไปอย่างเรียบๆ ดวงตาสงบนิ่งดุจดั่งบึงน้ำ ทว่าหากมีคนมองดีๆ จะหลงอยู่ในดวงตาคู่นี้ ดวงตานั้นซ่อนลึกอย่างยิ่ง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยเสี้ยวความรู้สึกที่ให้คนอดเชื่อถือและศรัทธามิได้ ประหนึ่งว่า…ภายใต้สายตาคู่นี้ ทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดจะมีแต่คนเชื่อ
นี่คือ…พลังที่ขอแค่เชื่อมันก็จะมีอยู่ นี่คือสิ่งที่ซูหมิงได้รับมาจากการตระหนักรู้ในสามวิถีสวรรค์ หลังการตระหนักรู้นี้หลอมรวมกับภาพมายาตะวันจันทราและดาราของเขาแล้ว ก็กลายเป็นวิชาที่แทบจะเรียกได้ว่าแกร่งที่สุดและลึกลับที่สุดของเขาตอนนี้
หากใช้วิชานี้จะทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี ฟ้าดินไร้แสงสว่าง
“พวกเจ้า เชื่อข้าหรือไม่” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ ตอนนี้เขาเพิ่งตื่นจากภาพประหลาดในความคิด ในตัวยังมีความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ในจิตใจเขายังมีร่างเงาชายเส้นผมขาวคนนั้นเหลืออยู่ กระทั่งในสายตามีความเศร้าโศกยามชายเส้นผมขาวมองฟ้า
ความรู้สึกผ่านโลกมานานนี้ ร่างเงานี้ ความเศร้าโศกนี้ ทุกอย่างที่หลงเหลืออยู่ในตัวซูหมิงปะทุออกมาอย่างไร้รูปเมื่อเขากล่าวจบประโยคนี้ ทำให้มวลอากาศในวิหารใต้ดินบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปรอบๆ ในพริบตา เสี้ยววินาทีเดียวก็ปกคลุมไปทั้งวิหารใต้ดิน
ช่วงที่เสียงซึ่งมาพร้อมด้วยพลังมหัศจรรย์ดังก้องกังวาน กระทั่งยังทำให้แสงเทียนสีเขียวในนี้ขยับวูบไหวอย่างรุนแรงหลายครั้ง
มิหนำซ้ำตอนนี้ รูปลักษณ์ซูหมิงยังเหมือนเปลี่ยนไป ทำให้คนเกิดความรู้สึกเลือนราง ราวกับว่าเขาในตอนนี้กลายเป็นคนเส้นผมขาว ยืนเอามือไพล่หลังกลางฟ้าดินที่กำลังถล่มทลาย สายตามองฟ้า
นี่ไม่ใช่พลังของซูหมิง นี่คือเศษเสี้ยวจากการตระหนักรู้ กระทั่งเรียกได้ว่าเขายืมใช้คำพูดของชายเส้นผมขาวที่เอ่ยเอาไว้ประโยคหนึ่งเพื่อรวมออกมาเป็นคนแห่งอภินิหารน่าสะพรึงกลัว
ตอนนี้มีแค่ซูหมิงคนเดียวที่ยืมใช้แบบนี้ได้ นอกจากนี้แล้ว ต่อให้เขาตระหนักรู้อีกครั้งก็ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะหลังจากการตระหนักรู้เมื่อครู่สิ้นสุดลง ประโยคนั้นหายไปในสามวิถีสวรรค์แล้ว หายไปในฟ้าดิน กลับไปอยู่ในกาลเวลาของมัน
เว้นแต่ซูหมิงจะตระหนักรู้จนเข้าใจอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้ว เขาในตอนนี้จะใช้อภินิหารที่แกร่งที่สุดได้พริบตาเดียว
เวลานี้ในใจชายชราเจ้าปกครองโลกตอนปลายสิบสามคนเกิดเสียงโครมสุดจะบรรยาย ท่ามกลางเสียงนี้ ข้างหู ในความคิดและจิตวิญญาณพวกเขาล้วนดังเป็นเสียงซูหมิง
เสียงนี้มาพร้อมด้วยความเหลือเชื่อ ความอวดดีที่ฟ้าดินต้องยอมจำนนและสวรรค์ต้องก้มหัว ทุกสิ่งมีชีวิตต่อหน้าเขา หากกล้าไม่ปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะขั้นพลังใดล้วนต้องสลายหายไปในพริบตา
ภายใต้เสียงโครมคราม ชายชราสิบสามคนกระอักเลือดออกมา ทวารทั้งเจ็ดหลั่งโลหิต ร่างกระเด็นถอยไป หลังโซเซถอยไปหลายร้อยจั้งแล้ว ทุกคนต่างหน้าขาวซีด สีหน้าดูหวาดกลัวและยังเหมือนแฝงไว้ด้วยเปลงเพลิงกลุ่มหนึ่ง
นั่นคือ…..เปลวเพลิงสีม่วง เป็นเปลวเพลิงที่ฮึกเหิมเสียยิ่งกว่าเจอบรรพบุรุษตระกูลอวี้
แม้แต่อวี้โหรวในตอนนี้ยังกระอักเลือดภายใต้การระเบิดกลิ่นอายพลังที่เหลืออยู่จากตัวซูหมิง ถอยหลังไปไม่หยุดหย่อน นางสงบนิ่งไม่ได้อีกแล้ว ความเฉยชาหายไป ทุกอย่างในจิตใจล้วนถูกฉีกออก ถูกฝังด้วยความคิดยึดมั่นอย่างหนึ่ง
นั่นคือปฏิบัติตามคำสั่งซูหมิง!
ในดวงตานางปรากฏเปลวเพลิงสีม่วงเช่นกัน!
“เชื่อ…..” อวี้โหรวหายใจกระชั้น ระหว่างที่กล่าวพึมพำ ชายชราสิบสามคนนั้นต่างส่งเสียงตะโกนด้วยความฮึกเหิม
“เชื่อ!”
“เชื่อ!”
สิบสามเสียงดังก้องกังวาน ทำให้วิหารใต้ดินเกิดคลื่นเสียงนับไม่ถ้วน ดังกระจายไปอย่างต่อเนื่อง และเกิดความรู้สึกว่าวิหารใต้ดินสั่นไหว
เมื่อสิ้นเสียงพวกเขา ซูหมิงก็ค่อยๆ หลับตาลง กลิ่นอายพลังที่เหลืออยู่นั้นหายไป ร่างเงาก็ไม่เลือนรางอีก
‘พลังของเจ้าทำให้คนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจากใจจริง…พลังนี้อยู่ในมือข้า ข้า….จะทำให้ผู้คนต้องก้มหัวให้!’ ซูหมิงลืมตาขึ้น สีหน้าผิดแปลกไป ประกายแววตาให้ความรู้สึกลึกซึ้งอย่างยิ่ง