ตอนที่ 894 เพื่อผงาดขึ้น
ซูหมิงมองหัวมังกรสามหัวที่กำลังร้องคำรามอยู่ในบึงน้ำเมืองวารีดำผ่านม่านแสง สูดลมหายใจเข้าลึก ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังแท้จริงของตระกูลเลี่ยซานปะทะใส่เขาอย่างรุนแรง
“วงแหวนอาคมก็ดี มังกรหินก็ดี ต่อให้เป็นวงแหวนอาคมไท่เฮ่ายังเข้าใจได้ หรือที่จิ่วอิงมีสัญญากับพวกท่านก็เข้าใจได้ ทว่า….พวกท่านทำได้อย่างไร ทำให้คนตระกูลไท่ฉือแตกแยกกัน ทำให้พวกเขา…หักหลังกันในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ได้อย่างไร?”
ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตามองผู้เฒ่าวายุ
“บนดาวทมิฬ เมื่อก่อนไม่ใช่ถิ่นอาศัยของลัทธิเต๋าหมึกดำ แต่หลังจากพวกเรามาถึงก็มีลัทธิเต๋าหมึกดำขึ้น ทุกตระกูลล้วนมีคนไว้ใจของพวกเรา พวกเราคือราชาในเงามืด สามารถตัดสินทุกตระกูลได้ว่าจะให้รุ่งเรืองหรือล่มสลาย
สามารถก่อสงครามกลางเมืองบนดาวทมิฬ เปิดฉากสร้างภัยพิบัติที่สั่นสะเทือนสี่มหาโลกแท้จริง อย่างเช่น…การเปลี่ยนแปลงของดาวทมิฬในตอนนั้น” ผู้เฒ่าวายุยิ้มน้อยๆ ทว่าคำพูดที่เอ่ยมากลับทำให้ซูหมิงใจสั่นสะท้านอีกครั้ง
นับเวลาดูแล้ว ช่วงการเปลี่ยนแปลงของดาวทมิฬก็เป็นเวลาเดียวกับที่เลี่ยซานซิวมายังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต
“ส่วนพวกเราทำให้คนในตระกูลเหล่านี้เป็นชาวเผ่าหมานและยอมหักหลังยามที่เราต้องการได้อย่างไรนั้น บางทีเจ้าน่าจะเดาออกบ้างแล้ว” ผู้เฒ่าวายุมองซูหมิงแวบหนึ่ง คำพูดคลุมเครือ ทั้งยังเหมือนยิ้มทีเล่นทีจริง
“นั่นคืออภินิหารวิชาที่สร้างขึ้นเองโดยเทพหมานรุ่นสอง” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ถึงค่อยกล่าวเสียงต่ำ
“ตอนนั้น ก่อนที่ข้ากับท่านเทพหมานจะแยกกัน ก็เคยเห็นว่ามีอยู่สามคนที่มีคุณสมบัติรับช่วงเทพหมานต่อ ไม่รู้ว่าเทพหมานรุ่นสองที่เจ้าว่าเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ ใช่ก็ดี ไม่ใช่ก็ดี แต่ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจไม่ได้สร้างขึ้นโดยเทพหมานรุ่นสอง แต่เป็น…วิชาที่เทพหมานใช้กำราบหมื่นโลก และก็เป็น…วิชาของเทพหมาน!
ในฟ้าดินแห่งนี้มีเพียงท่านเลี่ยซานคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้สติปัญญาของคนยุคโบราณสร้างวิชานี้ขึ้นมาได้” ผู้เฒ่าวายุส่ายศีรษะแล้วเอ่ยเสียงเนิบนาบ
ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังสนทนากัน เมฆลมบนฟ้าเมืองวารีดำเปลี่ยนสี เสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้าดิน นั่นคือเสียงระเบิดไร้รูปจากการต่อสู้กันของสามหัวจิ่วอิงกับชายชราระดับภัยพิบัติตะวันสามคน
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงได้เห็นจิ่วอิงตัวเป็นๆ ความแกร่งช่างน่าทึ่งยิ่งนัก แม้แต่ในมุมมองเขา หากจู๋จิ่วอินในสภาพสมบูรณ์เจอกับจิ่วอิง ด้วยความที่พวกมันเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ ก็ไม่รู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ
กระทั่งในความรู้สึกเขา เหมือนกับว่า…จิ่วอิงตัวนี้จะแกร่งกว่าจู๋จิ่วอินเล็กน้อย
“มันมีเก้าหัว ตอนนี้ออกมาเพียงสามก็มีพลังรับมือกับระดับภัยพิบัติตะวันสามคนแล้ว หากออกมาเก้าหัว ต่อให้ไม่บรรลุถึงระดับกุมชะตาเกิดดับ ก็เพียงพอจะเป็น…ผู้แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่ากุมชะตาเกิดดับได้”
เสียงโครมครามแว่วมาจากม่านแสง ดังสะท้อนอยู่ในลานประมูลตระกูลเลี่ยซาน ซูหมิงมองม่านแสง จนผ่านไปพักหนึ่งจึงกล่าวขึ้น
“มิน่าท่านถึงดูเหมือนไม่สนใจตระกูลไท่ฉือที่ใช้รูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายบุกเข้าไปทำลายตระกูลเลี่ยซาน เพียงแค่เมืองวารีดำยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าถิ่นตระกูลเลี่ยซานคงจะซ่อนพลังเอาไว้มากกว่านี้อีก”
ผู้เฒ่าวายุยกมือขวาขึ้นสะบัดไปข้างหน้า มวลอากาศนอกม่านแสงพลันบิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏม่านแสงวงเล็กใหญ่เกือบร้อยวง ในทุกๆ ม่านแสงจะมีภาพต่างกัน นั่นคือถิ่นฐานของทุกตระกูลบนดาวทมิฬ
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ก็จงดูเสีย” ผู้เฒ่าวายุยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
ซูหมิงกวาดสายตามองม่านแสงเกือบร้อยวง แล้วเงียบลง
เขาเห็นว่าในม่านแสงเหล่านี้มีสายรุ้งยาวอยู่จำนวนมาก คนตระกูลไท่ฉือกำลังมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากทุกตระกูล
ณ ตระกูลเฉิน ตระกูลระดับกลางบนดาวทมิฬ
สายรุ้งที่ลากยาวอยู่บนฟ้าบินลงมาในพริบตา เผยร่างเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์หรูหรา สีหน้าดูร้อนรน พอบินลงมาแล้วก็ประสานมือคารวะไปทางตระกูลเฉิน
“ไท่ฉืออันแห่งตระกูลไท่ฉือ มีสารจากบรรพบุรุษในตระกูล ขอเข้าพบบรรพบุรุษตระกูลเฉิน เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทุกตระกูลบนดาวทมิฬ หวังว่าจะได้พบบรรพบุรุษของพวกท่าน!”
“จัดการมัน!” ชายวัยกลางคนเพิ่งกล่าวจบ ก็มีเสียงแก่ชราแว่วมาจากในตระกูลเฉิน เมื่อสิ้นเสียง ร่างคนหลายสิบคนห้อเหยียดออกมาจากในตระกูล
ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี คิดจะถอยหนีไป ทว่าหลายสิบคนนี้มีขั้นพลังเหนือกว่าเขาไม่น้อย เวลาลงมือไม่มีโอกาสให้เขาได้ต่อต้านแม้แต่นิด เหมือนอยากจะสังหารเขาในทันที ราวกับว่ามีคนกำลังมองอยู่ ตระกูลเฉินจึงต้องแสดงความจริงใจอย่างรีบร้อน
เพียงสิบลมหายใจ เสียงกรีดร้องแหลมดังก้อง ชายวัยกลางคนจากตระกูลไท่ฉือที่มาขอกำลังเสริมตายตกไป ตอนนี้เอง ชายร่างกำยำสวมหน้ากากสีสันคนหนึ่งเดินออกมาจากตระกูลเฉิน ด้านหลังมีบรรพบุรุษตระกูลเฉินติดตามอยู่ และยังมีผู้แข็งแกร่งตระกูลเฉินจำนวนมากตามมา
“ท่านวางใจเถอะ ตระกูลเฉินของเราไม่ชอบหน้าตระกูลไท่ฉือมานานแล้ว ต่อให้ท่านไม่มา วันนี้พวกเราก็จะสังหารคนตระกูลไท่ฉือผู้นั้นอยู่ดี” บรรพบุรุษตระกูลเฉินประสานมือคารวะด้วยความเคารพ
ชายร่างกำยำพยักหน้าแล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว กลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป จนกระทั่งเขาไปแล้ว บรรพบุรุษตระกูลเฉินถึงได้ปาดเหงื่อเย็นๆ ตรงหน้าผาก
ซูหมิงเห็นภาพนี้ผ่านม่านแสง กระทั่งทุกม่านแสงยังมีภาพคล้ายๆ กันเกิดขึ้น คนตระกูลไท่ฉือที่ส่งออกไปทั้งหมดล้วนถูกแต่ละตระกูลสังหารอย่างรวดเร็ว
ทว่าก็มีคนที่ไม่ตายอยู่เช่นกัน นั่นคือตระกูลโม่แห่งเมืองกิเลนดำกับตระกูลหวาแห่งเมืองโลกดารา สองตระกูลสูงสุดเช่นเดียวกันนี้ไม่ได้สังหารผู้มาขอกำลังเสริมจากตระกูลไท่ฉือ แต่ปิดประตูไม่ต้อนรับ
ส่วนผู้ฝึกฌานตระกูลไท่ฉือที่เดินทางไปยังถิ่นฐานตระกูลเลี่ยซาน ซูหมิงเห็นจากม่านแสงว่าขบวนพลพวกเขามีหลายพันคน ขณะกำลังห้อเหยียดอยู่บนฟ้า กลับมีหนวดสัตว์น้ำเส้นหนึ่งยื่นออกมาจากชั้นเมฆในมวลอากาศตรงหน้า บนหนวดมีติ่งเนื้องอกอยู่จำนวนมาก ระหว่างที่มันเหวี่ยงเข้ามา ฟ้าดินคล้ายกับหมุนโคจร สัตว์ยักษ์ขนาดหมื่นจั้งตัวหนึ่งเผยตัวกลางทะเลเมฆม้วนตลบ
มันคือปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง ใช้เมฆเป็นทะเล เวียนว่ายอยู่บนฟ้า ไม่รู้ว่ามันปรากฏตัวได้อย่างไร จากนั้นก็เปิดฉากการสังหารอย่างเหี้ยมโหดกับผู้ฝึกฌานตระกูลไท่ฉือหลายพันคน
กระทั่งหากมองอย่างละเอียด ซูหมิงยังเห็นรางๆ ว่าหัวปลาหมึกยักษ์มีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ชายชราคนนี้มีหน้าตาเลือนรางไม่ชัดเจน เหมือนมีไอน้ำวนเวียนรอบตัวจึงดูขมุกขมัว แสงตะวันขยับวูบไหว ส่องสะท้อนเป็นแสงหลากสี
“นั่นคือตาแก่หมานสายฝน” ผู้เฒ่าวายุแย้มยิ้ม
วายุ สายฝน อัสนี และหมอก สี่แม่ทัพใหญ่ผู้อยู่ใต้บัญชาการของเทพหมานรุ่นหนึ่ง!
ซูหมิงเงียบงัน ตอนที่ละสายตาจากม่านแสงเหล่านี้ ในใจเขาเกิดการคาดการณ์คร่าวๆ ต่อพลังแท้จริงของตระกูลเลี่ยซานบนดาวทมิฬแล้ว ระดับความแกร่งเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าวายุว่าไว้จริงๆ พวกเขา…คือราชาในเงามืดบนดาวทมิฬ
ถึงกลอุบายจะค่อนข้างชั่วช้า ไม่สง่าผ่าเผย แต่ก็เหมือนกับราชาในเงามืดที่ตระกูลเลี่ยซานเลือกเป็น ตัวอยู่ในเงามืด ย่อมไม่เลือกแสงสว่างอยู่แล้ว
จุดนี้ซูหมิงยอมรับ เพราะเขารู้ว่ายิ่งมีเพลิงในเงามืดสว่างเท่าไร ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจมากเท่านั้น แสงสว่างที่ดับไปก่อนมักจะเป็นเพราะถูกทุกคนมองเห็น
แต่การจะอยู่ในระยะยาวจริงๆ คือต้องซ่อนอยู่ในเงามืด กระทั่งหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเงามืด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มอดดับไปชั่วนิรันดร์ และจะเป็นคนทำลายคนอื่นเอง
นี่คือเส้นทางที่ตระกูลเลี่ยซานเลือกหลังมาถึงดาวทมิฬ และเพราะแบบนี้เอง ภายใต้การปกครองหลายหมื่นปี ดาวทมิฬจึงกลายเป็นขุมอำนาจที่สามารถพลิกกลับฟ้าดิน
เป็นขุมอำนาจของเผ่าหมาน!
“ท่านเทพหมานเคยกล่าวไว้ว่าเขาคือเผ่าหมาน พวกเราคือเผ่าหมาน…ทุกอย่างที่พวกเราทำ ถึงจะชั่วช้าอย่างยิ่ง ถึงจะเป็นดั่งคนต่ำทราม แต่ว่า…ที่พวกเราทำก็เพื่อให้เผ่าหมานมีอยู่ทั่วทุกที่
การผงาดขึ้นของชนเผ่าหนึ่งไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างเช่นตอนนั้นที่ท่านเทพหมานคิดว่าเผ่าหมานผงาดขึ้นแล้ว กระทั่งยังเตรียมจะให้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมเปลี่ยนผืนฟ้า ทำให้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมกลายเป็นโลกแท้จริงของเผ่าหมาน ทว่า…ดวงจิตเก่าแก่จากแดนมรณะหยินยังสามารถพลิกกลับได้ ทำลายทุกอย่างของเทพหมานอย่างง่ายดาย ทำให้เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ออกจากเผ่าหมานไปตามหาทางเข้าให้พวกเขาเพื่อแดนมรณะหยิน
เจ้าคิดว่าก่อนที่พวกเราออกจากเผ่าหมาน จะไม่เคยคิดมอบความหวังกับฝากสมบัติล้ำค่าเอาไว้ให้เผ่าหมานเลยหรือ ถึงขนาดมองเผ่าหมานค่อยๆ ตกต่ำอย่างนั้นรึ…
เจ้าคิดว่าการจากไปของพวกเราคือไปตามหาโอกาสในการทะลวงพลังอะไรนั่นจริงๆ หรือ คิดว่าพวกเราทำเพื่อตัวเองจริงๆ หรือ…
เจ้าคิดว่าศิลาที่ท่านเลี่ยซานฝากเอาไว้ คำพูดบนนั้นที่ว่าสิ้นสุดที่รุ่นสามนั่นคือการไม่สนใจความรุ่งเรืองหรือความตกต่ำของเผ่าหมานแบบไม่แยแสใดๆเลยจริงหรือ” ผู้เฒ่าวายุกล่าวเสียงเบา ทว่าแรงจู่โจมจากคำพูดกลับส่งผลกระทบถึงซูหมิงโดยตรง
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงออกจากแดนมรณะหยิน แต่ข้าเดาว่าเจ้าจะต้องถูกบีบให้ออกมาอย่างแน่นอน! เพราะท่านเทพหมานเลี่ยซานซิวในตอนนั้นถูกแดนมรณะหยินข่มขู่ว่าจะสังหารทั้งเผ่าหมาน เลยถูกบีบให้ต้องจากไป ต้องไปตามหาทางเข้าสู่โลกแท้จริงที่ห้าให้กับดวงจิตแห่งแดนมรณะหยิน
หากเขาไม่ปฏิบัติตาม เผ่าหมาน….จะสูญสิ้นไปทั้งหมด เขาจึงต้องปฏิบัติตามด้วยความอัปยศ ทำได้เพียงนำความแค้นกับความคลุ้มคลั่งฝังเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และเลือกจากไปเพื่อให้ดวงจิตในแดนมรณะหยินวางใจ
เขาต้องใจจืดใจดำ…ขีดเส้นแบ่งกับเผ่าหมาน!” เมื่อผู้เฒ่าวายุกล่าวถึงตรงนี้ เขามีสีหน้าเหยเกย นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่งและเคียดแค้น
“หลายหมื่นปีมานี้ พวกเรา…คิดถึงบ้านเกิดตลอด คิดถึงคนในเผ่า คิดถึงพวกเจ้า…สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในตระกูลเลี่ยซานล้วนเป็นแผนที่เผ่าหมาน เจ้าไม่เคยเห็นความเศร้าโศกตอนพวกเรามองแผนที่เผ่าหมาน เจ้าไม่เคยเห็นความเจ็บปวดยามที่ในใจเราคิดถึงบ้านเกิด
หลายหมื่นปีมานี้ พวกเราพยายามมาตลอด พวกเราละทิ้งเกียรติยศ ละทิ้งแสงสว่างและคุณธรรม โถมตัวเข้าสู่เงามืด ก็เพื่อสักวันหนึ่ง….พวกเราจะบุกฝ่ากลับไปถึงแดนมรณะหยิน สังหารดวงจิตทุกตนในนั้น ให้เผ่าหมานของเราเดินออกจากแดนมรณะหยิน ให้เผ่าหมานของเรา….กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แกร่งที่สุด!” คำพูดผู้เฒ่าวายุประดุจพายุคลั่งถาโถมเข้าใส่จิตใจซูหมิง