Skip to content

สู่วิถีอสุรา 912

SVTASR

ตอนที่ 912 เป็นโชควาสนา และก็เป็นยาพิษ

ม่านแสงพังลง ร่างซูหมิงที่นั่งฌานอยู่จึงเผยออกมาข้างนอก เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายซูหมิงตอนนี้เป็นสีแดงทุกส่วน ทั้งยังมีเส้นเลือดดำปูดโปน ร่างกายสั่นไหวไม่หยุด สีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังทนรับความเจ็บปวดแสนสาหัส

กลิ่นหอมเข้มข้นโชยมาจากตัวซูหมิง หลังจากม่านแสงพังทลายลง กลิ่นเข้มข้นนี้ก็กระจายไปรอบๆ สัตว์ร้ายที่ส่งเสียงร้องราวกับเด็กทารกอยู่ไกลๆ กำลังถูกดึงดูดเข้ามา

สำหรับสัตว์ร้ายแล้ว กลิ่นหอมนี้มากพอจะกระตุ้นความคลุ้มคลั่งในสายเลือดโบราณของพวกมัน

คราวนี้กระจายออกเพียงไม่นานเท่านั้น หากปล่อยไว้นานกว่านี้อีกเล็กน้อย จะมีสัตว์ร้ายมากกว่าเดิมถูกกลิ่นหอมกระตุ้นให้เข้ามาอย่างดุร้าย

กระทั่งผู้ฝึกฌานบนเรือสิบสามลำ พอต่างได้กลิ่นนี้แล้ว พลังในร่างกายก็ถูกกลิ่นหอมกระตุ้นให้โคจรอย่างรวดเร็ว เหมือนสูดลมหายใจครั้งเดียวจะทำให้ขั้นพลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ภาพนี้ทำให้พวกเขาพากันใจสั่นสะท้าน ไม่ว่าจะเป็นชายชราเก้าคนหรือสวี่ฮุ่ยที่ซ่อนอยู่ในอากาศต่างมองซูหมิง บางทีพวกเขาอาจมีสีหน้าต่างกัน ทว่าในใจล้วนเกิดความตกใจระคนสงสัย

“สัตว์คลื่นเสียงทะเลดารา!” ไอหมอกจากไกลๆ หมุนตลบ ช่วงที่เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังกังวานไปรอบๆ เรือสิบสามลำพลันเปล่งแสงหม่น ณ เรือรบที่ซูหมิงอยู่ นางแมวผู้นั้นม่านตาหดตัว กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน ใบหน้านางแดงเรื่อ กลิ่นหอมของซูหมิงยังดีต่อผู้ฝึกฌานสักหน่อย แต่เป็นการกระตุ้นรุนแรงกว่าต่อสัตว์ร้าย

อีกทั้งนางยังกลายร่างเป็นนางแมวได้ แทบจะอยู่ระหว่างคนกับสัตว์ ดังนั้นแล้วกลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงจึงทำให้จิตสำนึกนางปั่นป่วน ยามนี้กัดปลายลิ้นถึงยังคงสติเอาไว้ได้

“สัตว์ชนิดนี้คือสิ่งมีชีวิตประหลาดนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต แต่มันมีนิสัยโอนอ่อนนัก ปกติไม่เคยโจมตีคนที่ผ่านทางมาก่อน ทว่าวันนี้มัน…” ทันทีที่นางแมวกล่าว เสียงร้องไห้ทารกพลันดังสนั่นขึ้นอีกหลายสิบเท่า

เสียงนั้นแหลมเล็ก ตอนที่ดังแว่วมาจากในหมอกไกลๆ ฟ้ากระจ่างดาวพลันเกิดระลอกคลื่นกลุ่มใหญ่ ราวกับว่าเสียงนี้กลายเป็นคลื่นเสียงกระจายออกไปรอบๆ

เรืออีกสิบสองลำที่ปกป้องเรือซูหมิงไว้ มีสามลำมุ่งหน้าไปยังสัตว์คลื่นเสียง ช่วงที่คลื่นเสียงนี้ดังสนั่นแก้วหู เรือรบสามลำนั้นเอนเอียงทันใด และถูกคลื่นเสียงปะทะจนถอยหลัง

“เสียงประดุจคลื่น ร้องไห้ดั่งฟ้ากระจ่างดาวเป็นทะเล คลื่นเสียงที่กระจายมาสามารถกลบมวลอากาศ นี่…นี่ก็คือสัตว์คลื่นเสียงที่อยู่รอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต” นางแมวหน้าซีดขาวเล็กน้อย กล่าวขึ้นทันใด

“แจ้งเรือรบทั้งหมด ให้ใช้ยอดวิชาพร้อมกัน….สังหารสัตว์ตัวนี้!” หลังสิ้นเสียงนางแมว หนึ่งในชายชราเก้าคนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

“ไม่ได้นะผู้อาวุโส สัตว์ตัวนี้ไม่ได้อยู่ลำพัง มันชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม หากพวกเราลงมือ เกรงว่าจะดึงดูดให้สัตว์คลื่นเสียงตัวอื่นเข้ามา ถึงตอนนั้น…” หญิงนางแมวรีบห้าม

“อ้อมไปทางอื่น” ยังไม่ทันให้ชายชราที่พูดก่อนหน้านี้ได้กล่าวอีกครั้ง สวี่ฮุ่ยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแว่วมาจากความว่างเปล่า

ตอนที่ซูหมิงยังไม่ตื่นขึ้น คำพูดของนางถือว่ามีอำนาจมากที่สุดในกลุ่ม ต่อให้เป็นชายชราเก้าคนก็ยังต้องปฏิบัติตาม

เรือรบสิบสามลำคุ้มกันซูหมิงพลางเดินหน้าไปอย่างช้าๆ อยากจะอ้อมพื้นที่นี้เพื่อเลี่ยงสัตว์คลื่นเสียง

แต่ช่วงที่เรือรบสิบสามลำกำลังจะอ้อมสัตว์คลื่นเสียงไป เสียงร้องไห้เล็กแหลมของทารกก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ หมอกที่ม้วนตลบอยู่ไกลๆ ยังกระจายเข้ามา จากระยะพันจั้งก่อนหน้ากลายเป็นเกือบห้าพันจั้ง และกำลังเคลื่อนตัวมาอีกด้วย ทิศทางของมันก็คือ…เรือรบสิบสามลำ

มันกำลังขวางไม่ให้เรือรบสิบสามลำจากไป เสียงร้องไห้แหลมสร้างเป็นระลอกคลื่นที่เหมือนมีดวงจิตของสัตว์คลื่นเสียงอยู่ กระจายไปรอบๆ ราวกับคลื่นลูกใหญ่ เข้ามาขวางหน้าเรือรบสิบสามลำเอาไว้

“รนหาที่ตาย!” หนึ่งในเก้าชายชราคนที่กล่าวก่อนหน้านี้ แม้ยามนี้ยังคงหลับตาอยู่ น้ำเสียงเย็นเยียบกลับดังก้องไปทั้งเรือสิบสามลำ

“โคจรยอดวิชา สังหารสัตว์ตัวนี้เสีย!”

ในเมื่อสัตว์คลื่นเสียงเผยเจตนาร้ายอย่างชัดเจนแล้ว การหลีกเลี่ยงย่อมไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ดังนั้นสวี่ฮุ่ยจึงไม่ขัดชายชราในครั้งนี้

แทบทันทีที่เสียงชายชราดังก้องเรือรบสิบสามลำ เรือรบทั้งหมดพลันเปล่งแสงหม่นแสบตา ทันใดนั้นเอง ตรงหัวเรือรบสิบสามลำก็เหมือนเกิดน้ำวนขึ้น ก่อนจะสูบแสงหม่นจากเรือทุกลำมาในพริบตา

โครม!

เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้ากระจ่างดาว เรือสิบสามลำระเบิดลำแสงสีดำใหญ่ยักษ์สิบสามสายออกไปด้วยพลังน่าตะลึงอย่างยิ่ง ลำแสงสิบสามสายนั้นเหมือนกับลูกศรสิบสามดอก ลากผ่านผืนฟ้าในเสี้ยวลมหายใจ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นมหาศาล แล้วเข้าปะทะกับคลื่นเสียงแหลมเล็กจากสัตว์คลื่นเสียง

เห็นได้ด้วยตาเนื้อเลยว่าลำแสงสิบสามสายลากผ่านอากาศไปในพริบตา พุ่งเข้าปะทะกับหมอกที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ว่า…มันกลับเหมือนหินโยนลงในมหาสมุทร ลำแสงแต่ละเส้นถูกหมอกกินไป ไม่ได้ทะลวงผ่านแม้แต่น้อย

เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาคนสำนักดาราสัจธรรม ทว่าพวกเขากลับมีสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก กระทั่งชายชราเก้าคนยังยิ้มเยาะมุมปาก

เพิ่งเผยรอยยิ้ม ก็เกิดเสียงระเบิดที่ดังยิ่งกว่าเสียงทั้งหมดก่อนหน้านี้มาจากในหมอกนั้น

ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังสนั่น หมอกแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ จากภายใน ตอนที่มันม้วนกระจายไปข้างนอก หมอกทั้งกลุ่มพลันสลายไป

ทว่าในตอนนั้น กลับมีเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นกลางหมอกที่กำลังกระจายเป็นเสี่ยง ก่อนจะปรากฏสัตว์ร้ายคล้ายลิงขนาดราวสิบจั้งกรูกันออกมาจากในหมอกทีละตัว

คลื่นเสียงคำรามรวมเป็นกลุ่ม ดังเล็กแหลมติดๆ กัน หนำซ้ำหลังจากที่สัตว์คลื่นเสียงพุ่งออกมาทุกตัวแล้ว ภายนอกตัวมันยังมีหมอกรวมกันขึ้นเองด้วย ทำให้ร่างพวกมันขมุกขมัวอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้สร้างความตื่นตะลึงอย่างที่สุดให้กับคนสำนักดาราสัจธรรม

ทว่าความตื่นตะลึงนี้เปลี่ยนเป็นสั่นเทาในพริบตา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว

เพราะว่ากลางฟ้ากระจ่างดาวไกลออกไป พลันมีกลุ่มหมอกยักษ์ปรากฏขึ้นอีกสิบกลุ่ม เสียงร้องไห้ของทารกดังกระหึ่มขึ้นลง…เนื่องจากไกลออกไปอีก ทุกคนเห็นหินผุพังกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว!

หินผุพังนั้นเป็นสีแดงเข้ม ข้างใต้มีสัตว์คลื่นเสียงตัวใหญ่ราวร้อยจั้งอยู่นับไม่ถ้วน ร้องคำรามพลางทะยานเข้ามาดุจแบกหินเอาไว้

กระทั่งบนหินผุพังยังมีสัตว์คลื่นเสียงขนาดหมื่นจั้งตัวหนึ่ง ดวงตาแดงฉานฉายแววละโมบ เสียงคำรามของมันอยู่เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวงได้

“ใช้ความเร็วทั้งหมดออกไปให้เร็วที่สุด!” สวี่ฮุ่ยสงบนิ่งไม่ได้แล้ว เสียงนางดังก้อง ในเสี้ยวพริบตานี้ เรือรบสิบสามลำส่งเสียงครึกโครม พร้อมกับกลายเป็นสายรุ้งยาวสิบสามสายบินไกลออกไป

ทว่าด้านหลังพวกเขา สัตว์คลื่นเสียงนับไม่ถ้วนกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าลิงสมควรตาย ท่านกระเรียนผู้นี้เกลียดลิงที่สุด!” กระเรียนขนร่วงโผล่หัวออกมาจากในห้อง พอมองสัตว์คลื่นเสียงเหลือคณานับด้านหลังแวบหนึ่งแล้ว มันก็ตัวสั่นเล็กน้อย และยังกัดฟันด้วยความโกรธ

“ลิงน่ารังเกียจที่สุด หืม? เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเคยมีเรื่องบาดหมางใจกับพวกมัน อืม ช่างเถอะ ถึงอย่างไรลิงก็เป็นสัตว์น่ารังเกียจที่สุด!” มันกล่าวพึมพำกับตัวเอง พลันทำจมูกฟึดฟัด แล้วมองซูหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

‘กลิ่นหอมนี้…คุ้น คุ้นมากๆ เหมือนว่าข้าเคยกินมันมาก่อน…’ ขณะที่กระเรียนขนร่วงกำลังประหลาดใจ มังกรยมโลกข้างกายมันตัวสั่นอยู่นานแล้ว มันโคจรขั้นพลังด้วยสีหน้าตื่นเต้น สังเกตเห็นชัดว่าพลังในร่างกายที่เสียหายเกิดเค้าลางว่าจะฟื้นกลับมาภายใต้การกระตุ้นจากกลิ่นหอมนี้

ข้างนอกเกิดเสียงโครมคราม จำนวนของสัตว์คลื่นเสียงมีไม่ต่ำกว่าหลายแสนตัว การไล่ล่าของพวกมัน จากเพียงแค่จำนวนก็มากพอจะสร้างความตื่นตกใจให้กับผู้ฝึกฌานทั้งหมดแล้ว เว้นแต่จะมีผู้แข็งแกร่งระดับภัยพิบัติตะวัน มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางสู้ไหว

กระทั่งเกรงว่าแม้แต่ระดับภัยพิบัติตะวันก็ยังไม่อาจมีสีหน้าปกติท่ามกลางกลุ่มสัตว์คลื่นเสียงแบบนี้ ถึงอย่างไรก็มีสัตว์คลื่นเสียงขนาดหมื่นจั้งอยู่ไกลๆ แรงกดดันจากตัวมันเพียงพอจะเขย่าขวัญได้ทุกอย่าง

ซูหมิงไม่รู้ถึงภยันตรายของทุกคนตอนนี้เลย ยามนี้เขากำลังโคจรพลังทั้งหมด ละลายน้ำหวานดอกผนึกจิตในเลือดไม่หยุด การโคจรทุกครั้งจะเกิดเสียงดังขึ้นในร่างกาย และทำให้ตัวเขาสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดจิตวิญญาณยังเกิดความรู้สึกหย่อนยาน

นี่เป็นเพียงแค่…ผลจากน้ำหวานดอกผนึกจิตเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพียงแค่เล็กน้อยเขาก็เกือบจะรับไม่ไหวแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีร่างแยกเอ้อชางคอยคุ้มกันวิญญาณอยู่ตลอด และเหนี่ยวนำให้พลังโคจรเพื่อละลายน้ำหวาน เช่นนั้นเกรงว่าร่างกายเขาคงถูกพลังจากน้ำหวานระเบิดไปนานแล้ว

โชควาสนาไร้รูปยากจะคว้าจับไว้ น้ำหวานดอกผนึกจิตมีผลรุนแรงต่อทุกคนเช่นนี้ ทว่าสำหรับผึ้งพิษไม่ใช่เช่นนั้น มันสามารถเก็บเอาไว้ในร่างกายได้อย่างปลอดภัย ให้หลอมรวมกับพิษ แต่ก็ไม่ได้ยกระดับกำลังรบของมัน กระทั่งไม่มีผลอะไรกับพิษมากนักด้วย

อย่างเช่นพิษของมัน สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือพิษ แต่สำหรับตัวมันเองกลับไม่เป็นอะไร

ระหว่างอยู่ในขั้นตอนการละลายน้ำหวานดอกผนึกจิตอย่างไม่หยุดหย่อน พลังซูหมิงก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาทะลวงผ่านคอขวดเจ้าปกครองโลกตอนต้น หลังบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนกลางก็ยังเพิ่มสูงขึ้นอีก มุ่งหน้าไปสู่เจ้าปกครองโลกตอนกลางสมบูรณ์อย่างว่องไว

ทว่า…เขาในตอนนี้ละลายน้ำหวานเสี้ยวหนึ่งในร่างกายไปยังไม่ถึงสามส่วนด้วยซ้ำ ก็รู้สึกชัดเจนว่าตนถึงขีดจำกัดแล้ว

วิญญาณเขาไม่อาจยืนหยัดต่อไป ร่างกายยังยากจะละลายน้ำหวานต่อ ขั้นพลังยังมีทีท่าว่าจะพังทลายลงจากแรงปะทะของน้ำหวานดอกผนึกจิต

‘น้ำหวานดอกผนึกจิต…พลังผนึกจิต…ตอนนี้เสี้ยวหนึ่งในร่างกายข้าเป็นเพียงส่วนน้อยจากน้ำหวานในตัวผึ้งพิษเท่านั้น ทว่าเพียงแค่นี้ข้าก็ละลายไม่หมดแล้ว ต้องปรับตัวสักระยะถึงจะลองต่อได้ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้น้ำหวานดอกผนึกจิตในร่างกายข้าที่ยังไม่ละลายก็ไม่ใช่โชควาสนา แต่เป็นยาพิษถึงชีวิต!’ ซูหมิงลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก อักขระต้นกำเนิดจิตบนเสื้อคลุมดาราเว้นนูนขึ้นลง นี่คือการใช้พลังต้นกำเนิดจิตมากำราบน้ำหวานดอกผนึกจิต

ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นกลุ่มสัตว์คลื่นเสียงนับไม่ถ้วนอยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงคำรามแหลมเล็กไปทั่วฟ้ากระจ่างดาว และยังมีสีหน้าจริงจังของทุกคนรอบตัว

ขณะเดียวกัน เขาก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นมาจากร่างกายตัวเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version