Skip to content

สู่วิถีอสุรา 914

ตอนที่ 914 สีฟ้าอ่อน

ในชั่วขณะนี้ รอบตัวซูหมิงถูกล้อมไปด้วยสัตว์คลื่นเสียงนับไม่ถ้วน พวกมันทุกตัวคำรามเสียงแสบแก้วหู เสียงดังกังวานไปรอบๆ ราวกับทะลวงผืนฟ้ากระจ่างดาวได้

กระทั่งในสัตว์คลื่นเสียงเหล่านี้ยังมีบางตัวมีขนาดร้อยจั้ง พวกมันต่างตรงไปหาซูหมิงด้วยความบ้าคลั่งและละโมบ

“โง่เขลา!” สวี่ฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสี คิดจะเคลื่อนย้ายในพริบตาไปช่วยซูหมิงอย่างไม่ลังเล นางรู้ว่าบางทีด้วยขั้นพลังอีกฝ่ายอาจจะยืนหยัดได้ครู่หนึ่ง ทว่าเต้าคงไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้นองเลือด และไม่มีประสบการณ์ในวิกฤติเป็นตายมากนัก คนดั่งดอกไม้เลี้ยงอย่างเขาจะต้องโรยรากลางพายุหนาวเหน็บแน่นอน

อีกทั้งนางยังคาดเดาว่าการกระทำของซูหมิงเมื่อครู่นี้เป็นอารมณ์ชั่ววูบแน่ ซึ่งไม่ตรงกับนิสัยเต้าคง แต่มาคิดดูก็เพียงเลือดร้อนชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น ถึงนางจะบอกว่าโง่เขลาด้วยความโมโห ทว่าส่วนลึกในใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าซูหมิงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยจนตรวจไม่พบ

และยังมีชายชราเก้าคนนั้น พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี รีบใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาเข้าไป แต่คนที่เร็วกว่าพวกเขาทั้งหมดคือหญิงแมวผู้นั้น แทบทันทีที่ซูหมิงถูกสัตว์คลื่นเสียงล้อมไว้ นางก็ใช้ความเร็วทั้งหมดมาอยู่ตรงกลางสัตว์ร้ายเหล่านี้ในพริบตาเดียว

“นายน้อย…” หญิงแมวปรากฏตัว กำลังจะกล่าวอย่างกังวล ช่วงที่เตรียมจะพาซูหมิงฝ่าวงล้อมไปนั้น เสียงนางพลันหยุดชะงักไป

นางเห็นว่าซูหมิงไม่มีสีหน้าลนลานแม้แต่น้อย แม้ยังคงอึมครึม แต่กลับสงบนิ่งมาก ปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ล้อมเข้ามา ใช้กรงเล็บแหลมฉีกร่าง เหมือนอยากจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ

ทว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่หญิงแมวพลันเงียบไป สาเหตุจริงๆ คือนางเห็นว่าเหล่าสัตว์คลื่นเสียงที่กำลังจะฉีกซูหมิง…พอกรงเล็บที่ก่อนหน้านี้สามารถฉีกร่างผู้ฝึกฌานสัมผัสซูหมิงแล้ว กลับเกิดเสียงราวทองสัมฤทธิ์กระทบกัน และยังมีเสียงร้องโหยหวนแว่วมา เสียงนั้นมาจากสัตว์คลื่นเสียงที่พยายามจะฉีกร่างเขา

กรงเล็บของพวกมันล้วนแตกหักพร้อมกัน ราวกับว่าพวกมันใช้แรงเท่าใดฉีกร่างซูหมิง ก็จะถูกแรงสะท้อนกลับเท่านั้นหักกรงเล็บแหลม

ประหนึ่งว่าความแกร่งของร่างกายซูหมิงคือปราการที่กรงเล็บแหลมของพวกมันไม่อาจทำลายได้

กระทั่งยังมีสัตว์คลื่นเสียงขนาดร้อยจั้งตัวหนึ่งเข้ามาใกล้พร้อมเสียงคำราม ด้วยความใหญ่โตของมัน ซูหมิงจึงดูเหมือนกับมดปลวก สัตว์ร้อยจั้งตัวนี้ก็ใช้กรงเล็บแหลมพุ่งไปหาเขาเช่นเดียวกัน กรงเล็บนั้นใหญ่เท่ากับร่างกายเขา ดูเหมือนจะบดขยี้ให้แหลกลาญ

ภาพนี้มีเพียงหญิงแมวผู้เข้ามาในวงล้อมสัตว์คลื่นเสียงที่เห็น คนอื่นไม่รู้เรื่องเลย ชั่วขณะที่นางหรี่ตา ซูหมิงเงยหน้าขึ้น มุมปากยิ้มเยาะเย็นชายิ่งกว่าเดิม จิตสังหารในแววตาเหมือนกับเหนี่ยวนำฟ้ากระจ่างดาวรอบๆ ทำให้ที่นี่พลันหนาวเยือก

โครม!

ซูหมิงไม่หลบ ปล่อยให้สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตะปบกรงเล็บลงบนตัว แต่ภาพที่หญิงแมวต้องตื่นตะลึงก็เกิดขึ้นในตอนนี้เอง

สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งก็มีสีหน้าอึ้งงันไปเช่นกัน เส้นเลือดปูดบนใบหน้า มันใช้พละกำลังทั้งหมดแล้ว แต่ก็พบสิ่งที่น่าหวาดหวั่น ผู้ฝึกฌานที่ดูเหมือนบอบบางคนนี้ หลังจากมันใช้พละกำลังทั้งหมดแล้วกลับไม่อาจบดขยี้ให้แหลก คล้ายกับว่ามันไม่ได้ตะปบกรงเล็บใส่ผู้ฝึกฌาน แต่เป็นหินหนาวเยือกที่ไม่อาจทำลายได้แม้แต่น้อย

สิ่งที่ยิ่งทำให้เสียงคำรามของมันเงียบไปคือ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นช้าๆ

นี่ไม่ใช่การยกมือแบบธรรมดา แต่เป็นการยกมือช้าๆ หลังร่างกายถูกกรงเล็บใหญ่คว้าเอาไว้แล้ว เมื่อซูหมิงยกมือขวาขึ้น สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งเสียการควบคุม กรงเล็บที่คว้าร่างกายเขาเอาไว้คลายออกไม่หยุด ราวกับว่า…พละกำลังของเขาเหนือกว่าสัตว์คลื่นเสียงใหญ่ร้อยจั้ง

จนกระทั่งซูหมิงแยกกรงเล็บสัตว์ร้ายออกทีละเล็บ จากนั้นกำหมัดขวาชกเข้าใส่กรงเล็บแหลมนี้

เสียงโครมดังขึ้น ร่างสัตว์ร้ายร้อยจั้งสั่นไหวอย่างรุนแรง สีหน้าคลุ้มคลั่งเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว กรงเล็บมันแตกหักในทันใด ก่อนจะลุกลามไปอย่างรวดเร็ว แขนขวา ร่างส่วนบน รวมถึงทั้งหมดของร่างกายระเบิดออกท่ามกลางความหวาดกลัวและเสียงคำรามแหลมของมัน

ทันทีที่ร่างกายมันระเบิดออก ก็มีจุดแสงสีฟ้าอ่อนลอยออกมาจากในชิ้นส่วนร่าง ช่วงที่ซูหมิงเห็น ร่างกายเขาสั่นไหวทันใด

สีหน้าเผยแววประหลาด ในใจยังสั่นสะท้าน เพราะพริบตาที่เขาเห็นจุดแสงสีฟ้าอ่อนนี้ เศษหินพิลึกที่อยู่ในตัวเขามาตลอด กระทั่งซ่อนอยู่ในวิญญาณ สิ่งนี้ที่เขาไม่เห็นถึงประโยชน์อื่นๆ มานานแสนนาน และเอ้อชางในตอนนั้นก็บอกว่ามันคือเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต ในเสี้ยวขณะเมื่อครู่นี้มันกลับปล่อยพลังร้อนระอุออกมา

พลังนี้แผ่มาจากเศษหินสีดำที่หลอมรวมอยู่ในวิญญาณเขา ขณะเดียวกันก็เกิดในความรู้สึกของร่างแยกเขาทุกคน กลายเป็นแรงดูดเบาบางที่เหมือนจะดูดจุดแสงสีฟ้าอ่อนเข้ามา

ซูหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับความรู้สึกนี้ นั่นคือความรู้สึกเดียวกับตอนก่อนและหลังเข้าไปในมิติเศษหินที่ภูเขาทมิฬบนแดนหมานเมื่อนานมาแล้ว

เขาอดใจสั่นไหวขึ้นมามิได้ เขาเปิดประตูในมิติเศษหินไปแล้วหลายบาน แต่จะเห็นได้ว่ายังมีอีกมากที่เขายังเปิดไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่มีเม็ดยาสำหรับการเปิดประตูที่ขวางเขาเอาไว้ด้วย

ไม่ใช่ว่าซูหมิงไม่มีวัตถุดิบในการหลอม แต่พอขั้นพลังสูงขึ้น พอประสบเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เวลาในการหลอมเม็ดโอสถอย่างสงบจึงมีน้อยมาก

ดวงตาซูหมิงพลันขยับประกาย สิ่งที่สามารถทำให้เศษหินสีดำเกิดแรงดูด กระทั่งเกิดความรู้สึกนั้นที่จะมีขึ้นเพียงตอนเข้าไปในมิติเศษหิน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความสนใจมาก เขาเกิดลางสังหรณ์รางๆ ว่าเศษหินสีดำของตน…เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะกลุ่มสัตว์เหล่านี้

นัยน์ตาซูหมิงแวววาว เพียงแต่เมื่อสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตายลงและปรากฏจุดแสงสีฟ้าอ่อนแล้ว มันไม่ได้แค่ดึงดูดความสนใจซูหมิง แต่ยังทำให้สัตว์คลื่นเสียงรอบๆ ต่างบ้าคลั่งขึ้นมา พวกมันถึงขั้นหยุดปิดล้อมซูหมิง แต่พุ่งตรงไปยังจุดแสงสีฟ้าแทน

เหมือนกับว่าจุดแสงสีฟ้านี้สำคัญยิ่งกว่าน้ำหวานดอกผนึกจิตสำหรับพวกมัน บางทีอาจกล่าวได้ว่า สิ่งนี้…เหมาะกับกลุ่มพวกมันมากกว่า

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ซูหมิงหรี่ตาลง แม้แต่หญิงแมวยังมองไปโดยจิตใต้สำนึก และตอนนี้เอง สวี่ฮุ่ยกับชายชราเก้าคนก็เคลื่อนย้ายในพริบตาเข้ามา

พวกเขาเห็นพร้อมกันว่า ในหมู่สัตว์คลื่นเสียงจำนวนมาก มีสัตว์คลื่นเสียงขนาดสิบจั้งตัวหนึ่งอยู่ใกล้กับจุดสีฟ้าอ่อนมากที่สุด ดวงตามันแดงก่ำ พุ่งกระโจนเข้าไปหาจุดแสงโดยไม่สนสิ่งใด จุดแสงนั้นหลอมรวมเข้าในร่างกายมันในทันที เสี้ยวขณะเดียวมันก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ร่างกายพลันอาบชโลมด้วยโลหิต นั่นคือ…เลือดเนื้อซึ่งกำลังปริแตกภายใต้ความบ้าคลั่งที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

มันร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ร่างกายขยายออกด้วยความเร็วระดับสายตา พริบตาเดียวก็มีขนาดร้อยจั้ง มัน…ที่มีกำลังรบเทียบเท่าระดับดิน กระโดดข้ามมาเป็นสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งที่สามารถสู้กับผู้ฝึกฌานเจ้าปกครองโลกตอนต้นได้

สัตว์ร้ายตาแดงก่ำ ตอนที่มองซูหมิง ในดวงตาเผยความแค้นเหลือล้น กระทั่งมองจากอารมณ์ที่วูบไหวผ่านตาของมัน…ยังดูมีหลายส่วนคล้ายกับสัตว์คลื่นเสียงตัวที่ตายไปก่อนหน้านี้

โฮก!

สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งคำรามใส่ซูหมิง ไม่บุกเข้ามาแต่กลับทะยานถอยไป เหมือนอยากจะหนีไปจากที่นี่ให้ไกล

‘เพิ่งเคยเห็นการสืบทอดแบบนี้เป็นครั้งแรก’ ยามนี้เห็นสัตว์ร้ายร้อยจั้งกำลังจะหนีไป ดวงตาซูหมิงเป็นประกายบางๆ จากนั้นขยับตัววูบไหวไล่ตามไป

ยามนี้สัตว์คลื่นเสียงรอบๆ ก็กระจายกันออกไป ต่างคำรามใส่พวกซูหมิงด้วยความโกรธอีกครั้ง เหมือนว่าพวกมันชินกับเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณ

สัตว์คลื่นเสียงขนาดต่ำกว่าร้อยจั้งตายไปไม่น้อยก่อนหน้านี้ แต่ว่ากลับไม่มีตัวใดมีจุดสีฟ้าอ่อนในร่างกาย มีเพียงสัตว์ร้อยจั้งตัวนั้นที่มีจุดสีฟ้าซึ่งทำให้สัตว์คลื่นเสียงตัวอื่นบ้าคลั่ง

ซูหมิงหรี่ตาเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล่าวอะไร เพียงเดินหน้าหนึ่งก้าวมาปรากฏตัวอยู่ข้างสัตว์ร้อยจั้งที่กำลังจะหนีในพริบตา ตอนที่ยกมือขวาอีกครั้ง นัยน์ตาเขาฉายประกายจิตสังหาร พลังของน้ำหวานดอกผนึกจิตในร่างกายถูกบีบออกมาอีกเล็กน้อย

เสียงครึกโครมดังสนั่น สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวนั้นหันหน้ากลับมาคำรามด้วยความโกรธในจังหวะเดียวกับที่ซูหมิงปล่อยฝ่ามือผ่านอากาศไปทางมัน สีหน้ามันบ้าคลั่ง ทว่าต่อให้มันรับสืบทอดด้วยสถานะพิเศษนี้ ก็ยังไม่อาจหลบฝ่ามือที่แฝงไว้ด้วยน้ำหวานดอกผนึกจิตได้

ท่ามกลางเสียงโครมคราม ร่างสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งสั่นสะท้าน ทั่วร่างแหลกลงกลางสายลมฝ่ามือ ทันทีที่ร่างมันระเบิดก็มีจุดแสงสีฟ้าอ่อนอีกจุดลอยออกมา

ยังไม่ทันที่สัตว์คลื่นเสียงโดยรอบเหล่านั้นจะเข้ามา ดวงตาซูหมิงก็วาววับ แล้วขยับตัวเข้าไปอยู่ข้างจุดแสงสีฟ้าอ่อน ก่อนจะคว้าไปยังจุดแสงนั้น

สัตว์คลื่นเสียงขนาดหมื่นจั้งบนหินผุพังไกลออกไปยิ้มเยาะมุมปากน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าในความคิดมัน ไม่มีทางที่ผู้ฝึกฌานจะควบคุมจุดแสงสีฟ้าอ่อนนี้ได้ มีแต่พวกมันเผ่าสัตว์คลื่นเสียงเท่านั้นถึงจะสามารถสูบกิน

กระทั่งในความทรงจำของมัน มีผู้ฝึกฌานไม่น้อยคิดจะรับมรดกของสัตว์คลื่นเสียง ทว่าทุกคนล้วนตายทั้งหมดตอนสูบกิน

ดังนั้นช่วงที่ซูหมิงใช้มือขวาสัมผัสจุดแสง รอยยิ้มของสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งจึงดูเย้ยเยาะมากขึ้น

ทว่าต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น!

จุดแสงสีฟ้าอ่อนในมือซูหมิงถูกเขาสูบเข้าร่างกายในพริบตา อีกทั้งดวงตาเขายังเพ่งสมาธิ รู้สึกชัดว่าความร้อนระอุจากเศษหินสีดำเหมือนมากพอจะแผดเผาวิญญาณเขาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version