Skip to content

สู่วิถีอสุรา 929

SVTASR

ตอนที่ 929 บุรุษในนาม

เจ็บปวด…

นี่คือความรู้สึกเด่นชัดที่สุดของสวี่ฮุ่ยตอนนี้ นางถูกเหวี่ยงออกไป ตอนที่ตกลงบนพื้นทราย นางฝืนกายให้ยืนอย่างมั่นคง ใบหน้าซีดขาว กระอักเลือดกองใหญ่ บนตัวเต็มไปด้วยรอยแผลเห็นเลือดเนื้อ เหมือนจะยืนไม่ไหวแล้ว

นางใช้พละกำลังทั้งหมดแล้ว ผู้ถือคันศรมีขั้นพลังใกล้เคียงกับนาง บีบจนนางต้องใช้วิชาหงส์ทะเลสาบ นางยังฝึกวิชานี้ไม่ถึงจุดสูงสุด ทุกครั้งที่ใช้ตัวเองจะต้องรับภาระ

แต่พลานุภาพของมันก็ไม่ธรรมดา คันศรในมือผู้ถือคันศรตกไปอยู่ไกลๆ ทั้งแขนขวาหายไป มิหนำซ้ำตรงหน้าอกยังปรากฏรอยแผลทะลวงร่างกายสิบเจ็ดแห่ง

ใบหน้าเขาขาวซีดและกระอักเลือดเช่นกัน ร่างกายหลายร้อยจั้งตอนนี้หดเล็กลงด้วยความเร็วระดับตาเห็น ตอนที่หดเหลือสิบจั้ง ถึงจะระงับอาการบาดเจ็บได้ แต่เขาก็จ้องสวี่ฮุ่ยตาเขม็งพร้อมร้องคำรามเสียงต่ำ

ชั่วขณะที่คำราม ดินทรายรอบตัวพลันรวมกันเข้ามาอุดบาดแผลเอาไว้ ซ้ำยังรวมอยู่ตรงแขนขวา พอกลายเป็นแขนใหม่แล้วก็ใช้มือคว้าอากาศไปทางคันธนู ทันใดนั้นมันก็บินมาอยู่ในมือ ภายใต้ร่างกายกำลังรวมขึ้นจากทรายอย่างต่อเนื่อง เขาก็กลับมามีความสูงหลายร้อยจั้งอีกครั้ง

เขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับไม่เคยบาดเจ็บ ตรงศีรษะ ดินทรายเหล่านั้นยังรวมขึ้นเป็นดวงจันทร์!

นั่นคือดวงจันทร์ดินทราย!

นัยน์ตาสวี่ฮุ่ยฉายแววสิ้นหวังเป็นครั้งแรก นางโซเซกำลังจะถอยไป ทันใดนั้นนางกลับโค้งตัว แล้วบินลงมาอยู่บนพื้น

ร่างเงาเตี้ยกึ่งโปร่งใสคนหนึ่งมาปรากฏตรงจุดที่สวี่ฮุ่ยอยู่ก่อนหน้านี้ เขาดึงหมัดกลับ แม้ร่างเงาเตี้ยจะเลือนราง แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นชายชราคนหนึ่ง คนผู้นี้….ก็คือชายชราที่อยู่บนเทวรูปหมื่นจั้งกลางทะเลทรายซึ่งอยู่ไกลออกไป

ตัวเขาในตอนนี้คือร่างมายาจากอภินิหารวิชาของเขา

แม้เขาจะตัวเตี้ย แต่ทันทีที่ปรากฏตัว ผู้ถือคันศรขนาดหลายร้อยจั้งข้างหลังเขากลับคุกเข่าลงกับพื้นทันควัน ยักษ์ดินทรายหลายพันจั้งรอบๆ เหล่านั้นก็คุกเข่าลงเช่นกัน

และยังมีชาวเผ่าดินทรายหลายหมื่นบนปราการวงกลมรอบๆ พวกเขาต่างพากันก้มกราบด้วยความตื่นเต้นและฮึกเหิม

สวี่ฮุ่ยพยายามดิ้นรนยืนขึ้นบนพื้น ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัว ดินทรายรอบตัวก็ตรงเข้ามากลายเป็นโซ่ดินทรายสี่เส้นผูกแขนขานางเอาไว้ ทั้งตัวนางถูกแขวนขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ

ชายชราร่างมายายกมือขวา ในมือปรากฏกริชดินทรายเล่มหนึ่ง เขาถือกริชพลางเดินไปหาสวี่ฮุ่ยอย่างช้าๆ ชาวเผ่าดินทรายจากรอบๆ ต่างส่งเสียงโห่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ คลื่นเสียงขึ้นลง เหมือนกำลังบริกรรมคาถาในพิธีกรรมบางอย่าง

สวี่ฮุ่ยกัดริมฝีปากล่าง พลังในร่างกายอ่อนแรงลงทั้งหมดไปตามหมัดของชายชราเมื่อครู่ มิหนำซ้ำยังมีผนึกขวางไม่ให้นางระเบิดตัวเองอยู่

นางมองฟ้าอย่างเงียบๆ ตรงหน้าลอยขึ้นมาเป็นภาพต่างๆ นางที่เกิดในครอบครัวคนธรรมดา ถูกสำนกหงส์รับเป็นศิษย์ตั้งแต่เยาว์วัย กระทั่งในความทรงจำ หน้าตาของมารดายังเลือนราง จำได้ไม่ชัดนัก

นางเคยกลับบ้านเกิดมาแล้ว ทว่าที่นั่นกลายเป็นฝุ่นละอองแห่งกาลเวลาไปแล้ว คนในครอบครัวนางแก่ชราสิ้นไปหมด ร่องรอยค่อยๆ หายไป

ทว่าตอนนี้ ในภาพตรงหน้านางพลันชัดเจนขึ้นไม่น้อย นางเห็นบิดามารดา เห็นญาติพี่น้อง…

ภาพลอยขึ้นมาไม่หยุด สวี่ฮุ่ยยิ้มอบอุ่นตรงมุมปาก และหลับตาลงช้าๆ

‘นี่คือชะตาของข้า…จากวันนั้นที่เป็นศิษย์สำนักหงส์ก็ได้กำหนดโชคชะตาเอาไว้แล้ว…ชีวิตของข้ามีอยู่เพื่อคนคนหนึ่งในสายเลือดตรงสำนักดาราสัจธรรม นี่คือชะตาของข้า…ตอนนี้ถือว่าหลุดพ้นแล้ว’ สวี่ฮุ่ยถอนหายใจอยู่ภายใน

เสียงครึกโครมดังสนั่น ตอนที่สวี่ฮุ่ยหลับตาลงและรอความตายมาเยือนนั้น ก็มีเสียงร้องด้วยความตระหนกของชาวเผ่าดินทรายหลายหมื่นคนดังแว่วมาจากปราการข้างๆ จากนั้นก็ตามด้วยเสียงโครมคราม

และยังมีเสียงคำรามด้วยความโกรธของยักษ์ดินทรายสิบกว่าตนรวมถึงเสียงขึ้นจมูกเย็นชาของชายชราร่างมายา

ทุกอย่างทำให้สวี่ฮุ่ยผู้ละทิ้งความหวังแพขนตาสั่นไหว อยากจะลืมตาขึ้น ทว่าตัวนางเสียพละกำลังไปทั้งหมด แม้แต่การลืมตายังไม่เป็นไปตามใจนึก

นางทำได้เพียงแง้มดวงตาสองข้าง มองผ่านขนตาเห็นรางๆ ว่านอกปราการไกลออกไป มีร่างเงาคุ้นเคยกำลังชกหมัดใส่ปราการ

‘เป็นเขา…’ สวี่ฮุ่ยพึมพำในใจเบาๆ

‘เขาไม่ควรจะมา ด้วยนิสัยเขา ย่อมสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง….’

‘ทว่าเขา…เหตุใดถึงมาได้…’

‘ตอนสัตว์คลื่นเสียง เขากลับมา ตอนนี้ที่นี่เขาก็กลับมาอีก เขา….ยังใช่เต้าคงอยู่หรือไม่….’

‘คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ…แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เต้าคงก็ดี คนอื่นก็ดี ต้องขอบคุณเจ้า….’ ในใจสวี่ฮุ่ยสงบนิ่ง กล่าวพึมพำในใจ เอ่ยเสียงเบาที่มีเพียงจิตวิญญาณนางเท่านั้นที่ได้ยิน

ซูหมิงชกหมัดใส่ปราการ เสียงดังสนั่นกังวานไปรอบๆ มิหนำซ้ำยังมีแรงสะท้อนกลับรุนแรงส่งมาจากในปราการ ทำให้เขาถูกอัดจนถอยไปหลายก้าว

เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสวี่ฮุ่ยในปราการ เห็นแขนขานางถูกโซ่ดินทรายล่ามเอาไว้ เห็นนางหลับตาลงแล้ว กลิ่นอายพลังเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นชาวเผ่าดินทรายเหล่านั้นรวมถึงอสูรดินทรายยักษ์สิบกว่าตัว อีกทั้งในปราการยังมีผู้ถือคันศรขนาดหลายร้อยจั้งรวมถึงชายชราร่างมายาคนนั้น

แรงกดดันภัยพิบัติจันทราจากตัวผู้ถือคันศร พลังภัยพิบัติตะวันจากตัวชายชราร่างมายา และยังมียักษ์ดินทรายสิบกว่าตนที่มีพลังเจ้าปกครองโลกตอนกลางอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้ซูหมิงหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง

ขั้นพลังเขาในตอนนี้ยังต้านทานพลังเหล่านี้ไม่ไหว ยักษ์ดินทรายสิบกว่าตนนั้นยังดีหน่อย แต่ผู้ถือคันศรสร้างอำนาจคุกคามแก่กล้าให้กับเขา จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายชราร่างมายาเลย

ซูหมิงเงียบงัน ขณะเดียวกับที่เขากระเด็นถอยไปนั้น ยักษ์ดินทรายสิบกว่าตนในปราการร้องคำรามพร้อมกับสาวเท้ายาวเข้ามา ร่างกายพวกมันข้ามผ่านปราการตรงไปหาซูหมิง

ส่วนผู้ถือคันศรคนนั้นมีสีหน้าเหยียดหยาม ในสายตาเขา ซูหมิงที่มีขั้นพลังเพียงเจ้าปกครองโลกไม่คู่ควรจะให้เขาลงมือด้วยซ้ำ กระทั่งเพียงลูกธนูดอกเดียว เขาเชื่อว่าจะทำลายร่างกายอีกฝ่ายให้สูญสลายไปได้

ซูหมิงถอนหายใจเบา ชีวิตสวี่ฮุ่ยแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยิ่งนานเข้าจะยิ่งอันตราย จึงไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญอีก เว้นแต่จะไม่ช่วยเหลือ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยหญิงผู้เซ่อซ่าคนนี้แล้ว เช่นนั้นการเปิดเผยขั้นพลังก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตรึกตรองอีก

“ช่างเถอะ” ซูหมิงส่ายศีรษะก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว ยามที่เหยียบเท้าลง พลังต้นกำเนิดจิตในตัวเขาพลันปะทุออกมา กลายเป็นเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราอาภรณ์ยาวเนื้อหยาบ จากนั้นก็มีอักขระเว้านูนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา อีกทั้งในยามนี้ขั้นพลังเขายังสูงขึ้นตาม

ด้วยความเร็วของเขา แวบเดียวก็ปะทะกับยักษ์ดินทรายตนหนึ่ง ยักษ์ดินทรายหัวเราะเยาะ มันชกหมัดเข้ามา แต่ซูหมิงไม่มองแม้แต่หางตา กระทั่งยังไม่หลบ แต่ใช่ร่างกายพุ่งชนเข้าไป

เกิดเสียงโครมสนั่น ซูหมิงกับยักษ์ดินทรายปะทะกัน ช่วงที่ปะทะกัน รอยยิ้มเยาะของยักษ์ดินทรายกลายเป็นเหลือเชื่อ แขนขวาระเบิดออกกลางเสียงสนั่น ส่วนซูหมิงข้ามผ่านจากในร่างคนยักษ์โดยที่ไม่รับบาดเจ็บใดๆ ระหว่างนั้นก็ยังชกหมัดขวาไปข้างหลัง

สิ้นสุดหนึ่งหมัด ยักษ์ดินทรายร่างสั่นสะท้านแล้วพลันระเบิดออก

“อ่อนแอนัก” ซูหมิงเดินก้าวที่สอง เวลานี้ขั้นพลังเขาทะยานถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายแล้ว นั่นคือพลังจากร่างกายผสมกับขั้นพลัง ระเบิดออกมาเป็นพลังผสมรวมกัน

ยักษ์ดินทรายสองตนตรงหน้าร้องคำรามเพื่อสร้างพายุหมุนขึ้น ม้วนร่างกายตัวเองเข้าประชิดตัวซูหมิงในพริบตา จากนั้นสองฝ่ายก็ปะทะกัน

โครม โครม เกิดเสียงดังสนั่นสองเสียงกึกก้องฟ้าดินในยามนี้ ทำให้ชาวเผ่าดินทรายทั้งหมดพากันมองไปและต่างตื่นตกใจ เห็นเพียงยักษ์ดินทรายสองตนร่างสั่นสะท้านก่อนระเบิดออกพร้อมกัน ราวกับว่ามีพลังที่พวกเขารับไม่ไหวทำลายทุกอย่างของพวกเขา

ซูหมิงไม่หยุดแต่เดินก้าวที่สาม เขาในตอนนี้การทะยานขึ้นของขั้นพลังหลอมรวมกับต้นกำเนิดจิตแล้ว จนบรรลุถึงจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวสู่ระดับภัยพิบัติจันทรา

นี่คือขีดจำกัดของซูหมิงในตอนนี้ เป็นความแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ทว่าเงื่อนไขคือ…..ยังไม่ใช้ร่างแยกเอ้อชาง!

แต่ลมหายใจต่อมาซูหมิงเดินก้าวที่สี่ พริบตาที่ตรงหน้าปรากฏยักษ์ดินทรายสี่ตน เมื่อเขาก้าวเท้าลงไป ปากก็เอ่ยออกไปสองคำที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน

“เอ้อชาง”

สิ้นเสียงสองคำนี้ ณ ฟ้ากระจ่างดาวที่ห่างจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอย่างยิ่ง มีดาวทมิฬขวางกั้นอยู่ ตรงเขตดาราวงแหวนบูรพาของพื้นที่ขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริง ภายในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา ร่างแยกเอ้อชางของซูหมิงพลันลืมตาขึ้นกลางฟ้าสีม่วง

นัยน์ตาฉายแววสีม่วง แรงกดดันเหนือสุดพลันปะทุมาจากตัวเขา

ในเวลาเดียวกันด้านซูหมิงกลางทะเลทราย ช่วงที่ปะทะกับยักษ์ดินทรายสี่ตนนั้น ขั้นพลังเขาทะยานขึ้นอีกครั้ง เสี้ยวขณะเดียวก็บรรลุถึงระดับภัยพิบัติจันทรา!

นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติจันทราจริงๆ เพราะในตัวซูหมิงไม่มีดวงจันทร์ ทว่ากลิ่นอายพลังจากตัวมอบความรู้สึกให้คนอื่นว่าเขาคือ…ภัยพิบัติจันทรา!

โครม โครม โครม โครม!

เสียงครึกโครมดังติดกันสี่ครั้ง ยักษ์ดินทรายสี่ตนตรงหน้าระเบิดออก ก่อนจะก้าวเดินก้าวที่ห้าแล้วใช้หนึ่งหมัดชกใส่ปราการ เพียงหมัดเดียวปราการพลันสั่นไหว เกิดรอยร้าวลุกลามไปหลายเส้นแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

หนึ่งหมัดนี้ใกล้กับภัยพิบัติตะวันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยต้นกำเนิดจิต ต่อให้เป็นสวี่ฮุ่ยก็ยังเปิดไม่ได้ แต่ซูหมิงทำได้!

ภายในปราการ ผู้ถือคันศรหน้าเปลี่ยนสีรุนแรง มีสีหน้าเหลือเชื่อ เขาเห็นกับตาว่าซูหมิงแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากขั้นพลังเจ้าปกครองโลกที่เขาดูแคลน เพียงเดินห้าก้าวก็บรรลุถึงภัยพิบัติจันทรา โดยเฉพาะหนึ่งหมัดที่แผ่กระจายกำลังรบใกล้เคียงกับภัยพิบัติตะวัน ยิ่งทำให้ใจเขาสั่นไหว

ชายชราร่างมายาข้างๆ ตอนนี้มีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ท่านเป็นใคร!” ชายชราร่างมายากล่าวเสียงเล็ก

“เจ้าเรียกข้าว่าเต้าคงก็ได้ ข้าเป็นบุรุษในนามของ….หญิงข้างกายเจ้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version