Skip to content

สู่วิถีอสุรา 942

ตอนที่ 942 เสียงถอนหายใจที่ช้าไปนับพันปี

ร่างแยกเอ้อชางหลับตาลง

ร่างแยกกลืนนภาก็หลับตาเช่นกัน จากนั้นก็ตามด้วยร่างแยกขั้นพลัง

หากวิญญาณเขามีดวงตา ตอนนี้ก็คงหลับตาลงยามที่เห็นใบหน้าเย็นชาของไป๋หลิงเช่นกัน

นั่นคือไป๋หลิง ไม่ใช่ไป๋ซู่ ซูหมิงมองไม่ผิด

ก็ประหนึ่งผู้ฝึกฌานไม่มีความฝัน ทว่าซูหมิงกลับฝัน ความสับสนยามตื่นจากฝัน ถามใครว่าเป็นความยึดมั่นของใคร…

บางทีนางอาจเป็นความยึดมั่นของเขา หรือบางทีเขาอาจเป็นความยึดมั่นของนาง

เมื่อตื่นจากฝัน ทุกอย่างกลับไม่ตื่นตามมา ในอากาศที่พังพินาศยังคงมีเพลงกลอนแห่งกาลเวลาดังแว่ว ในมหาสมุทรแห่งความทรงจำยังมีเรือโดดเดี่ยวลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้าสู่เส้นทางแห่งทะเลสวรรค์

นางเป็นใคร คำถามนี้ลอยอยู่ในใจซูหมิงไม่นานนักก็ได้คำตอบ บนแผ่นดิน เผ่าหมานในตอนนั้น ในภาพฉากหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งระดับภัยพิบัติจันทราสามคนในวิญญาณเขามอบให้ดู เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นางคือไป๋หลิง คือไป๋ซู่ และก็เป็น…สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักหงส์ที่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม

ทั้งยังเป็นศิษย์พี่หญิงของสวี่ฮุ่ยด้วย

‘ที่แท้ คำตอบก็เป็นเช่นนี้…’

‘ทว่าข้าไม่ใช่ข้าในตอนนั้นแล้ว กาลเวลาพันปีทำให้ข้าเข้าใจมากขึ้น’ ซูหมิงส่ายศีรษะ เขาค้นพบอย่างสงบนิ่งว่าตนไม่ได้ปวดใจ ไม่ได้สับสนประหนึ่งหัวใจถูกความว่างเปล่ากลืนกิน

คล้ายกับว่าในก้นบึ้งหัวใจเขาเตรียมรับคำตอบนี้เอาไว้นานแล้ว ต่อให้ตอนนี้รู้ความจริง แต่เขาผู้เคยชินกับความโดดเดี่ยวเหมือนยิ่งผ่านประสบการณ์มากขึ้น โลกนี้ก็จะไม่มีเรื่องใดทำให้เขาเกิดความรู้สึกหัวใจถูกฉีกทึ้งอีก

ถึงแม้ว่าหญิงสาวที่มีความงามแบบดื้อรั้นบนภูเขาทมิฬตอนแรกสุดจะปลูกความคิดหนึ่งลงในใจเขา ความคิดนี้ฝังลึกในตัวเขามาพันปี หลังจากเจอไป๋ซู่บนยอดเขาลำดับเก้าแล้ว ความคิดนี้ก็ฝังลึกยิ่งกว่าเดิม…

คล้ายกับว่าทุกช่วงเวลาจะมีพลังงานลึกลับบางอย่างเหนี่ยวนำตัวเขาให้คิดย้อนไป ให้คิดถึงเส้นผมขาวกลางลมหิมะ นึกถึงคำสัญญากลางหิมะ

‘ไป๋หลิงในยามเยาว์วัย ไป๋ซู่หลังเติบใหญ่ รวมถึง….สตรีศักดิ์สิทธิ์สำนักหงส์ที่ผ่านโลกมาโชกโชนในตอนนี้ ความคิดยึดมั่นฝังลึกค่อยๆ เชื่อมเป็นวัฏจักรทีละก้าว สร้างขึ้นเป็นตาข่ายพันปี

ไม่รู้ว่าในตัวข้ามีเรื่องใดอยู่กันแน่ ถึงทำให้ตี้เทียนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์สำนักหงส์ยึดมั่นถึงเพียงนี้’ ซูหมิงยิ้ม

หากไม่มีเนตรปีศาจอยู่ บางทีซูหมิงอาจจะยังหลอกตัวเองต่อไป ไม่ยอมตรึกตรองการลวงหลอกพันปีที่ถักทอขึ้นต่อ เขาอยากเก็บความสวยงามเอาไว้ในใจ ไม่อยากให้ทุกอย่างกลายเป็นความโหดร้ายอย่างโจ่งแจ้ง

เขาไม่ยอม เขาไม่ยินยอม…

เพียงแต่ว่าตื่นจากฝันแล้ว ก็ราวกับเดินออกมาจากโลกมนุษย์

ในโลกมนุษย์จะทำให้คนจดจำกัน คิดถึงกัน ไม่ลืมเลือนกัน นึกถึงกัน และรู้จักกัน…แต่ไม่ได้เจอหน้ากัน

หลังเดินออกมาแล้วจะไม่จดจำ ไม่คิดถึง ไม่อาวรณ์ ไม่รู้จัก มีแต่ลืมกัน มีแต่พบเจอกันหลังจากกลายเป็นคนแปลกหน้า

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงมองการพบหน้าและจากลาด้วยความสุขเศร้าอย่างเฉยชา จงอมยิ้มเผชิญหน้ากับผลสุดท้ายที่ไร้คำบรรยาย จงตื่นขึ้นทั้งรอยยิ้ม พร้อมทั้งลดความยึดมั่นลงหลายส่วน เพิ่มความสง่างามเข้าไปเล็กน้อย

สักวันหนึ่งเขาจะทำตามสัญญา แต่ก็แค่ทำตามเพื่อเติมเต็มชีวิตคนให้สมบูรณ์เท่านั้น ไม่ใช่เพราะใครคนหนึ่ง

ซูหมิงยืนรับแสงตะวันอยู่บนหินผา เส้นผมยาวพลิ้วขึ้นลงกลางสายลม เพียงแต่สายลมพัดได้เพียงเส้นผม พัดได้เพียงชายเสื้อ แต่ไม่อาจพัดจิตใจเขา

เหมือนกับว่าเส้นผมที่ปลิวไสวนั้นคือความทรงจำของเขา มันค่อยๆ ถูกพัดกลางสายลม ทว่าสิ่งที่สายลมไม่อาจพัดพาไปคือละอองจากผนึกน้ำแข็งกลางท้องฟ้านั้น

ดังนั้น หัวใจดวงหนึ่งจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นผนึกน้ำแข็ง ห่อหุ้มตัวเองไว้ทีละชั้น

ไม่มีการเฝ้ารอความงดงามอะไรอีก สีหน้าก็พลอยเย็นชาดุจประกายหนาวเหน็บตามผนึกน้ำแข็งในใจ มีเพียงก้นบึ้งหัวใจที่คนนอกมองไม่เห็นเท่านั้น กลางผนึกน้ำแข็งนี้ ภายในพื้นที่ที่แสงตะวันส่องไม่ถึงและชื้นเสียจนไม่อาจแห้ง มีใบไม้แดงที่ร่วงลงทีละใบกระจายอยู่ทั่ว

สายใยความรัก ถูกตัดขาดไป

ความทึ่มทื่อในรักแรกเหมือนกับดอกไม้ตูมที่ยังไม่เบ่งบาน หลังจากช้าไปพันปี มันก็ยังคงเลือกจะโรยรา

ซูหมิงเผยยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่มีความขมขื่น เพียงยิ้มเฉยชา แฝงด้วยความแก่ชราและเสียงถอนหายใจเงียบๆ

เขาพลันเข้าใจแล้ว เสียงถอนหายใจในสายลมหิมะที่ตนรับรู้ในปีนั้นไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นของเขาเอง และความจริงแล้วก็ยังไม่ถูกต้อง คนที่ถอนหายใจคือเขา แต่ไม่ใช่เขาในปีนั้น แต่เป็น…ตอนนี้

‘ที่แท้ แม้แต่เสียงถอนหายใจก็ยังช้าไปนับพันปี’ ซูหมิงยิ้มไปยิ้มมาก็เริ่มหัวเราะเสียงดังทีละน้อย เสียงหัวเราะดังก้องฟ้าดิน ทำให้ในยามรุ่งเช้าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเขา

เสียงหัวเราะทำให้ชาวเผ่าลำดับเก้ามึนงง พวกเขาพากันมองไป ฮุ่ยในเรือนพักชำเลืองมองเช่นกัน

“น้องห้ามีสุราหรือไม่!” เสียงซูหมิงแว่วผ่านเสียงหัวเราะนั้นไป เข้าถึงหูตี้จิ่วโม่ซาตรงตีนเขา เขาอึ้งงันก่อน เพราะเพิ่งเคยได้ยินซูหมิงใช้คำว่าน้องห้าเป็นครั้งแรก

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหมายถึงอะไร ตี้จิ่วโม่ซาตัวสั่น มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา เขารอวันนี้มานานมากแล้ว

“มี!” เขากล่าวเสียงดังแล้วขยับวูบไหวหายเข้าไปในภูเขา ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งเป็นสายรุ้งยาว มายืนอยู่ข้างซูหมิงในพริบตา จากนั้นก็ยกมือขวาสะบัด พลันมีสุราหลายไหเผยอยู่ข้างซูหมิง

ซูหมิงหยิบขึ้นมาหนึ่งไหแล้วตบดินเหนียวที่อุดเอาไว้ออก ไม่ต้องใช้ชามใส่ เพียงวางตรงริมฝีปากและดื่มไปอึกใหญ่

น้ำสุรานี้บ่มโดยชาวเผ่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ต่างกับที่ผู้ฝึกฌานดื่มไม่มาก ระดับความเผ็ดร้อนเหมือนกับมีไอร้อนระเบิดในร่างกายและทะลวงขึ้นถึงสมอง

ทว่าไม่ได้ทำให้คนหมดสติ จิตใจกลับจะคึกคักขึ้นจากแรงปะทะนี้

ตี้จิ่วโม่ซาก็หยิบขึ้นมาหนึ่งไหเช่นกัน แล้วดื่มเป็นเพื่อนซูหมิง

“หากชีวิตงดงามเหมือนเช่นแรกเริ่ม…” ซูหมิงวางไหสุราลง เอาหลังพิงหินผา เส้นผมยาวสยายออก สีหน้าปล่อยวาง หลังยิ้มพลางกล่าวประโยคนี้แล้วก็ดื่มไปอีกอึกใหญ่

“ศิษย์พี่สี่ ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร?” ตี้จิ่วโม่ซางุนงน เขาลองแยกแยะประโยคนี้อย่างละเอียดแล้ว ยิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าในประโยคแฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่อยู่มานาน หนักหน่วงจนรู้สึกอึดอัด

“เจ้าไม่เข้าใจ” คนที่ตอบไม่ใช่ซูหมิง แต่เป็นสวี่ฮุ่ยผู้มีใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงที่เดินออกมาจากเรือนพัก นางเดินออกมาเบาๆ แสงตะวันส่องบนใบหน้า สะท้อนเป็นความงดงามดั่งสายรุ้ง

ในความงามนั้นมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ มาพร้อมกาลเวลาและความอ่อนโยน

“หากชีวิตคนงดงามเหมือนเช่นแรกเริ่ม ข้าเคยได้ยินคนหลายคนพูดประโยคนี้ แต่ประโยคนี้ที่ทุกคนพูดไม่ได้ลึกซึ้งอย่างประโยคที่ข้าได้ยินเมื่อครู่” สวี่ฮุ่ยมองซูหมิงดื่มสุราภายใต้แสงตะวัน สุราไหลผ่านมุมปาก ทำให้คนแยกไม่ออกว่าเขากำลังดื่มสุราหรือคิดว่าสุราเป็นความเจ็บปวดกันแน่

“ตอนที่เจ้าผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ผ่านเหตุไม่คาดคิดของใจคน ผ่านทุกอย่างที่เจ้าไม่ยินยอมแล้ว แต่ว่าหลังจากเดินผ่านมา เจ้าจะถอนหายใจอยู่ในช่วงเวลาที่แก่ชราขึ้น

หากทุกคนในชีวิตและทุกเรื่องสามารถย้อนกลับไปยังช่วงเวลาแรกสุด เช่นนั้นมันคงจะดีน่าดู เพราะความงดงามในช่วงแรกสุด คือความทรงจำที่เมื่อถูกกาลเวลาชะล้างแล้วจะหาไม่เจออีกต่อไป หากชีวิตงดงามเหมือนเช่นแรกเริ่ม…” สวี่ฮุ่ยพึมพำเบาๆ แล้วส่ายศีรษะ

“ในเผ่าเจ้ายังมีงานอีกมากที่ต้องให้เจ้าไปทำ เจ้าไปเถอะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน…ศิษย์พี่สี่ของเจ้าเอง” สวี่ฮุ่ยเดินมานั่งลงข้างซูหมิง นางในชุดผ้าเนื้อหยาบรับไหสุราที่หมดแล้วในมือซูหมิงมา จากนั้นก็หยิบขึ้นมาอีกไห ลบดินเหนียวที่อุดปากออก ก่อนจะวางลงในมือเขา

ตี้จิ่วโม่ซาเงียบไป เขาประสานมือคารวะซูหมิงแล้วหมุนตัวจากไปเงียบๆ ระหว่างนั้นเขามีสีหน้าหวนคะนึงคิด ในความคิดมีประโยคนั้นของซูหมิงลอยขึ้นมา

“ถ้าเจ้าอยากดื่มสุรา ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง” สวี่ฮุ่ยหยิบไหสุราขึ้นมาอีกหนึ่งไห ในลูกตาสองข้างมีแววตาที่ทำให้คนจิตใจสงบลงได้ มองดวงตาซูหมิงยามที่หันหน้ามา

“ข้าดื่มไปหนึ่งไหแล้ว” ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ย แววตาดื้อรั้น

สวี่ฮุ่ยยิ้ม รอยยิ้มนางช่างงามนัก แฝงด้วยความสง่างาม นางมองซูหมิงแล้วยกไหสุราขึ้น เมื่อดื่มไปอึกแรกแล้วก็รีบวางลงพลางขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าความเผ็ดร้อนของสุราเหนือความคาดหมายของนาง ใบหน้าขาวซีดตอนนี้มีเลือดฝาด ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ก็กลับมาปกติ แต่ก็หยิบไหสุราขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นางดื่มจนหมดในครั้งเดียว

เมื่อดื่มหมดแล้วนางก็วางไหสุราลงข้างๆ แล้วเชิดใบหน้างามมองซูหมิง ดวงตาตอนนี้มีน้ำตาคลอเล็กน้อย

“ข้าตามทันแล้ว”

ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็หยิบไหสุรามาวางตรงริมฝีปาก สวี่ฮุ่ยข้างๆ สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหยิบไหสุราที่บรรจุสุราไว้เต็มขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนจะแข่งกับซูหมิง นางยกขึ้นดื่มไปอึกใหญ่

นางดื่มเร็วมาก ไม่นานก็ดื่มจนหมด ตอนที่มองซูหมิงด้วยสีหน้าลำพองใจนั้น สีหน้ากลับแข็งค้าง นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจและโกรธน้อยๆ

ซูหมิงวางไหสุราลง เขาดื่มไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

“วันนี้พอแล้ว วันหลังค่อยดื่มกันใหม่” ซูหมิงพูดเบาๆ

“ไม่ได้ ข้าดื่มไปสองไหแล้ว!” สวี่ฮุ่ยยืนขึ้นด้วยความโกรธ

“ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าดื่ม” ซูหมิงมองนางแล้วกล่าวเรียบนิ่ง

“เจ้าจะไม่ดื่มใช่หรือไม่” สวี่ฮุ่ยถลึงตามองซูหมิงพลางพยักหน้า จากนั้นหยิบขึ้นมาอีกไห แล้วดื่มจนหมดอีกครั้งต่อหน้าซูหมิง

“…ข้าไม่ดื่มสุรากับคนที่มีไฝเยอะ” ซูหมิงหนังตากระตุก เขาหันหน้าวางไหสุราลง สุรานี้เผ็ดร้อนเกินไป ประกอบกับการมาของสวี่ฮุ่ย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจเขาถึงสงบนิ่งยิ่งนัก จึงไม่อยากสุราอีก

“ซูหมิง!” นัยน์ตาสวี่ฮุ่ยโกรธเกรี้ยว พลันทุ่มไหสุราลงบนพื้น ไหสุราแตกออกดังเพล้ง ตอนนี้นางโคจรพลังไม่ได้ กลายเป็นสตรีคนหนึ่งที่ดื่มสุราสามไหของเผ่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ความจริงคือ…นางเมาเสียแล้ว

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ย

“ถึงข้าจะมึนเมา แต่หูข้าก็ได้ยิน เจ้าจะเป็นซูหมิงก็ดี จะเป็นเต้าคงก็ดี ข้าสวี่ฮุ่ยไม่สน ข้าสนแค่ว่าเจ้าร้องอยากดื่มสุรา ทว่าแม้แต่ข้าที่เป็นสตรีเจ้ายังดื่มเอาชนะไม่ได้เลย เจ้าต้องดื่มให้ข้า!” สวี่ฮุ่ยมีสีหน้าดูถูก นางหยิบไหสุราขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าซูหมิง

“เจ้าดื่มมากไปแล้ว….” ซูหมิงคลึงตรงระหว่างคิ้ว

“เจ้าจะดื่มหรือไม่ดื่ม!” นางถลึงตามอง ตัวนางโซเซแล้ว ในดวงตาเริ่มพร่ามัว แต่กลับฝืนตัวไม่ให้ล้มลง

“วันหลังค่อยดื่มเถอะ” ซูหมิงถอนหายใจ

“ข้าดื่มไปสามไหแล้ว!” สวี่ฮุ่ยกล่าวเสียงดัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version