Skip to content

สู่วิถีอสุรา 947

ตอนที่ 947 พวกเขา…

โลกแท้จริงดาราสัจธรรม

เกิดสงครามสั่นสะเทือนไปทั้งโลกแท้จริง และทำให้โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกกับโลกหยินศักดิ์สิทธิ์สนใจ เพียงแค่เริ่มต้นก็ดุเดือดอย่างยิ่งแล้ว

นี่คือมหาสงครามที่แทบทุกเผ่าพันธุ์ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมร่วมมือกันต่อต้านสำนักดาราสัจธรรม!

กล่าวได้ว่าสำนักดาราสัจธรรมตกอยู่ในวงล้อมศัตรู ต้องเผชิญหน้ากับการหักหลังที่ไม่รู้ว่าเผ่าเซียนไปรวมกำลังพลมาได้อย่างไร ตอนที่เพิ่งเริ่มต้น พวกเขาก็ตั้งตัวไม่ทันกันอยู่เล็กน้อย

แต่จากความแกร่งของสำนักดาราสัจธรรม สามารถควบคุมหนึ่งโลกแท้จริงได้ย่อมไม่ธรรมดา หลังจากต้านการโจมตีระลอกแรกจากกลุ่มที่เรียกว่าพันธมิตร เผ่าเซียนแล้ว พวกเขาก็โต้กลับอย่างดุเดือด

ทั้งโลกแท้จริง บนสนามรบทุกแห่ง มีเสียงคำรามดังสนั่นฟ้า เสียงระเบิดในช่วงเวลานี้คือเสียงที่ดังที่สุดในโลกดาราสัจธรรม มีดวงดาวระเบิด เกิดการล้มตายจำนวนมาก ทำให้กลิ่นคาวเลือดเหมือนจะอบอวลอยู่ทุกมุมในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

ภายในพื้นที่เผ่าเซียน มีอยู่สำนักหนึ่งนามว่าสำนักร้อยบุปผา คนในสำนักนี้ล้วนหล่อเหลาและงดงาม เป็นสำนักเล็กในโลกของเผ่าเซียน

เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน มีบุรุษคนหนึ่งมาที่สำนักนี้ เป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนดุจดั่งดอกไม้ เขามักจะชอบให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้า มักจะชอบปลูกพืชดอกต่างๆ มักจะชอบ…มอบความอบอุ่นให้เหล่าศิษย์หญิงในสำนัก ประหนึ่งหยอกเย้าเกี้ยวพา

เจ็ดร้อยปีก่อนเขาเป็นศิษย์สายในของสำนักนี้ เจ็ดร้อยปีต่อมาเขากลายเป็นศิษย์หลัก แต่ก็ยังคงมีนิสัยแบบเดิม ชวนให้คนทั้งชอบ ทั้งริษยาอย่างจนปัญญา

แน่นอนว่าคนที่ริษยาส่วนใหญ่เป็นบุรุษ

นามของเขาคือ ฮวาเหยียนเยวี่ย

บุรุษที่ใช้คำว่าฮวา (ดอกไม้) มาเป็นชื่อ

“เยวี่ยเอ๋อร์…” ในสำนักร้อยบุปผา ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง มีเสียงจนใจของสตรีดังมาจากที่ไกลๆ

“โปรดเรียกข้าว่าศิษย์พี่รอง…” ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวผมยาวคนหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงตะวัน เขายิ้มบางพลางมองหญิงผู้ชดช้อยและเป็นสาวเต็มวัยตรงหน้า

“ข้าคืออาจารย์ของเจ้านะ…” หญิงคนนั้นถอนหายใจ

“เจ็ดร้อยปีก่อนเจ้าคือศิษย์น้องหญิงของข้า” ชายหนุ่มส่ายศีรษะแล้วเดินมาอยู่ข้างหญิงนางนั้น ก่อนช่วยรวบเส้นผมยาวที่ถูกลมพัดให้นางอย่างเบามือ

“เป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้ พันธมิตรเผ่าเซียนเปิดฉากสงครามกับสำนักดาราสัจธรรมแล้ว…ข้ารวมสำนักขนาดเล็กจำนวนมากตามความต้องการของเจ้าเรียบร้อย…ถึง เจ็ดร้อยปีจะไม่นาน แต่ก็มากพอจะมีสามสิบเก้าสำนักเป็นบริวารของสำนักร้อยบุปผาเรา” นางก้มหน้าลง ไม่ได้ขัดการกระทำของชายหนุ่ม เพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้น…เรือที่จะเดินทางไปยังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต มีการยืนยันชื่อของข้าแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มเป่าลมข้างหูนางแล้วเอ่ยเสียงเบา

“ยังยืนยันไม่ได้ชั่วคราว…” หญิงสาวถอยไปหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ

“ก็ดี ทว่าคนสำนักดาราสัจธรรมที่รักษาการณ์อยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตก็น่าจะถูกเรียกกลับมาแล้วกระมัง” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ

“เหตุใดเจ้าถึงต้องไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตให้ได้ ที่นั่นเป็นนรก…” หญิงสาวเงยหน้าถามด้วยความไม่เข้าใจ

ชายหนุ่มส่ายศีรษะ สายตามองฟ้า ไม่ได้กล่าวอะไร

ส่วนลึกในใจเขามีคำพูดประโยคหนึ่งที่เอ่ยกับหญิงตรงหน้าไม่ได้อยู่

‘เพราะศิษย์น้องเล็กข้าอยู่ที่นั่น…’

……….

โลกแท้จริงดารสัจธรรม ภายในเขตหนึ่งที่ไม่ใช่ของเผ่าเซียน มีกลุ่มชนเผ่าเทียนอู๋[1]อยู่กลุ่มหนึ่ง ในเขตดาราของกลุ่มเผ่าพันธุ์นี้มีสำนักใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง หากมองจากข้างนอกสำนักจะเห็นว่ารวมขึ้นจากกระบี่เล่มใหญ่นับไม่ถ้วน ลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ล้อมรอบดาวแท้จริงดวงหนึ่ง

บนดาวดวงนี้มีสิ่งก่อสร้างที่เด่นชัดอย่างยิ่งอยู่แห่งหนึ่ง มันคือกระบี่ใหญ่ขนาดแสนกว่าจั้งที่โผล่ออกมาข้างนอกอย่างชัดเจน ทะลวงผ่านดาวดวงนี้ ตรงปลายกระบี่ก็มีขนาดแสนกว่าจั้ง หากมองไกลๆ ดาวกับกระบี่เล่มนี้จะเป็นที่จับตามองของทุกคน

บนดาวแท้จริงดวงนี้มีผู้ฝึกฌานสวมเสื้อคลุมดำนั่งขัดสมาธิล้อมรอบกระบี่อยู่สามร้อยคน คนเหล่านี้ล้วนมีผ้าคลุมศีรษะ พวกเขาแน่นิ่ง แต่กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้นสั่งสมในตัว ราวกับว่าหากพวกเขายืนขึ้นจะสามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทำให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งใหญ่

ขั้นพลังของทุกคนล้วนบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนกลาง กระทั่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในตัวพวกเขามีผนึกอยู่ หากปลดผนึกออก…ก็ไม่รู้ว่าจะระเบิดพลังแบบใดออกมา

ตึง…ตึง…ตึง…

เสียงกลองสงครามพลันดังกึกก้องรอบๆ เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ผู้ฝึกฌานสามร้อยคนที่นี่ต่างพากันเงยหน้าช้าๆ

พวกเขาล้วนจับจ้องปลายกระบี่ยักษ์ที่พวกเขาโอบล้อมอยู่ แม้มองไปจะเลือนราง ทว่ามีภาพหนึ่งในความคิด

ในภาพนั้นอยู่ท่ามกลางเมฆสีเรืองรอง คลับคล้ายว่ามีร่างคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนปลายกระบี่กลางฟ้ากระจ่างดาว ตรงหน้าร่างนั้นมีกลองใหญ่อันหนึ่ง เสียงกลองเมื่อครู่ก็มาจากคนผู้นี้ใช้มือขวาตีกลอง

ร่างนี้…ไม่มีหัว!

เขาเปลือยกายท่อนบน ตรงหัวทรวงอกเป็นดวงตา สะดือเป็นปาก มือซ้ายถือขวานสงครามขนาดหลายจั้ง มือขวากำหมัดกำลังตีกลอง

คนสำนักนี้ขนานนามเขาว่าสิงกาน!

เขาเข้าสำนักนี้เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ในเวลาเจ็ดร้อยปี พลังเขาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนตกตะลึง และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือความกระหายในการต่อสู้จากตัวเขา

ความกระหายการต่อสู้อันแรงกล้าทำให้เขามีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นในตัว เพียงมองแวบเดียวก็รู้สึกเหมือนอยู่ในปรโลก นี่คือกายแห่งมารสวรรค์ที่ผู้ฝึกฌานทั้งหมดในสำนักนี้ยอมรับ

เสียงกลองดุจฟ้าผ่า ตอนที่ดังสนั่นฟ้า สิงกานผู้ไม่มีหัวยืนขึ้น ชั่วขณะที่ร่างกาย สูงใหญ่ยืน ฟ้าดินพลันถอดสี เกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน

สายฟ้าลากยาวลงมาจากฟ้า แสงสายฟ้าทุกสายส่องสะท้อนแผ่นดิน ตัดสลับกันเป็นใบหน้ายักษ์ด้านบน

“เทียนอู๋!” เสียงตะโกนต่ำดังมาจากชายร่างกำยำไร้หัว เสียงดังก้องออกไป ดังสนั่นไปรอบๆ จนกลบเสียงฟ้าผ่า

“เจ้าเคยสัญญากับข้าว่า ขอเพียงข้าสิงกานเข้าร่วมกลุ่มเทียนอู๋ของเจ้า เจ้าจะใช้วิชาอภินิหารส่งข้าไปยังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!” ตอนที่ชายร่างกำยำตะโกนเสียงกังวาน สามร้อยคนใต้กระบี่ต่างยืนขึ้นพร้อมกัน พวกเขาระเบิดกลิ่นอายชั่วร้ายสุดจะบรรยายออกมา ความรุนแรงของกลิ่นอายนี้ทำให้กลิ่นอายพลังพวกเขาสามร้อยคนรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นแรงปะทะรุนแรงรอบๆ กระบี่ยักษ์ แรงปะทะนี้กระจายออกเป็นวงกว้าง ลุกลามไปทั้งดาวแท้จริง

เมื่อมองไป บนดาวแท้จริงดวงนี้จะมีหมอกหมุนวนเป็นเกลียว หมอกที่ว่าก็รวมขึ้นจากกลิ่นอายชั่วร้าย เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นเมื่อดวงชะตาฟ้าดินของที่นี่ถูกขับไล่ออกไป มิหนำซ้ำในหมอกยังมีวิญญาณร้ายเหลือคณนานับ มีทั้งชายหญิง สัตว์ร้ายและผู้ฝึกฌาน พวกมันต่างร้องคำรามเสียงแหลม

“เจ็ดร้อยปีมานี้ ข้าสังหารสิ่งมีชีวิตไปพันล้านตัวเพื่อกลุ่มเทียนอู๋ของเจ้า…” ชายร่างกำยำบนปลายกระบี่กล่าวขึ้น ทันใดนั้นวิญญาณร้ายมายาที่วนเวียนทั้งดาวต่างร้องเสียงแหลม พวกเขา…ก็คือวิญญาณคนพันล้านคนที่ถูกชายร่างกำยำสังหาร

“เจ้า…จะส่งข้าไปแดนต้นกำเนิดจิตเมื่อไร!” เสียงตะโกนดังลั่นแว่วมาจากตัวชายร่างกำยำ

ช่วงที่เขาตะโกนไป ร่างคนสามร้อยคนที่ยืนบนพื้นล้วนเงยหน้าขึ้น และส่งเสียงตะโกนสนั่นฟ้าออกไปพร้อมกัน

“จะส่งข้าไปแดนต้นกำเนิดจิตเมื่อไร!” นี่คือเสียงตะโกนด้วยความโกรธของคนสามร้อยคน ระหว่างนั้นเอง ผ้าคลุมศีรษะของพวกเขาก็ถูกสายลมพัดเปิดออก เผยเป็น…ศีรษะที่ไม่มีเส้นผม และยังมีสัญลักษณ์ที่มีกลิ่นอายพลังเผ่าเชมันอยู่เต็มไปหมด สามร้อยคนนี้ก็คือ…วิญญาณแห่งเก้าอรุณ!

“จบสงครามกับสำนักดาราสัจธรรมก่อน ข้าจะส่งเจ้าไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตด้วยตัวเอง ข้าจะช่วยเจ้าหาศิษย์น้องของเจ้า หากข้าผิดคำพูด ขอให้กลุ่มเทียนอู๋ต้องรับชะตากรรมสูญสิ้นไป!” ใบหน้าที่รวมขึ้นจากสายฟ้าด้านบนเงียบไปชั่วขณะ สายตาที่มองชายร่างกำยำมีความชื่นชมและเคารพอย่างเด่นชัดอยู่เสี้ยวหนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยเสียงหนักแน่น

“ดี…” ชายร่างกำยำไร้หัวบนปลายกระบี่กล่าวอย่างไม่สบายใจ

“นักรบแห่งเก้าอรุณ พวกเรา…สู้!”

“สู้!” สามร้อยคนบนพื้นดินขานรับเขา ส่งเสียงดังสนั่นขึ้นฟ้า ก่อเป็นคลื่นเสียงยักษ์สั่นสะเทือนจนสายฟ้าด้านบนวูบไหว

………

“ฆ่า!”

“เจ้าสุนัขสารเลว กล้าลอบโจมตีข้ารึ ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!” บนสนามรบของสำนักดาราสัจธรรมกับพันธมิตรเผ่าเซียน ท่ามกลางเสียงร้องลั่นด้วยความโกรธ ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมดในพื้นที่หนึ่งล้วนมองชายร่างกำยำคนหนึ่งที่พวกเขาล้อมเอาไว้อย่างหวาดกลัว

ชายร่างกำยำคนนี้สูงเท่าสามคนกว่า ทั่วร่างหยาบกร้านผิดปกติ มีพละกำลัง ไร้ขีดจำกัด สวมชุดหนังพยัคฆ์ หากมองไกลๆ จะเหมือนกับพยัคฆ์ตัวหนึ่ง ซ้ำยังเหมือนปีศาจเสือแปลงกายมา

เขาในยามนี้กำลังกัดผู้ฝึกฌานหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเขาจับไว้ด้วยมือขวา ระหว่างที่คนผู้นี้กำลังร้องโหยหวน เขาฉีกเนื้อออกมาหนึ่งชั้น ก่อนเงยหน้าหัวเราะเสียงดังทั้งที่โลหิตยังเต็มปาก

“ไม่ต้องเข้าฝัน ข้าก็สังหารพวกเจ้าทิ้งได้ทั้งหมด ยังกล้าลอบโจมตีข้าอีกรึ พวกเจ้าบีบข้าแล้วจริงๆ ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าฝัน!” ชายร่างกำยำควงผู้ฝึกฌานในมือ จากนั้นร้องตะโกนพร้อมกับพุ่งไปหาคนสำนักดาราสัจธรรม

หากเขาเป็นเพียงคนมุทะลุก็ไม่เท่าไร แต่เมื่อเขาวิ่งทะยานไป ใต้เท้ากลับปรากฏวงแหวนอาคมขึ้นไม่หยุด วงแหวนอาคมเหล่านี้ซ้อนทับกัน ทำให้ใช้งานพลังรอบตัวได้อย่างต่อเนื่อง หนำซ้ำยังมีม่านแสงคุ้มกันอยู่ คนอื่นจึงยากจะต้านทานไหว

“สมควรตาย เป็นมันอีกแล้ว เจ้าคนนี้เป็นใครกันแน่ ดูเป็นคนโง่ แต่ข้าไม่เคยเห็นคนโง่คนใดมีความสามารถในด้านวงแหวนอาคมขนาดนี้มาก่อน!”

“วงแหวนอาคมของเขา…ถึงระดับที่กลายเป็นรูปธรรมแล้ว จะล้อมสังหารอย่างไรดี!”

ครู่ต่อมา ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมในพื้นที่เล็กๆ นี้ต่างพากันถอยไปอย่างรวดเร็วด้วยความอัดอั้นตันใจ การถอยของพวกเขาทำให้คนจากพันธมิตรเผ่าเซียนหัวเราะเสียงดัง

“ครั้งนี้สหายหู่สังหารไปเท่าไร?”

“ใช่แล้ว ทุกครั้งสหายหู่จะพุ่งออกไปล่อคนเป็นกลุ่มมา ครั้งนี้ข้าว่าน่าจะได้มาสิบสองคนแล้ว” พันธมิตรเผ่าเซียนรอบๆ มีราวหลายสิบคน พวกเขาต่างยิ้มมองชายร่างกำยำคนนั้น

ชายร่างกำยำสวมเสื้อหนังพยัคฆ์มีสีหน้าลำพองใจ เขาหยิบไหสุราออกมาจากอกเสื้อหนึ่งไห เมื่อดื่มไปอึกใหญ่แล้วก็ตะโกนเสียงดัง

“ข้าสังหารไปสิบสี่คนต่างหาก!” เขายกสุราดื่มไปอีกอึก ตอนที่วางไหสุราลง ขณะกำลังจะกล่าวอย่างลำพองใจต่อ เขากลับตัวสั่นสะท้าน สายตาพลันมองแผ่นหลังหนึ่งที่อยู่ไกลๆ

นั่นคือแผ่นหลังคนสวมอาภรณ์ยาวสีดำคนหนึ่ง มีเส้นผมยาว มือถือทวนยาว เขาเป็นผู้ฝึกฌานรูปร่างไม่สูง แต่องอาจผึ่งผายมาก ชายร่างกำยำเดินหน้าหนึ่งก้าว เอามือจับบ่าผู้ฝึกฌานคนนี้เอาไว้ ช่วงที่ผู้ฝึกฌานหันหน้ามาก็มีสีหน้าตื่นกลัว

“ทะ….ท่านหู่ เกิดอะไรขึ้น?”

“ไสหัวไป จากนี้เจ้าอย่าสวมเสื้อคลุมดำให้ข้าเห็นอีก อย่าไว้ผมยาวแบบนี้อีก อย่าใช้ทวนอีก!” ชายร่างกำยำตะโกนเสียงดังพลางผลักผู้ฝึกฌานคนนี้ออกไป จากนั้นก็ดื่มสุราอีกครั้ง เพียงแต่ไม่มีใครเห็นว่าตอนเขาเงยหน้าดื่มสุรา สิ่งที่ไหลเข้าปากไม่ได้มีเพียงสุรา แต่มีน้ำตาอยู่ด้วย

‘ศิษย์น้องเล็ก…เจ้าอยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตสบายดีหรือไม่…หู่จื่อคิดถึงเจ้า…’

………….….

[1] เทียนอู๋ คือเทพวารีในตำนานจีนโบราณ เล่าลือว่ามีแปดหน้า มีตัวเป็นเสือ มีแปดหาง สามารถพ่นหมอกเมฆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version