Skip to content

สู่วิถีอสุรา 946

ตอนที่ 946 ระหว่างทาง

ใครบ้างที่เคยมองภาพมายาไม่ออก เสมือนร่างเงาที่บินไกลออกไปในยามนี้ซึ่งเลือนรางในสายตาคนอื่น

ใครบ้างที่มองความงามเพียงชั่วครู่หนึ่งทะลุปรุโปร่ง เหมือนกับซูหมิงที่ไม่หันกลับไปมอง แต่กำลังมองเมฆหมอกไหลผ่านข้างกาย ยิ้มพลางก้มหน้าลงดีดนิ้ว

บางทีฝุ่นละอองที่ลอยตลบขึ้นระหว่างดีดนิ้วอาจมีความแวววาวที่คนอื่นมองไม่เห็น ทว่าซูหมิงรู้ดีว่าควันและหมอกนี้จะอยู่เพียงสั้นๆ เวลาพันปีในโลกนี้เป็นเพียงการหลับตาชั่วเสี้ยวขณะ

การไม่คิดถึงอีก ไม่หวนนึกถึงอีก ทำให้ความงามในอดีตคงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจชั่วนิรันดร์ ไม่ข้องเกี่ยวกับความเป็นจริง ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เก็บความงดงามไว้ให้กับตัวเอง และเก็บความยึดมั่นไว้ให้กับคนอื่น

สิ่งที่ตัดขาดคือความรักในใจ สิ่งที่ไม่ขาดคือความคิดแน่วแน่ของคนอื่นที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขาไกลๆ

‘เก็บความงดงามเอาไว้ ทว่า…ข้าซูหมิงไม่ใช่คนที่จะบงการคนอื่นตามอำเภอใจ…’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นเยียบ เหตุที่เขายึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดก็เป็นเพราะความคิดที่ฝังอยู่กลางชีวิต เขาต้อง…หาคนที่ปลูกมันให้พบด้วยตัวเอง

นี่คือนิสัยของซูหมิง เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เหมือนกับตอนนี้ที่เขามุ่งหน้าไปยัง วงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต การตามหาเบาะแสของเลี่ยซานซิวกลับกลายเป็นเรื่องรอง

เป้าหมายจริงๆ คือจะก่อความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

เขาต้องการให้สี่เผ่าใหญ่ที่เคยล่าสังหารอาจารย์ในตอนนั้นชดใช้อย่างสาสม

“ในชีวิตนี้เจ้าสังหารมามากเท่าไรแล้ว?” ขณะซูหมิงเดินทางอยู่ในฟ้ากระจ่างดาว ก็กล่าวขึ้นเรียบๆ โดยไม่หันไปมอง

“ก็พอใช้ได้” ขั้นพลังสวี่ฮุ่ยฟื้นกลับมามากกว่าครึ่งแล้ว แต่นางยังคงสวมชุดผ้าเนื้อหยาบอยู่เช่นเคย

“ในชีวิตนี้ข้าสังหารมาไม่มาก…” ซูหมิงพูดอย่างสงบ

สวี่ฮุ่ยหันไปมองซูหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ข้ามเรื่องที่นางไม่เห็นไปก่อน ลำพังเพียงตอนสัตว์คลื่นเสียง นางก็รู้สึกถึงกลิ่นอายชั่วร้ายจากซูหมิงอย่างชัดเจนแล้ว

หากแบบนี้ยังถือว่าไม่มาก สวี่ฮุ่ยพลันรู้สึกว่าคำตอบของตนเมื่อครู่ควรจะเป็นน้อยมากถึงจะถูก

“วงแหวนชั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ชาวเผ่าจากสี่เผ่าใหญ่ แต่ละเผ่ามีแสนกว่าคน ข้าจะไม่สังหารมาก เผ่าละ…สามหมื่นคนพอ” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ

“เป็นเผ่าใหญ่ในวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตได้ ในเผ่าจะต้องมีระดับผู้กุมชะตาเกิดดับอยู่แน่นอน” สวี่ฮุ่ยเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าวเสียงเบา

“หนึ่งเผ่าหนึ่งคน เรื่องนี้ข้ารู้” ซูหมิงกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดกลางฟ้ากระจ่างดาว สวี่ฮุ่ยตามอยู่ข้างกายเขา เมื่อได้ยินคำพูดซูหมิงแล้ว นางก็ยิ้มน้อยๆ และไม่ได้ถามต่อ

ในเมื่อซูหมิงรู้ว่ามีอันตรายแต่ก็ยังเลือกไป เช่นนั้นคงมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ส่งตัวเองไปตายเปล่าในทะเลดาราแน่

เวลาผ่านไปอย่างเนิบช้า จากรอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเข้าสู่วงแหวนชั้นใน หากเป็นผู้ฝึกฌานธรรมดาจะต้องใช้เวลานานมาก อีกทั้งระหว่างทางยังมีอันตรายนับไม่ถ้วน

ทว่าสำหรับซูหมิงกับสวี่ฮุ่ยแล้ว พวกเขาใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาทำให้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก หากเพียงแค่นี้ แม้จะเร็วขึ้นไม่น้อย แต่การจะไปถึงวงแหวนชั้นในก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปี

แต่มีแผนที่จากเผ่าลำดับเก้าอยู่ ในแผนที่มีสัญลักษณ์ของจุดเคลื่อนย้ายน้ำวนมายาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นแล้วจึงย่นระยะทางได้ ตามการคาดเดาของซูหมิง ราวๆ สิบปีก็จะถึงวงแหวนชั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

ระยะทางยาวไกล จากการคำนวณของซูหมิง ระยะทางจากรอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิตถึงวงแหวนชั้นในเท่ากับระยะทางไปถึงปากทางเข้าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ระยะทางแบบนี้เป็นหุบเขาที่คนธรรมดาเกิดใหม่เป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ยังข้ามไม่ได้

ดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางคนเดียว ข้างกายยังมีหญิงสาวคนหนึ่งไปเป็นเพื่อนด้วย ดีที่…ก่อนหน้าที่หญิงคนนี้จะออกจากเผ่าลำดับเก้า นางอาศัยจังหวะที่ซูหมิงไม่สังเกตเห็นนำสุราที่เผ่าลำดับเก้ากักตุนเอาไว้มาด้วยจำนวนมาก

ฉะนั้นระหว่างทางครั้งนี้ ซูหมิงที่ชินกับความเงียบจึงไม่ชินอีก การสนทนากันเป็นบางครั้งมักจะมาพร้อมกับกลิ่นอายพิเศษ

“คืนวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่” วันหนึ่งหลังผ่านไปหลายปี ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินผุพังที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง สายตามองสวี่ฮุ่ยที่กำลังดื่มสุราอยู่ข้างๆ นางในตอนนี้บุคลิกองอาจห้าวหาญ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกพูดไม่ออก

“เจ้าไม่รู้รึว่าเกิดอะไรขึ้น?” สวี่ฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ พลางมองซูหมิง

จากการใกล้ชิดกันหลายปี ถึงจะเป็นช่วงเวลาแสนสั้น ทว่าการได้อยู่ด้วยกันใน ฟ้ากระจ่างดาวเกือบพันคืนวันนี้ ทำให้พวกเขาสองคนเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย

“เหมือนกอดอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่มมาก” ซูหมิงมองสวี่ฮุ่ยแวบหนึ่ง พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

สวี่ฮุ่ยยิ้มเล็กน้อย แล้วดื่มสุราต่อพร้อมกับโยนให้ซูหมิงไปหนึ่งไห

“เจ้าอย่าดื่มสุราบ่อยนักได้หรือไม่ ดื่มจนเมาทุกครั้งเลย” ซูหมิงขมวดคิ้วแล้วหยิบไหสุราขึ้นมา

“ดื่มให้เมาต่างหากถึงจะดี เจ้าจะไปเองก็ได้นี่” สวี่ฮุ่ยหยีตาจนเป็นลักษณะ จันทร์เสี้ยว สายตาพร่าเลือนทีละน้อย ซูหมิงมองอยู่ตรงนั้นพลางถอนหายใจ เขารู้ว่านางเมาอีกแล้ว

ชั่วครู่ต่อมาเขาก็อุ้มสวี่ฮุ่ยที่หลับไปแล้วพากระโดดลอยขึ้นจากหินผุพัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอุ้มนางในสภาพเมามาย หลายปีมานี้เขาเหมือนจะชินกับแบบนี้แล้ว

ทุกครั้งที่นางดื่มสุราจะไม่โคจรขั้นพลังเพื่อสลายความเมา พอเมาแล้วนางจะหลับลึกมาก รอยยิ้มตรงมุมปากทำให้ทุกครั้งที่ซูหมิงเห็นจะเหมือนมองเห็นในใจหญิงสาวคนนี้ เห็นความเหนื่อยล้า เห็นความระวังตัวต่อทุกคนข้างกายนางในอดีต

เหมือนกับว่า…มีเพียงช่วงเวลานี้ที่ได้อยู่กับตนนางถึงจะหลับได้อย่างสบายใจ บางที…นางอาจจะชอบความรู้สึกตอนที่ถูกซูหมิงอุ้มหลังดื่มจนเมาแล้วก็ได้

ไม่รู้ว่านางรู้ตัวหรือไม่ นางเอามือกอดคอซูหมิงเอาไว้ เอาใบหน้างามซุกในอ้อมอกเขา เส้นผมยาวปลิวไสว ตัดสลับกับเส้นผมซูหมิง มีความรู้สึกที่แยกกันไม่ออก

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่นางหวังไว้

ซูหมิงอุ้มสวี่ฮุ่ยเดินทางอยู่ในฟ้าเงียบๆ หนึ่งก้านธูปต่อมาเขาพลันหยุดชะงัก เมื่อมองรอบๆ อย่างละเอียดแล้วก็ยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า มีคลื่นลมกลุ่มหนึ่งกระจายออกไปรอบๆ ทันที ก่อนคลื่นลมจะถูกตำแหน่งหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้าสูบไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาซูหมิงเพ่งมอง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกชั่วครู่แล้ว ก็เดินหายเข้าไปในน้ำวนไร้รูป

นี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายโดยน้ำวนครั้งแรกระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังวนแหวนชั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ซูหมิงที่ชำนาญแล้วพลันปรากฏตัวในโลกสีสันแวววาว

เขาไม่หลับตา แต่ยังคงลืมตา ตอนที่ตัวเขาถูกลากไป เขาก้มหน้ามองความมืดตรงสุดขอบข้างล่างของโลกสีสันแวววาว เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็ยิ้มมุมปาก

มีเสียงคำรามพลันดังแว่วมาจากความมืด ขณะเดียวกับที่สั่นสะเทือนโลกสีสันแวววาว มันยังทำให้แมงกะพรุนที่ลอยอยู่รอบตัวเขาถอยไปพร้อมกันด้วย

ม้าดำที่มีหัวมังกรสองหัวตัวนั้นพุ่งออกมาจากเงามืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด

หัวมังกรสองหัวจ้องซูหมิงด้วยความโกรธ ส่วนหัวม้าของมันก็หอบหายใจแรง เพียงสี่เท้าเดินหน้าเปลวเพลิงก็เผาไหม้ลามไปรอบๆ ทันที ทว่าสีเปลวเพลิงเป็นสีดำ เมื่อคู่กับตัวมันแล้ว มันจึงดูมีอำนาจมาก

ระหว่างทางมานี้ ซูหมิงใช้น้ำวนเคลื่อนย้ายเป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้านับรวมกันนี่เป็นครั้งที่สี่ที่เขาเจอกับม้าตัวนี้ ทุกครั้งก่อนหน้านี้ ขอเพียงเขาปรากฏตัวอยู่ในโลกน้ำวน ม้าดำก็จะสังเกตเห็นทันที ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด มันก็จะใช้วิธีการพิเศษของมันเข้ามาใกล้อย่างเร็วไว

เสียงคำรามดังก้องไปโดยรอบ ม้าดำพุ่งออกมาในลักษณะก้มหน้าลง ห้อวิ่งตรงไปหาซูหมิงด้วยจิตสังหารและการขานรับการยั่วยุของเขา

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ประสบการณ์หลายครั้งก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ว่า แม้ทุกครั้ง ม้าตัวนี้จะเข้ามาใกล้ตนเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มากพอจะล่าสังหารตน ตอนนี้ดูจากตำแหน่งการปรากฏของมันแล้ว น่าจะมาถึงในลมหายใจที่เจ็ดหลังจากตนออกไป

“เจ้าเป็นของข้า สักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นสัตว์พาหนะของข้า ขึ้นสวรรค์ลงนรกไปพร้อมกับข้า!” ตอนที่ซูหมิงยิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ ม้าดำส่งเสียงคำรามดังยิ่งกว่าเดิม เหมือนจะพุ่งไปถึงเขาอยู่แล้ว ทว่าเขากลับหายไป ออกจากโลกน้ำวนไปแล้ว

กลางฟ้ากระจ่างดาว ซูหมิงอุ้มสวี่ฮุ่ยเดินออกมา เขาไม่ได้เดินทางต่อ แต่ฟังเสียงอยู่ข้างๆ อย่างเป็นสมาธิ หกลมหายใจต่อมา ก็มีเสียงโครมเบามากดังกึกก้องอยู่ในโลกน้ำวนที่เขาเพิ่งออกมา

‘น้อยลงไปหนึ่งลมหายใจ’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ตนยังมีโอกาสเข้าไปในโลกน้ำวนอีกราวๆ สามครั้ง สามครั้งหลังจากนี้ ม้าดำจะไล่ตามตนทัน ถึงตอนนั้นเขาจะจับมัน

ซูหมิงตรึกตรองเสร็จแล้วก็มองสวี่ฮุ่ยในอ้อมอก ก่อนดันนางออกจากอ้อมอกแล้วออกแรงเขย่าตัวนาง จนกระทั่งนางหรี่ลืมตาขึ้น

“ตื่นได้แล้ว ถึงตาเจ้าแล้ว” ซูหมิงเห็นสวี่ฮุ่ยลืมตาจึงปล่อยมือ แล้วนั่งหลับตาเข้าฌานสมาธิ

“เจ้าโกง!” สวี่ฮุ่ยขยี้ตาและต่อว่าอย่างจนปัญญายิ่ง

“เราตกลงกันแล้ว คนละหนึ่งช่วงระยะทาง ถึงตาเจ้าแล้ว” ซูหมิงไม่ลืมตา เพียงตอบเรียบๆ

“ไม่นับน้ำวนเคลื่อนย้าย” สวี่ฮุ่ยถลึงตามองซูหมิง

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้พูด ถ้าอย่างนั้นก็นับเสีย นี่เจ้าเป็นสตรีจริงๆ หรือ? ไม่ยอมรับสิ่งที่พูดออกมาอย่างนั้นรึ?” ซูหมิงลืมตาและชำเลืองตามอง

“ข้าเป็นสตรีหรือไม่เจ้ารู้ดีกว่าข้า” สวี่ฮุ่ยกล่าวอย่างไม่ลังเล ประโยคนี้ทำให้ซูหมิงพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ๆ เขามักจะรู้สึกเหมือนว่าถูกตอกกลับเล็กน้อย…

ขณะเงียบงันอยู่นี้ เขาหลับตาลงและไม่สนใจอีก

สวี่ฮุ่ยแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วโคจรพลังในร่างกาย เมื่อสลายความมึนเมาไปแล้วก็ยกมือขวาขึ้นสะบัด ใต้ร่างนางปรากฏหงส์เพลิงตัวหนึ่ง มันส่งเสียงร้องแล้วม้วนซูหมิงที่นั่งฌานอยู่ห้อเหยียดไป สวี่ฮุ่ยอยู่บนหัวหงส์ สายตาพิจารณารอบๆ ตลอดเวลา บางครั้งก็มองซูหมิงที่กำลังฝึกฝนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ปากพูดพึมพำ

“ใจแคบจริงๆ!”

“ตัวข้าไม่มีไฝ แน่นอนว่าต้องใจแคบอยู่แล้ว” ซูหมิงลืมตาขึ้นแล้วหลับตาอีกครั้ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้ข้าพูดอะไร แต่ข้าจะไม่พูด” สวี่ฮุ่ยยิ้ม นางตอบด้วยสิ่งที่มีเพียงแค่ซูหมิงเท่านั้นที่เข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version