ตอนที่ 945 เจ้าคือศิษย์น้องของข้าแล้ว
ยังวาดภาพไม่เสร็จ สวี่ฮุ่ยก็ใจสั่นแล้ว นางเหม่อมองซูหมิง และค้นพบอย่างแจ่มแจ้งว่าหลังจากคนตรงหน้าวาดลายเส้นแรก ทั้งตัวเขาก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า!
ความว่างเปล่านี้คือความสะอาดที่เหมือนกับร่างค่อยๆ หายไป กระทั่งกลิ่นอายพลังและจิตวิญญาณยังหายไป แม้แต่การเชื่อมต่อระหว่างนางกับร่างแยกขั้นพลังของซูหมิงยังไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย
ประหนึ่งว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่กลับเหมือนไม่อยู่
และยังคลับคล้ายอีกว่า…เขาหลอมรวมกับยอดเขานี้ หลอมรวมเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบกับแผ่นดิน กับท้องฟ้า กับทุกอย่างที่สายตามองเห็นได้ในใต้หล้า กระทั่งกับสายฝน กับสายลมที่พัดมา
นี่ไม่ใช่การวาดภาพ นี่คือ…การบุกเบิกแดนแปดทิศจากในสายลม จากกลางสายฝน จากท้องฟ้า จากบนแผ่นดินและจากทุกสิ่งของจักรวาล
สิ่งที่ทำให้สวี่ฮุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกคือซูหมิงในแววตานาง ในพริบตาที่ก้าวสู่ความว่างเปล่า ขั้นพลังทั้งตัวเขาพลันเกิดระลอกคลื่น จากนั้นขั้นพลังก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีที่นางตกตะลึง!
จากเจ้าปกครองโลกตอนกลางเฉียดใกล้กับเจ้าปกครองโลกตอนปลายอย่างยิ่งในเวลาสั้นๆ!
ขั้นพลังแบบนี้ มีคำหนึ่งลอยขึ้นมาในความคิดสวี่ฮุ่ย
‘การตระหนักรู้ทันที!’ นี่คือการตระหนักรู้ทันที นอกจากคำนี้แล้ว นางก็หาสิ่งอื่นมาอธิบายคนคนหนึ่งที่ไม่ใช้เม็ดยา ไม่มีการฝึกฝนมากนัก แต่ขั้นพลังกลับปะทุขึ้นมาทันทีไม่ได้แล้ว
นี่ทำให้นางนึกถึงคำพูดอาจารย์ในตอนนั้น
‘การฝึกฝนของคนโบราณ หลักๆ คือฝึกฝนจิตใจ ถามความตั้งใจเดิมของตัวเองไม่หยุด ตระหนักรู้ฟ้าดินจนถึงแก่นแท้อย่างต่อเนื่อง ใหญ่ก็ดี เล็กก็ดี ฝึกฝนจิตใจเดิม เหมือนกับฝึกฝนตัวเอง
พวกเขาเข้าใจฟ้าดิน บางครั้งตอนที่ตระหนักรู้ทันที ขั้นพลังจะไม่เป็นไปตามหลักการ ตอนนี้ที่เราฝึกฝนอยู่คือจิตใจครึ่งหนึ่ง วิชาอีกครึ่งหนึ่ง เกรงว่า…..ก็ไม่เกิดการตระหนักรู้ทันที’
สวี่ฮุ่ยลมหายใจกระชั้น ทว่ากลับระมัดระวังมากที่จะไม่ขัดการวาดภาพของซูหมิง นางยังคงยิ้มและไม่ขยับ นางกังวลว่าหากตนขยับตัวมันจะกระทบถึงการตระหนักรู้ทันทีของเขา หากเขาตื่นขึ้นมาก็จะเสียโชควาสนาครั้งนี้ไป
นางมองคลื่นขั้นพลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะซูหมิงวาดภาพ ชั่วครู่ต่อมาก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้างนอกภูเขา สายฝนรุนแรง กระทั่งแผ่นดินดังสั่นไหวเบาๆ เกิดน้ำวนยักษ์ขึ้นตรงปลายยอดเขาเหนือศีรษะซูหมิง น้ำวนนั้นถาโถมไปรอบๆ ม้วนน้ำฝน ม้วนลมภูเขา รวมขึ้นเป็นฟ้าประหลาด
ชาวเผ่าลำดับเก้าต่างสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้จึงเงยหน้าขึ้นมองน้ำวนบนฟ้า ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นระลอกคลื่นขั้นพลังจากตรงซูหมิง
เสียงเกรียวกราวจากผู้คนเพิ่งดังขึ้นก็ถูกตี้จิ่วโม่ซาขัดเอาไว้ทันที เขาเหม่อมองตรงจุดที่ซูหมิงอยู่ มองร่างเงาซูหมิงพลางลมหายใจกระชั้นขึ้นและมีสีหน้าตื่นเต้น
‘จิตใจเปลี่ยน นี่คือ…วิชาจิตใจเปลี่ยนที่อาจารย์เคยพูดถึง และมีเพียงศิษย์ของเขาที่รู้!’ ตี้จิ่วโม่ซาเข้าใจจิตใจเปลี่ยน รู้ว่าเวลานี้สำคัญกับซูหมิงมาก ดังนั้นจึงห้ามเสียงเกรียวกราวจากผู้คนเอาไว้ และยังเฝ้าระวังอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าตื่นตัว
“ไม่รู้ว่าจิตใจเปลี่ยนของข้า…จะมาถึงเมื่อไร” ตี้จิ่วโม่ซาพึมพำเบาๆ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การวาดภาพของซูหมิงครั้งนี้กินเวลาไปหลายชั่วยามแล้ว สายฝนบนฟ้าค่อยๆ น้อยลง สายลมก็เบาลงทีละน้อย สวี่ฮุ่ยยังคงอยู่ในท่าทางเดิม แม้สายฝนจะตกลงบนตัวนางก็ยังคงนิ่ง
นางยังคงยิ้ม เพียงแต่นัยน์ตามีความร้อนรน
ที่นางกังวลไม่ใช่เพราะไม่ได้ขยับตัวมาหลายชั่วยาม แต่นางเห็นว่าในหลายชั่วยามนี้ ขั้นพลังซูหมิงทะลวงเจ้าปกครองโลกตอนปลายมาเจ็ดครั้งแล้ว
แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด
นางรู้ดีว่าเจ้าปกครองโลกตอนกลางกับตอนปลายมีปราการขวางอยู่ ปราการนี้ยากจะทะลวงผ่าน ตอนนั้นที่นางทะลวงผ่านไปได้ก็เพราะอาจารย์ช่วยอย่างเต็มที่ถึง ถูไถผ่านไปได้
แต่นางเชื่อว่าขอเพียงให้เวลาซูหมิงมากพอ อีกฝ่ายจะต้องทะลวงจากเจ้าปกครองโลกตอนกลางสู่ตอนปลายได้อย่างแน่นอน แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดขั้นพลังซูหมิงถึงเดี๋ยวแข็งเดี๋ยวอ่อนในความรู้สึกตน แต่ดูแล้วจะต้องเกี่ยวกับการยึดวิญญาณแน่นอน
เพียงแต่ว่าตอนนี้…นางรู้สึกได้ว่าสายฝนค่อยๆ น้อยลง สายลมก็น้อยลง หากสายลมและฝนหายไป หากฟ้ากลับมาเป็นดังเดิม เช่นนั้นการวาดภาพก็คงจะสิ้นสุดลง
หากถึงตอนนั้นแล้วเขายังไม่ทะลวงพลัง การตระหนักรู้ทันทีในครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วย เขาต้องการโชควาสนาครั้งต่อไปถึงจะทะลวงพลังต่อได้
ซูหมิงเข้าใจในจุดนี้
การแปรเปลี่ยนทุกครั้งของวิชาจิตใจเปลี่ยนจะทำให้จิตใจคนเกิดการผันแปร แม้แต่จิตวิญญาณรวมถึงทุกอย่างของตัวเองยังมุ่งหน้าไปสู่จุดที่สูงกว่า ทว่า…ขั้นพลังจากการผันแปรเหนี่ยวนำนี้ก็ยังมีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน หากทะลวงผ่านขีดกำจัดไม่ได้เช่นนั้นก็ต้องหยุด
ดังนั้น ซูหมิงจึงเลือกเต้าคงเป็นร่างแยกขั้นพลัง ซึ่งความจริงแล้วร่างแยกขั้นพลังก็เหมือนกับภาชนะบรรจุ เขาเลือกภาชนะนี้ก็เพื่อให้ทะลวงผ่านขีดจำกัดได้ง่าย
แต่ว่าคุณสมบัติ ความจริงต้องพิจารณาจากรากฐาน ก็คือตัดสินจากจำนวนปราการและความหนา
ดังนั้นซูหมิงจึงเลือกทำลายดวงชะตาของเยี่ยวั่ง หลังจากทำให้ดวงชะตาเขาเสียหายแล้ว เช่นนั้นคนที่สามารถรวมดวงชะตาได้ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมในช่วงหลายปีมานี้จึงเหลือเพียง…เต้าคง!
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำนักดาราสัจธรรมให้ความสำคัญกับเต้าคง
ทว่าดวงชะตาเป็นสิ่งเลื่อนลอย มีน้อยคนมากที่จะมองทะลุและขับเคลื่อนใช้มัน ต่อให้เป็นซูหมิงในตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ เขาทำได้เพียงใช้วิธีของตัวเองเปลี่ยนหรืออาจจะผลักดัน ใช้มันมาเหนี่ยวดำดวงชะตาอันเลื่อนลอยทางอ้อม
อย่างเช่นตอนนี้…
โครม!
ฟ้าพลันเกิดเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างดังสนั่นไปรอบๆ สายฝนที่เดิมทีจะหายไปกลับกระหน่ำลงมาอีกหน สายลมที่ใกล้จะหายไปก็กลับมารุนแรงอีกครั้ง
ฝนไม่หยุดตก สายลมไม่หายไป ทุกอย่างกลับมารุนแรงอีกครั้ง
นี่คือดวงชะตาหรือ…บางทีอาจใช่ บางทีต่อให้ไม่มีดวงชะตาที่ว่า ฝนก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่หยุดตอนนี้ ทว่าหากฝนกระหน่ำติดต่อกันหลายวัน…
บางทีนี่อาจเป็นดวงชะตาจริงๆ!
วันที่สอง วันที่สาม….จนถึงวันที่ห้า!
ตลอดห้าวัน ฝนกระหน่ำลงมาบนพื้นดินไม่หยุด เมฆดำบนฟ้าปกคลุมหนาแน่น สายลมภูเขารุนแรงถล่มฟ้าดิน สวี่ฮุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ตลอดห้าวันมานี้นางพยายามไม่ขยับอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้รบกวนการวาดภาพของซูหมิง
ในที่สุดเมื่อถึงยามโพล้เพล้ของวันที่ห้า ขณะซูหมิงทะลวงขั้นพลังอีกครั้ง ภายในร่างกายก็เกิดเสียงดังสนั่น ระลอกคลื่นพลังมหาศาลปะทุมาจากในร่างกาย
นั่นไม่ใช่เจ้าปกครองโลกตอนกลาง นี่คือ…..เจ้าปกครองโลกตอนปลาย!
ร่างแยกขั้นพลังก้าวสู่เจ้าปกครองโลกตอนปลายอย่างแท้จริงแล้ว เป็นเหมือนกับร่างแยกกลืนนภา จนถึงตอนนี้ ซูหมิงเพิ่งจะก้าวสู่ขอบเขตของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ร่างแยกทุกตนล้วนเป็นเจ้าปกครองหนึ่งดินแดนได้แล้ว ก่อนหน้านี้หากร่างแยกกลืนนภากับร่างแยกขั้นพลังซ้อนทับกัน เขาจะระเบิดพลังของเจ้าปกครองโลกตอนปลายที่เกือบจะถึงขั้นสมบูรณ์ได้ ทว่าตอนนี้ เขาระเบิดเป็นพลังของเจ้าปกครองโลกสมบูรณ์จริงๆ นี่ยังไม่รวมพลังจากต้นกำเนิดจิตด้วยซ้ำ
หากรวมต้นกำเนิดจิต เช่นนั้นก็จะไม่เหมือนตอนไปช่วยสวี่ฮุ่ยในทะเลทรายที่ต้องใช้ร่างเงาสะท้อนจากพลังเอ้อชางถึงจะสู้กับภัยพิบัติจันทราไหว แต่ยามนี้ไม่ต้องใช้ร่างเงาสะท้อนเอ้อชางก็สู้กับระดับภัยพิบัติจันทราได้แล้ว
นี่ยังไม่รวมร่างแยกเอ้อชางอีก หากปรากฏเงาสะท้อนเอ้อชาง เขาก็ไม่รู้ว่าตนในตอนนี้จะมีกำลังรบแบบใด แต่ที่แน่ๆ สู้กับระดับภัยพิบัติตะวันได้
หากร่างแยกเอ้อชางมาด้วยตัวเอง หากสามร่างแยกรวมกันและใช้วิญญาณเป็นตัวเชื่อม กำลังรบที่ปะทุขึ้นมาจะสะเทือนนภา นี่จะแกร่งยิ่งกว่าตอนนั้นที่เขาออกมาจากแดนประหลาดวงแหวนบูรพาและเข้าไปในพื้นที่ขุมอำนาจโลกแท้จริง หยินศักดิ์สิทธิ์!
บางทีตอนนี้เขาอาจยังไม่เรียกว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในกลุ่มคนที่ระดับต่ำกว่า กุมชะตาเกิดดับสูญ แต่ขอเพียงเดินอีกก้าวเดียว ตอนที่ร่างแยกกลืนนภากับร่างแยกขั้นพลังถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายสมบูรณ์แล้ว
เขาก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นหมายเลขหนึ่งของคนที่ต่ำกว่าระดับกุมชะตาเกิดดับสูญ!
หากร่างแยกเอ้อชางกินเอ้อชางตัวอื่นๆ กำลังรบก็จะสูงขึ้นอีก นี่คือ…พรสวรรค์การซ้อนทับกันอันน่าสะพรึงของเผ่ายมโลก
ซูหมิงลืมตาขึ้น บางทีอาจพูดได้ว่าเขาไม่ได้หลับตาอยู่แต่แรกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ลืมตาคือวิญญาณ
ฟ้าพลันสงบลง ไม่มีเสียงฟ้าผ่าอีก ฝนหยุด สายลมภูเขาหายไป ฟ้าใสในระยะหมื่นลี้
ซูหมิงมองกระดานภาพในมือ ฉากสายฝนบนนั้นเชื่อมเป็นสาย มีร่างเงางดงามอยู่ในนั้นคนหนึ่ง สายลมพัดเส้นผมดำ รอยยิ้มนั้นเหมือนกับมีโลกหนึ่งใบอยู่ เมื่อมองไปแล้วจะอดยิ้มขึ้นมามิได้
“ขอบคุณ” ซูหมิงเงยหน้ามองสวี่ฮุ่ย
สวี่ฮุ่ยยิ้ม รอยยิ้มเหมือนกับในภาพวาด
…….
มักจะมีช่วงเวลาที่แยกจากกัน
มักจะมีวันหนึ่งที่เพลงจบคนจากไป
วันที่สองหลังซูหมิงตื่น เขาออกจากยอดเขาของเผ่าลำดับเก้า ออกจากแผ่นดินใหญ่นี้ ลาจากชาวเผ่าเกือบพันคนของเผ่าลำดับเก้าที่กำลังคารวะเขา
เขาไม่ได้พาตี้จิ่วโม่ซาไปด้วย แต่นำแผนที่แผ่นหนึ่งไป เป็น…แผนที่ตั้งของสี่เผ่าใหญ่ในวงแหวนในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตที่เคยปิดล้อมโจมตีอาจารย์ในตอนนั้น
มีแค้นก็ต้องชำระ นี่คือหลักการที่ซูหมิงยึดถือ
นอกจากนี้แล้วเขายังกล่าวไว้ประโยคหนึ่ง ทำให้ตี้จิ่วโม่ซาก้มหน้าลงและคารวะเขา
“ไม่ว่าอาจารย์จะว่าอย่างไร ข้าก็มองเจ้าเป็นศิษย์น้องแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ตี้จิ่วโม่ซาตัวสั่นสะท้าน เขามองซูหมิง มองประกายเฉลียวฉลาดในแววตาอีกฝ่าย เหมือนกับว่าสามารถมองทะลุในใจตน ตี้จิ่วโม่ซาก็มีสีหน้าอับอายทีละน้อย เขาก้มหน้าลงเงียบๆ ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นเพราะคำพูดนี้
นี่คือการยอมรับจากซูหมิง
ตอนแรกที่ซูหมิงอยู่ใต้รูปปั้นของอาจารย์และเห็นหินห้าก้อนนั้น เขาก็มองออกแล้ว หินก้อนที่ห้าถูกเติมมาทีหลัง แม้จะไม่ต่างอะไรกับหินสี่ก้อน แต่ว่า…ก้อนหินที่เป็นตัวแทนของศิษย์สี่คนอยู่ใต้เท้าอาจารย์ ทว่าก้อนที่ห้าอยู่นอกเท้า
จุดเล็กๆ นี้ ทำให้ซูหมิงเข้าใจอะไรมากขึ้น
เขาจินตนาการได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนข้างกายอาจารย์คงมักจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเสมอ เขาอยากคารวะอาจารย์เป็นอาจารย์ แต่จนกระทั่งเทียนเสียจื่อจากไป เขาก็ยังไม่ได้ทำ
แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาคอยปกป้องชนเผ่า ทำตามคำร้องขอก่อนที่เทียนเสียจื่อจะไป ไม่กล่าวโทษ ไม่เสียใจภายหลัง กระทั่งพันปีมานี้ เขามองตัวเองว่าเป็นศิษย์ของเทียนเสียจื่อเอง แล้ววางหินก้อนที่ห้าไว้นอกรูปปั้นเขา
ดังนั้น คำพูดนั้นของซูหมิง เขาจึงพูดเพียงครึ่งประโยค ยังมีอีกครึ่งที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจ
ประโยคเต็มน่าจะเป็น…
“อาจารย์ไม่รับศิษย์คนที่ห้า แต่ไม่ว่าอาจารย์จะว่าอย่างไร ข้าก็มองเจ้าเป็นศิษย์น้องแล้ว”
ซูหมิงไปแล้ว ครั้งนี้สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนเขาไม่ใช่ความโดดเดี่ยวที่ชินชา แต่เป็นสวี่ฮุ่ย
มุ่งหน้าไปสู่วงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต มุ่งหน้าไปยังสี่เผ่าใหญ่ที่เคยล่าสังหารอาจารย์ ซูหมิงกับสวี่ฮุ่ยกลายเป็นสายรุ้งยาวสองสายค่อยๆ หายลับไปจากสายตาชาวเผ่าลำดับเก้า และก็หายไปจากสายตาตี้จิ่วโม่ซา
“ศิษย์พี่…” ตี้จิ่วโม่ซาพึมพำเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล่าวคำว่าศิษย์พี่แล้ว ตรงส่วนลึกในใจไม่มีความขมขื่น