ตอนที่ 953 จุดเริ่มต้นของแรกฤดูร้อน
ซูหมิงไม่สนใจการกระทำของผู้ฝึกฌานสี่คนนั้นอีก หากสี่คนนี้อยากรอดก็ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน หากไม่อยากล่วงเกินทั้งเผ่าขวางสวรรค์และซูหมิง เช่นนั้นความเป็นตายของพวกเขาก็จะอยู่ระหว่างหนึ่งความคิดของซูหมิง
จะโทษก็ต้องโทษสี่คนที่โชคไม่ดีเอง ไม่ควรบุกมาที่นี่ตอนนี้ ในเมื่อมาแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจดิ้นรน และจำต้องเลือก
เสียงร้องแหลมเล็กของจิตแรกชายจันทราวารีเงียบหายไป ซูหมิงได้ยินจึงรู้ตัวเลือกของสี่คนนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้มองไป เพียงขยับวูบไหวพุ่งไปยังจันทราเพลิงและจันทราดอกไม้
นี่คือการเข่นฆ่าที่ขั้นพลังต่างกัน ซูหมิงแผ่กลิ่นอายพลังเอ้อชาง พลังของเอ้อชางไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้เขามีกำลังรบเทียบเท่าภัยพิบัติตะวัน
แม้จะเพียงเทียบเท่า ไม่ใช่ภัยพิบัติตะวันจริงๆ แต่กลับทำให้เขาในยามนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดรองจากระดับภัยพิบัติตะวัน
เห็นชาวเผ่าขวางสวรรค์ชายหญิงสองคนกำลังเข้ามาใกล้ เขาเพียงหรี่ตาลง ขณะที่ไม่ถอยแต่บุกเข้าไป เขายกมือขวาทำปางมือกดตรงระหว่างคิ้ว จากนั้นชี้ไปยังจันทราเพลิงที่อยู่ใกล้ตนที่สุด
“รูปแบบชะตาแห่งฤดูหนาวเยือก คือจุดเริ่มต้นของชีวิตข้า” ดัชนีพลันแผ่สายลมหนาวส่งเสียงครืนๆ ภายใต้เมฆดำในฟ้าดิน ท่ามกลางสายลมหนาว มีเกล็ดหิมะปรากฏขึ้นราวกับฟ้าดินถูกแช่แข็ง หิมะไม่ใช่สีขาวแต่เป็นสีดำ!
หิมะสีดำลอยอยู่กลางฟ้า ทำให้สายฝนสีดำกลายเป็นผลึกน้ำแข็งอบอวลอยู่รอบๆ ความหนาวเยือกแช่แข็งแปดทิศ ภายใต้ดัชนีของซูหมิง จันทราเพลิงที่เข้ามาส่งเสียงดังกึกๆ และถูกแช่แข็งทันใด
คนที่ถูกแช่แข็งด้วยกันยังมีชายจันทราเพลิงที่มองด้วยความโกรธแค้นพลางพุ่งเข้ามาใกล้
ชายคนนี้ดิ้นรนพร้อมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว กระทั่งชั่วเวลาที่ถูกแช่แข็งยังหยิบของวิเศษจำนวนมากออกมา ซ้ำยังใช้พลังวิชาต่อต้าน ทว่าของวิเศษทุกอย่าง อภินิหารทุกอย่าง รวมถึงเสียงคำราม กลับถูกแช่แข็งในพริบตา
นี่คือวิชารูปแบบชะตาของซูหมิง พลังแห่งความหนาวเยือก!
“หลังจากฤดูหนาว สีแดงชาดกลายเป็นประมุข สีแดงนี้คือใบไม้ร่วง…จุดสูงสุดของสีแดงใบไม้ร่วง!” ซูหมิงเอ่ยราบเรียบพลางชี้มือขวาไปยังจันทราดอกไม้
ดวงจันทร์ดอกไม้ที่รวมขึ้นจากกลีบดอกนับไม่ถ้วนเหี่ยวเฉาลงในทันทีที่ซูหมิงชี้ไป เสี้ยวขณะเดียวก็ออกสีแดงของใบไม้ร่วง ทำให้สตรีด้านหลังพลันหน้าซีดขาว
นี่คือพลังอภินิหารที่นางไม่อาจต่อต้าน คือการเปลี่ยนแปลงของวิชาที่นางไม่เคยเจอมาก่อน ฤดูหนาวเยือก สีแดงใบไม้ร่วง เดิมทีนี่คือการเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดู แต่ตอนที่ซูหมิงตรงหน้าใช้ กลับทำให้นางเหมือนเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสี่ฤดูกาล
ใช้การเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดูได้ตามอำเภอใจ ไม่มีการคิดแม้แต่น้อย เหมือนกับว่า…เดิมทีฟ้าดินควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ราวกับว่าเดิมทีสี่ฤดูกาลควรจะถูกชายตรงหน้าเปลี่ยนได้ตามใจชอบ
‘ยึดร่างเอ้อชาง พลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายของร่างแยกขั้นพลัง ร่างกายระดับสูงของร่างแยกกลืนนภา สิ่งเหล่านี้…เหมือนกับฤดูร้อนอ่อนๆ ยามเกิดฤดูใบไม้ร่วง อยู่ในการเตรียมตัว อยู่ระหว่างสั่งสม เพื่อระเบิดออกเป็นเพลิงแห่งชีวิตอันเปี่ยมล้นอยู่กลางฤดูร้อนจัด
เพลิงนี้ ตอนนี้ยังไม่ร้อนแรง เพลิงนี้ ตอนนี้เป็นเพียงกลุ่มเดียว ทว่าเพลิงแห่งชีวิตจะจุดดวงตะวันร้อนแรงแผดเผานภาในยามที่ข้าเดินผ่านฤดูหนาวเยือก!’ ซูหมิงเงยหน้า ยกสองมือขึ้น เส้นผมยาวสะบัด มองไปประดุจเปลวเพลิงขยับไหว ร่างกายเขาตอนนี้เหมือนถูกจุดเปลวเพลิง!
นั่นคือเพลิงแห่งชีวิตของเขา เขาคือซูหมิงคนที่เดินจากฤดูหนาวเยือกไปสู่สีแดงใบไม้ร่วง แล้วเดินจากสีแดงใบไม้ร่วงไปสู่เปลวเพลิงแห่งแรกฤดูร้อน ตอนที่เพลิงนี้ร้อนแรงถึงขีดสุด นั่นหมายความว่าเขาก้าวสู่ฤดูร้อนในชีวิตอย่างสมบูรณ์!
หากถึงตอนนั้น สิ่งที่รอเขาอยู่คือก้าวสุดท้ายของชีวิตตน ฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งจะฟื้นคืนชีพ!
ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนชีพก็หมายถึงการผงาดขึ้น หมายถึง…การเกิดใหม่!
หากถึงตอนนั้นแล้ว ก็จะเป็นการเกิดใหม่ของเขา คือการปะทุสูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิต ก้าวนี้…อยู่ไม่ไกลแล้ว!
เพลิงแห่งแรกฤดูร้อนบนตัวซูหมิงลุกไหม้ เขาใช้สองมือประสานสัญลักษณ์สะบัดลงไปข้างล่าง ตัวเขาพลันระเบิดทะเลเพลิงออกมา แผ่ขยายไปรอบๆ พริบตาเดียวก็กลืนกินจันทราเพลิงที่ถูกแช่แข็ง โอบล้อมจันทราดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาเป็นสีแดง รวมถึงปกคลุมชายหญิงสองคนจากเผ่าขวางสวรรค์เอาไว้ข้างใน
ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเสียงครึกโครมสะเทือนฟ้า ทว่าทะเลเพลิงที่เผาไหม้อยู่กลางหิมะสีดำบนฟ้า รอบๆ สะท้อนสีแดง สภาพการณ์ในฤดูหนาว ใบไม้ร่วง และร้อนสามสิ่งนี้หลอมรวมกัน กลับเป็นแรงปะทะที่รุนแรงยิ่งกว่าเสียงอึกทึกและเสียงกรีดร้องใดๆ ส่งผลให้ผู้ฝึกฌานสี่คนไกลๆ ใจสั่นสะท้าน ลมหายใจกระชั้นขึ้น
หลังจากทะเลเพลิงหายไป ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง รอบตัวไม่มีจันทราเพลิงและดอกไม้อีก และก็ไม่มีร่างชายหญิงสองคนนั้นด้วย
สองคนนี้ถูกเผาจนไม่เหลือซากในเพลิงแห่งชีวิตของเขา
ทั้งดาวแท้จริงยามนี้เงียบสงัด ผ่านไปพักใหญ่ ตอนที่ซูหมิงมองผู้ฝึกฌานสี่คน พวกเขาสี่คนต่างมีสีหน้าเคารพทันที แล้วคารวะซูหมิงพร้อมกัน
“เอ่ยนามของพวกเจ้ามา” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ
“เสวียนซาง คารวะผู้อาวุโส”
“หวาอวี้ คารวะผู้อาวุโส”
“อวิ๋นโหยว คารวะผู้อาวุโส”
“เหนียนอิ๋น คารวะผู้อาวุโส”
สี่คนนี้ตกตะลึงกับพลังวิชาของซูหมิงเมื่อครู่ และยังถูกความแข็งแกร่งที่เขาเผยออกมากดข่ม ยามนี้จึงก้มหัวลงคารวะและพากันเอ่ยนามออกไป
“มาทะเลดาราด้วยเรื่องอะไร” น้ำเสียงซูหมิงราบเรียบ หลังกวาดสายตามองสี่คนนี้แล้ว ก็ไปมองเสวียนซางคนที่หยิบสิ่งยืนยันของจ้าวเผ่าธุลีแผดเผาออกมาก่อนหน้านี้
“พวกข้าได้รับคำเชิญจากจ้าวเผ่าธุลีแผดเผาให้ไปทำเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยที่เผ่า ธุลีแผดเผา…” เสวียนซางลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงค่อยกล่าวเสียงต่ำ ตั้งแต่เขาเห็นซูหมิงในแวบแรกก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกฌานเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าซูหมิงเป็นผู้แข็งแกร่งจากบางเผ่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต
ต่อให้เป็นสามคนข้างกายเขาก็เช่นกัน ถึงอย่างไรอาภรณ์ของซูหมิง บุคลิกลักษณะ รวมถึงความรู้สึกบอกไม่ถูกเช่นนั้น ล้วนไม่ต่างอะไรกับชาวเผ่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตที่พวกเขาเคยเจอเลย
หากเป็นผู้ฝึกฌานก็จะมีความรู้สึกรางๆ ว่าไม่อาจหลอมรวมเป็นหนึ่งกับทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอยู่ เป็นความรู้สึกเหมือนอยู่ลำพัง แม้จะมีวิธีปกปิดอยู่บ้าง แต่หากตั้งใจมองก็ยังเห็นเงื่อนงำอยู่ ทว่าพวกเขาสี่คนมองซูหมิงไม่ออกเลย
“อ้อ?” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มประจักษ์ในสายตาทั้งสี่คน ทำให้ในใจเกิดความกลัวเล็กน้อย รอยยิ้มนี้ไม่มีอะไร แต่ตอนที่ซูหมิงยิ้ม เส้นสีม่วงตรงระหว่างคิ้วเหมือนขยับยึกยือ คล้ายกับเปิดออกเป็นรอยแยกบางๆ พลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกมองในหัว สี่คนนี้ ความรู้สึกนั้นราวกับทั่วร่างเปลือยเปล่า ไม่มีความลับใดปิดซ่อนได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเส้นตรงระหว่างคิ้วอีกฝ่ายมองเห็นอย่างชัดเจน
กระทั่งพวกเขาสี่คนยังมีความรู้สึกเด่นชัดว่าในเส้นบางตรงระหว่างคิ้วซูหมิง เหมือนกับ…มีดวงตาดวงหนึ่ง!
“ข้าก็กำลังจะไปเยี่ยมเผ่าธุลีแผดเผาพอดี สหายทั้งสี่สะดวกจะให้ข้าเดินทางไปด้วยหรือไม่?” ซูหมิงยิ้มทีเล่นทีจริง แต่ความเย็นเยียบในแววตากลับทำให้ทุกคนที่มองไปหัวใจบีบรัด
สี่คนนี้จะกล้าบอกว่าไม่สะดวกรึ แม้ในใจจะไม่ยอม แต่ก็ต้องยิ้มพลางพยักหน้า
“หากผู้อาวุโสจะเดินทางไปกับพวกเรา ก็ถือเป็นเรื่องดีมากจริงๆ มีผู้อาวุโสอยู่ พวกข้าจะปลอดภัยขึ้นมาก เสวียนซางรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่เดินทางไปด้วยกัน” เสวียนซางขมขื่นในใจ แต่ไม่กล้าเผยออกมา ได้แต่แสดงความดีใจ รีบประสานมือคารวะขอบคุณ
“ก็ดี พวกเจ้าไปได้แล้ว รอข้าอยู่ที่ใดก็ได้ รอข้าจัดการธุระกับเผ่าขวางสวรรค์เสร็จก่อน ข้าจะไปหาพวกเจ้าเอง” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ
สี่คนนี้ตกใจระคนสงสัยทันที แต่ไม่เผยทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงประสานมือคารวะ ซูหมิงแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวกำลังบินออกจากดาวที่ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจภายหลัง
ทว่าเมฆดำบนฟ้ายังอยู่ ผนึกก็ยังอยู่…
“จะไปแบบนี้รึ?” ซูหมิงลงมายืนบนพื้นดินแล้วนั่งขัดสมาธิลง
สี่คนบนฟ้าอึ้งงัน ชายนามหวาอวี้หน้าเปลี่ยนสี เขาก้มหน้าลงพลางยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏรอยแยกเส้นหนึ่ง จิตแรกจันทราวารีที่กำลังหลับใหลอยู่ในนั้นถูกเขาสะบัดมือส่งไปหาซูหมิง
ขณะเดียวกันเมฆดำบนฟ้าม้วนตลบ เปิดออกเป็นเส้นทางหนึ่ง สี่คนนี้รีบห้อเหยียดเข้าไปในเส้นทางทันที แล้วใช้ความเร็วสูงสุดรีบออกจากดาวมรณะแห่งนี้
“สหายเสวียน พวกเรา…..”
“อย่าพูดมาก พวกเรารีบออกไปให้เร็ว คนชั่วร้ายนั่นใจกล้าเทียมฟ้า ไม่อยากเชื่อว่าจะสังหารชาวเผ่าขวางสวรรค์ ที่นี่คงจะเป็นถิ่นเผ่าขวางสวรรค์ ประเดี๋ยวคงจะมี ผู้แข็งแกร่งมาแล้ว รีบไปเร็ว!” เสวียนซางเอ่ยขึ้นทันที เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตต เรียกใช้การล่องหนโลหิตที่ธรรมดามากระหว่างผู้ฝึกฌาน แต่กลับไม่ใช้กันบ่อยนัก
สามคนที่เหลือก็เช่นกัน เงาโลหิตบินไกลออกไปในพริบตา
ครู่ต่อมาพวกเขาก็ล่องหนออกไปไกลมาก ทว่าเสวียนซางยังไม่หยุด หลังจากบินต่อไปอีกสักระยะหนึ่งแล้ว เขาถึงหันกลับไปมองทอดไกลทั้งๆ ที่ใจยังหวาดกลัวกับเรื่องเมื่อครู่
“คนผู้นั้นมีขั้นพลังระดับใด? สังหารภัยพิบัติจันทราได้ง่ายๆ หรือว่าจะเป็น….ยอดฝีมือระดับภัยพิบัติตะวัน?”
“สหายอวิ๋นประเมินเขาต่ำไป จากการสังเกตของแซ่เหนียนเมื่อครู่นี้ เขาสังหาร ชาวเผ่าขวางสวรรค์ระดับภัยพิบัติจันทราสามคนแบบสบายๆ คนแบบนี้จะต้องแกร่งกว่าภัยพิบัติตะวันธรรมดาแน่!”
“เขาสู้กับระดับกุมชะตาเกิดดับได้!” คนที่พูดออกไปตรงๆ เช่นนี้คือหวาอวี้คนที่มีวิชาผนึกวิญญาณ เขามีสีหน้าทะมึน ยามกล่าวออกไปสามคนที่เหลือพากันเงียบงัน
“เขาชั่วร้ายเกินไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่ข้ามองเขาจะรู้สึกหวาดกลัวจาก ก้นบึ้งหัวใจ พูดจากใจจริง ข้าเห็นคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครเป็นอย่างเขา ความรู้สึกชั่วร้ายนั่นสุดจะบรรยาย”
“อืม? ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เหมือนว่าในตัวเขามีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ทำให้คนหายใจขัดข้องอยู่!”
“ดูท่าทุกคนคงรู้สึกเหมือนกัน แซ่อวิ๋นก็ด้วย อีกอย่าง…เขากล้าอยู่บนดาวแท้จริงดวงนั้น นี่อธิบายได้ว่าเขากำลังรออยู่ ไม่ได้หวาดกลัวผู้กุมชะตาเกิดดับของเผ่า ขวางสวรรค์”
“เขาจะไปเผ่าธุลีแผดเผากับเราด้วย จะรอหรือไม่รอ?”
สี่คนเงียบอีกครั้ง สามคนในนั้นต่างมองไปทางเสวียนซาง เห็นได้ชัดว่าเสวียนซางเป็นผู้นำทางในกลุ่ม
เสวียนซางหน้าเปลี่ยนสี ครู่ต่อมาก็กัดฟัน ขณะกำลังจะกล่าวนั้น พลันมีเสียงสนั่นดังมาจากฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ แม้อยู่ตรงนี้พวกเขาก็ยังได้ยิน เสียงระเบิดกลางฟ้าแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วมีเพียงสาเหตุเดียว…
ดาวระเบิด!
สี่คนนี้หน้าเปลี่ยนสีเด่นชัด ช่วงที่เพ่งมองไป พวกเขาเห็นว่าในฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ มีแรงปะทะจากดาวระเบิดกับแสงสว่างพร่างพราวที่ยากจะบรรยาย