Skip to content

สู่วิถีอสุรา 989

ตอนที่ 989 จ้องหาโอกาส

ชายชราผอมแห้งทั่วร่าง ศีรษะค่อนข้างใหญ่ เส้นผมหลายเส้นพาดลง ภายในดวงตามีเส้นเลือดฝอย ทั้งยังมีประกายเหี้ยมโหด ยามนี้ปรากฏตัวแล้วก็นอนหมอบกับพื้นก่อน แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

ผ่านไปครู่หนึ่งถึงยืนขึ้น สายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว จ้องพืชเขียวที่มีใบไม้สามใบบนต้นไม้ใหญ่สูงร้อยจั้งด้วยดวงตาแวววาว

เขาขยับวูบไหวตัวมาอยู่บนพื้นดินในทันที ก่อนจะยกมือขวาคว้าไปทางพื้นดิน ห้านิ้วมือพลันทะลวงเข้าไปในดินเหนียว ตอนที่หลับตาลง ซูหมิงก็รู้สึกถึงเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ จากแผ่นดิน

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ตอนนี้ร่างกายสมบัติล้ำค่าหลอมรวมกับสภาพแวดล้อมแล้ว จึงมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกตรวจพบง่ายๆ ถึงอย่างไรสมบัตินี้ก็สร้างโดยผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ของที่ผู้กุมชะตาเกิดดับสูญธรรมดาจะมองออก

ผ่านไปครู่หนึ่ง การสั่นสะเทือนของแผ่นดินก็เงียบลงจนกระทั่งหายไป บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจึงยกมือขวาขึ้นจากพื้นดินแล้วเลียริมฝีปาก ก่อนพุ่งตัวไปปรากฏอยู่ข้างต้นไม้ขนาดร้อยจั้งในพริบตา สายตาเบนจากพืชสามใสบนแมกไม้ไปยังสี่คนที่นั่งฌานอยู่ใต้ต้นไม้

ตรงจุดที่ซูหมิงอยู่จะเห็นสีหน้าของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอย่างชัดเจน เขาเห็นว่าเมื่ออีกฝ่ายกวาดสายตามองสี่คนแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่บรรพบุรุษหลงไห่ ทั้งยังเลีย ริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววละโมบ

“ร่างกายที่ถูกวิญญาณต้นไม้ชโลมน้ำมาหมื่นปีดีๆ แบบนี้ สำหรับข้าแล้วมันมีมูลค่าความสำคัญกว่าผลต้นไม้นี้อีก” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ

“โดยเฉพาะวิญญาณกับขั้นพลังพวกเขายังอยู่!” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงยิ่งมองตายิ่งเป็นประกาย เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ในพริบตา ทว่าวินาทีที่เข้าไปใกล้ ต้นไม้ร้อยจั้งพลันโคลงเคลง

ทั้งฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ทั้งผืนฟ้าจากเขียวอ่อนกลายเป็นเขียวเข้ม โดยเฉพาะพื้นดินยังปรากฏพืชเขียวนับไม่ถ้วน ช่วงที่พืชเขียวเหล่านี้โผล่ขึ้นมาก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็วราวกับเส้นผม พุ่งตรงไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเหมือนจะพันรอบเขาเอาไว้

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแสยะปากยิ้ม แทบเป็นช่วงที่พืชเขียวเหล่านั้นพุ่งเข้ามา เขายื่นสองมือไปข้างนอก ร่างกายผอมแห้งระเบิดทะเลเพลิงสีม่วงออกมา ทะเลเพลิงสีม่วงแผ่กระจายออกโดยพลัน เมื่อปะทะกับพืชเขียวเหล่านั้นแล้วก็เกิดเสียงโครมครามขึ้น

ทั้งยังเกิดแรงปะทะกระจายออกเป็นวงกว้าง ซูหมิงแน่นิ่งอยู่ไม่ไกล เขาจ้องการกระทำของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เห็นว่าขณะเดียวกับที่เปลวเพลิงสีม่วงปะทะกับ พืชเขียวเหล่านั้น เขาก็ขยับวูบวาบไปอยู่ข้างหลังผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันหนึ่งใสสี่คน

ผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันถูกบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกดบ่าเอาไว้ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงภายในเงาแสงของหินเพลิงแสงสายฟ้ากัดไปที่คอของผู้ฝึกฌานคนนี้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกฌานตัวสั่นอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าดูเจ็บปวด ทว่าสีหน้ากลับยังคงเฉยชา ดวงตาสองข้างยังคงสับสน

ร่างกายเขาแห้งเหี่ยวลงด้วยความเร็วระดับตาเนื้อ ครู่ต่อมาก็กลายเป็นหนังหุ้มกระดูก ทั้งยังมีจุดสีดำจำนวนมากโผล่ขึ้นบนตัว จุดดำเหล่านี้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ดูจากลักษณะแล้วไม่ใช่การเน่าเปื่อย แต่เป็นการประทับตราหลังถูกเพลิงกัดกร่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงหลายลมหายใจ ตอนที่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงยกมือขวาขึ้นจากคอ ผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวัน ตรงมุมปากเขายังมีโลหิตไหล สีหน้ามีความตื่นเต้นและ สุขสบาย

ส่วนผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันคนนั้นถูกจุดดำลามไปทั่วร่าง ทั้งตัวกลายเป็นสีดำดุจถ่าน บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเพียงสะบัดมือขวา ร่างเขาก็กลายเป็นฝุ่นละออง

ตอนนี้เองต้นไม้ใหญ่ร้อยจั้งเหมือนเกิดเพลิงโทสะ ขณะที่มันโคลงเคลงอีกครั้งก็มีใบไม้ไม่น้อยร่วงลงมาก่อนกลายเป็นยันต์หลายแผ่น ขยับแสงสีเขียวเข้มข้นพร้อมกับพุ่งไปยังบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตาขยับประกายวาว เขาพุ่งไปยังผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันอีกคน แทบเป็นช่วงที่เข้าไปใกล้ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ยันต์เหล่านั้นมาถึง เขาจึงยกมือขวาขึ้นกดฝ่ามือไปทางยันต์เหล่านั้น

ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ตรงหน้าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงปรากฏฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งพุ่งไปยังยันต์เหล่านั้น ทันทีที่ปะทะกันและเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น บรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงเข้าไปใกล้ผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันคนนั้นแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้กัดคอ แต่ตอนที่เข้าไปใกล้ใช้มือซ้ายคว้าหน้าอก ซูหมิงเห็นดังนั้นก็หรี่ตาลงทันที

เขาเห็นกับตาว่าหน้าอกบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงถูกฉีกออกกลายเป็นเหมือนปากใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เขาพุ่งไปหาผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันทั้งๆ แบบนี้ มองไกลๆ จะเหมือนกับปากใหญ่ตรงหน้าอกเขมือบผู้ฝึกฌานคนนั้น

หนึ่งคำกินผู้ฝึกฌานตั้งแต่หัวไปมาจนถึงท้อง และอีกคำ ร่างผู้ฝึกฌานคนนั้นก็หายไป ถูกเขากินไปจนหมด

ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงผอมแห้งคนนี้จะสามารถกินผู้ฝึกฌานที่มีขนาดใหญ่กว่าเขาได้มาก แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้ ขณะที่นัยน์ตา ซูหมิงขยับประกายก็มองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงสู้กับต้นไม้ใหญ่ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนล้มเลิกความคิดลงมือไป

‘หากต้นไม้มีความสามารถแค่นี้ คงไม่มีทางขังยอดฝีมืออย่างบรรพบุรุษหลงไห่เอาไว้ได้ ดังนั้นแล้ว หรือว่าต้นไม้ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด…เช่นนั้นเป้าหมายของมันคือ…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นสมาธิ มองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เขาคิดออก บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงไม่มีทางคาดถึง

‘ดังนั้นเขาจึงเลือกผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันสามคนนั้น’

ต้นไม้ใหญ่ร้อยจั้งโคลงเคลง ใบไม้จำนวนมากร่วงหล่นแล้วกลายเป็นยันต์พุ่งไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนขยับวูบวาบพุ่งไปหาผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันคนสุดท้ายโดยไม่สนใจยันต์เหล่านั้นเลย

ด้วยความเร็วของยันต์ ขณะเดียวกับที่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงพุ่งไปหาผู้ฝึกฌานคนนั้น ยันต์ก็ปะทะกับร่างเขา ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกฌานภัยพิบัติตะวันคนสุดท้ายก็ถูกฝังศพในปากหุ่นเชิดเพลิงแล้ว

ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงขยับวูบไหวถอยไปหลายก้าว ทว่านัยน์ตากลับเย็นชา

ตอนนี้เอง บนต้นไม้ใหญ่ปรากฏดวงตาคู่หนึ่ง มันเป็นสีเหลือง ดวงตาไร้ประกายวาว กำลังจ้องหุ่นเชิดเพลิงอย่างเย็นชา

“กินพอแล้วรึยัง” เสียงอื้ออึงดังมาจากในต้นไม้ใหญ่ ระหว่างที่ดังกึกก้องฟ้าดินยังก่อขึ้นเป็นเสียงเปรี้ยงปร้างราวฟ้าผ่าดังไปรอบๆ

“ต้องขอบคุณที่เจ้าจงใจให้ข้ากินผู้ฝึกฌานสามคนนั้น ทว่าตอนนี้ ข้าขาดอีกคนเดียวก็พอแล้ว” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเลียริมฝีปาก กล่าวพลางหัวเราะอย่างมืดทึมน่ากลัว ตัวเขาร่างเป็นเค้าโครง เต็มไปด้วยความประหลาด

ซูหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ยังคงนิ่งอยู่ไม่ไกล กระทั่งดวงตายังปกติ ทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ต้นไม้ใหญ่คือวิญญาณร้ายเพียงตัวเดียว ทุกอย่าง เมื่อครู่ดูเหมือนจะดุเดือด ทว่าความจริงเป็นเพียงสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น มันจงใจให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกินผู้ฝึกฌานสามคนนั้น

หลังจากบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกินจนโลหิตบริสุทธิ์เพิ่มพูนขึ้นมาแล้ว ก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดเหมือนกับหลงไห่

“ใต้ต้นไม้ของข้ากำลังขาดเผ่าประหลาดแบบเจ้าพอดี เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ” ขณะที่ต้นไม้ร้อยจั้งกล่าวด้วยเสียงดังอื้ออึง บรรพบุรุษหลงไห่ที่นั่งฌานอยู่ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายเฉียบคม พร้อมกันนั้นเขายังยืนขึ้นช้าๆ และยังลอยขึ้นอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่าในขนสองข้างของหลงไห่มีกิ่งไม้ที่มุดออกมาจากพื้นดินหลอมรวมเข้าสู่เลือดเนื้อ ทำให้บรรพบุรุษหลงไห่เหมือนเป็นหุ่นเชิด

แทบเป็นขณะเดียวกับที่มันเอ่ยขึ้น ดวงตาหลงไห่ขยับประกายในทันใด ตอนที่ ยกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือมีเงามังกรเขียวตัวหนึ่งหมุนเวียนขึ้นมาก่อนเงยหน้าคำราม ขึ้นฟ้า เมื่อหลงไห่สะบัดมือไป มันก็พุ่งไปยังบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ขณะเดียวกัน หลงไห่ยังพุ่งไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วย

ต่อมาต้นไม้ใหญ่ร้อยจั้งโคลงเคลงครู่หนึ่งและส่งเสียงแกรกๆ ตอนนั้นเองมีใบไม้พันใบปลิวว่อน เมื่อกลายเป็นยันต์พันใบแล้วก็มีอีกพันใบร่วงลงมา ระหว่างที่ร่วงลงมันกลับลุกไหม้ด้วยตัวเอง ทว่าสิ่งที่ลอยโชยไม่ใช่ควันดำ แต่เป็นกลิ่นอายความแค้นเข้มข้น

พอกลิ่นอายความแค้นกระจายออกแล้ว ก็มีใบไม้อีกพันใบร่วงลงมา ครั้งนี้กลายเป็นใบหน้าคน นั่นคือใบหน้าหลากหลายอารมณ์ ช่วงที่พวกมันร้องคำรามเสียงแหลมเล็ก ใบไม้สามพันใบล้วนพุ่งตรงไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

“ข้าคือบรรพบุรุษแห่งหมื่นต้นไม้ ข้าคงอยู่ตอนฟ้าดินกำเนิด ใบไม้สามพันใบคือมหาเต๋าสามพันระหว่างฟ้าดิน เจ้า…ยังไม่ปฏิบัติตามอีกรึ!” น้ำเสียงอื้ออึงคล้ายกับสายฟ้า ใบไม้สามพันใบกลายเป็นขวานสงครามยักษ์กลางอากาศ จากนั้นก็ฟันไปยังบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

ทางด้านซูหมิง เขามีสีหน้าประหลาดใจ เขารู้สึกถึงแรงกดดันของขั้นกุมจาก ตัวต้นไม้ใหญ่ที่สามารถขังยอดฝีมือขั้นกุมได้ ดังนั้นแล้วตัวมันย่อมไม่มีทางอ่อนแอ

ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง หลังเห็นภาพนี้แล้วก็หรี่ตาลง ทว่ากลับไม่มีความกลัวใดๆ แต่แสยะปากยิ้ม เขาไม่มองหลงไห่ที่พุ่งเข้ามากับขวานใหญ่ที่แปลงจากใบไม้สามพันใบ แต่ใช้สองมือกดพื้นดิน

หลังกดลงแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นคำรามลากเสียงยามแหลมเล็ก ระหว่างคำรามยังมีทะเลเพลิงสีม่วงเหลือล้นระเบิดมาจากตัวเขา ก่อนไหลไปตามสองมือพุ่งเข้าสู่ในพื้นดิน

“ต่อให้เจ้าขังยอดฝีมือขั้นกุมได้แล้วอย่างไร หากเจ้าเป็นคน ข้าก็คงจะกลัว ทว่าเจ้าเป็นเพียงต้นไม้ และต้นไม้…ก็ต้องพึ่งพาพื้นดิน ข้าจะเผาพื้นดินต้นกำเนิดของเจ้าให้ไหม้เป็นเถ้าธุลี ข้าจะละลายโลกนี้ให้กลายเป็นความว่างเปล่า อยากรู้นักว่าพอเจ้าไม่มีแหล่งต้นกำเนิดแล้ว จะข่มขู่ข้าอย่างไรอีก!” ในชั่วขณะที่หุ่นเชิดเพลิงคำรามเสียงลากยาว แผ่นดินพลันลุกไหม้ขึ้นมา ทะเลเพลิงเข้มข้นลุกลามไปทั่วโลกในพริบตา

แผ่นดินลุกไหม้และหายไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ากลางทะเลเพลิงก็กลายเป็นความว่างเปล่าทีละชั้น เปลวเพลิงจากบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงคือไฟแห่งชีวิตเขา นั่นคือชีวิตที่ต่างกับเผ่าธุลีแผดเผา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือออกมาจากเพลิง

พริบตาเดียวดินเหนียวก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปทั้งหมด ท้องฟ้าถูกความว่างเปล่ากลืนกินไป ทั้งโลกนี้ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีพื้นดิน มีเพียงต้นไม้ใหญ่ร้อยจั้งที่ลอยอยู่

ต้นไม้ใหญ่มีรากเหลือคณนานับ ตอนนี้เพราะไม่มีพื้นดิน มันจึงบิดงอทั้งหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version