Skip to content

สู่วิถีอสุรา 997

ตอนที่ 997 เล่นจริง? เล่นหลอก?

การต่อสู้ครั้งนี้ เมฆลมเปลี่ยนสี การต่อสู้ครั้งนี้ ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่น

ทะเลเพลิงบนฟ้าม้วนตลบถอยไปไม่หยุด เปลวเพลิงบนพื้นแผ่กระจายออกท่ามกลางแรงปะทะ ทำให้หินหนืดไหลย้อนกลับ มวลอากาศส่องสว่างพร่างพราว เมื่อมองขึ้นไป บนฟ้าเหมือนมีฝ่ามือเพลิงแค้นสีดำข้างหนึ่งผนึกรอบแปดทิศไว้ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงในนั้นจึงหนีออกไปไม่ได้เลย

เสียงดังสนั่นกึกก้องไปรอบๆ ซูหมิงใช้อภินิหารวิชาไปจำนวนมากแล้ว ระหว่างที่แสดงละครต่อสู้กับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอยู่นี้ ก็เกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปเล็กน้อย

เดิมทีบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแค้นซูหมิงอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ความแค้นจะหายไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยากจะหายไปทั้งหมด ตอนแรกเขาถูกอีกฝ่ายกดขี่ พอตอนนี้ได้ลงมือ ความแค้นนี้จึงยับยั้งไว้ไม่ได้อีก และผสานรวมเข้ามาในการต่อสู้ ส่งผลให้การต่อกรของพวกเขาสองคนทำให้ฟ้าดินสั่นไหวท่ามกลางเสียงดังสนั่น

เวลาผ่านไปช้าๆ พวกเขาสองคนไม่ได้สู้กันที่เดียว แต่เดินหน้าไปบนฟ้าด้วยกันไม่หยุด แต่ไม่ว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจะลงมืออย่างไร ก็ยังถูกเพลิงความแค้นสีดำโอบล้อมตลอด อีกทั้งทะเลเพลิงยังหดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทุกการหดตัวถึงขีดสุดจะทำให้เขาจำต้องใช้วิชาโจมตี เพลิงความแค้นนั้นถึงจะถอยไปอีกครั้งได้

ทว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวกลับยังไม่ปรากฏตัว ความจริงแล้วในหินหนืดแห่งหนึ่งบนพื้นดิน มีร่างเงาหนึ่งซ่อนอยู่นานแล้ว ร่างนี้ไม่ใหญ่ มีขนาดเพียงเล็บมือเท่านั้น มันคือตะขาบสีแดง

มันอยู่ในหินหนืด ดูไม่เตะตาแม้แต่น้อย คนนอกไม่สังเกตเห็นมันเลย

ตะขาบมองการต่อสู้บนฟ้าระหว่างซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงผ่านหินหนืด ดวงตาวาววับ แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เผยร่างหรือลงมือ เขาต้องมั่นใจก่อนว่านี่เป็นการเล่นละครเพื่อล่อตนออกมาหรือไม่

ถึงเขาจะไล่ตามมา แต่ก็รู้สึกว่าระหว่างซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมีการเชื่อมต่อที่เขาไม่รู้อยู่เล็กน้อย

ขณะสังเกต การต่อสู้ของซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีหลายครั้งที่เปลวเพลิงจากย่วนเว่ยเกือบทำให้จิตแรกของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแหลกสลายไป

ทว่าเขาก็ยังไม่ลงมือ แต่ดวงตาเป็นประกายเย็นชา ทั้งยังมีการเย้ยเยาะบางๆ

‘การแสดงปลอมๆ แบบนี้ ไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาสองคนจะเล่นมาได้จนถึงตอนนี้ ม้าดำตัวนั้นเพียงแค่พันธนาการคน ไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วย มีเงื่อนงำในตัวมันเองอยู่แล้วว่ากำลังล่อให้ข้าปรากฏตัว’ ตะขาบร่างแปลงเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวแค่นเสียงหึเย็นชาพลางคิดในใจ

สามวันต่อมา ซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอยู่บนภูเขาไฟ ต่างฝ่ายต่างลงมือด้วยอภินิหารวิชาไม่มีสิ้นสุด เสียงดังสนั่นกังวานไปรอบๆ ร่างจิตแรกของบรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงเหนื่อยล้าอย่างยิ่งแล้ว ถึงขั้นคิดจะหนีหลายครั้ง แต่กลับถูก เพลิงความแค้นสีดำบีบให้หนีไปไม่ได้

เขายังพบอีกว่าการลงมือของซูหมิงรวดเร็วและดุดันขึ้นเรื่อยๆ ขั้นพลังก็ไม่ใช่อย่างเมื่อหลายวันก่อนอีก แต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิธีนี้ทำให้ในใจบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเกิดการคาดเดานับไม่ถ้วนทันที

‘หรือว่าเขาจะสังหารข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่การแสดง…’ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงไม่อาจตัดสินอย่างเด็ดขาด กระทั่งเขายังแยกไม่ออกว่าซูหมิงจะล่อเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวจริงๆ หรือว่า…จะสังหารตนกันแน่

‘แต่หากเขาจะสังหารข้า ตอนเพิ่งเริ่มก็ลงมือทำได้เลย เหตุใดต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้…’ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเกิดความลังเลอีกครั้ง

ชั่วขณะที่เขาเกิดความลังเล ซูหมิงเดินหน้ามาหนึ่งก้าวก่อนยกมือขวาขึ้น มีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมา ซึ่งก็คือภูเขาวิถีเต๋า มันพุ่งไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

เห็นภูเขากำลังเข้ามาใกล้ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจึงคำรามเสียงต่ำ สองมือประสานสัญลักษณ์ ร่างจิตแรกพลันเปลี่ยนไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นนกตัวหนึ่งบินขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ทว่าช่วงที่บินขึ้น ดวงตาซูหมิงเผยประกายแสงหม่น เขาทำสัญลักษณ์มือซ้าย ดวงตะวันจันทราในดวงตาสองข้างขยับวิบวับ ด้านบนเหนือบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม ทั้งท้องฟ้ามืดครึ้มในทันใด ทะเลเพลิงขยายออก ก่อนจะมีใบหน้ายักษ์ปรากฏขึ้นบนฟ้า

นี่คือวิชามายา เป็นวิชามาตะวันจันทราและดารา เป็นแหล่งต้นกำเนิดพลังที่หาก เจ้าเชื่อก็จะมีอยู่จริง

ใบหน้านั้นคือใบหน้าร่างสมบัติของซูหมิง ตอนนี้โผล่ออกมาแล้ว ก็อ้าปากกว้างสูบไปทางบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงหน้าเปลี่ยนสี ขณะกำลังถอยไป เขาพลันยกสองมือขึ้นสะบัด ร่างจิตแรกเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่ง มันส่งเสียงร้องพลางขดตัวเป็นกระบวนทัพรูปแบบงู แต่ตอนนี้เอง ทะเลเพลิงจากย่วนเว่ยโดยรอบก็ม้วนเข้ามา เปลวเพลิงสีดำรวมถึงภูเขาวิถีเต๋าและใบหน้ายักษ์บนฟ้า ต่างพุ่งเข้าไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงพร้อมกัน

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงจิตสังหารรุนแรง มันทำให้จิตแรกเขาใจสั่นสะท้าน ยามนี้ไม่ทันขบคิดเรื่องการแสดงอะไรอีก งูเหลืองยักษ์ร่างแปลงของเขาพลันพุ่งออกไปปะทะกับเพลิงความแค้นที่ตรงเข้ามา

เมื่อเพลิงความแค้นม้วนถอยไปอีกครั้ง ภูเขาวิถีเต๋าของซูหมิงก็เข้ามาใกล้ ใบหน้ายักษ์บนฟ้ากดทับลงมา บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า จิตแรกทั้งหมดหดเล็กลงกลายเป็นลูกแสงยักษ์ลูกหนึ่ง พริบตาที่ปะทะกัน ลูกแสงขยายออกไปข้างนอก สื่อว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงใช้แก่นสำคัญของจิตแรกแล้ว ใน สามวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อต้านซูหมิงโดยไม่กลัวจิตแรกเสียหาย

เสียงครึกโครมดังสนั่นนภา ท้องฟ้าเกิดรอยร้าว แผ่นดินแตกทลาย ภายใต้เสียงระเบิด ใบหน้าบนฟ้าสลายไป ภูเขาวิถีเต๋าแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวซูหมิงหยุดชะงักกลางอากาศครู่หนึ่ง ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่คืนร่างคน จิตแรกเขาค่อนข้างสลัว

“เจ้าจะทำอะไร!” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมีสีหน้าทะมึน แต่กลับไม่กล่าวออกไปตรงๆ เพียงส่งกระแสจิตให้ ร่างกายถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนที่ถอยไปนั้น ทะเลเพลิงจากย่วนเว่ยพลันม้วนตลบเข้ามาขวางไม่ให้เขาถอย มิหนำซ้ำในเพลิงความแค้นยังมีจิตสังหารแผ่ออกมา จิตสังหารรวมถึงการเข้าขวางด้วยเปลวเพลิง ทำให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงค้นพบอย่างตกใจว่า…ตนหนีออกจากวงล้อมเปลวเพลิงความแค้นนี้ไม่ได้จริงๆ!

ต้องรู้ก่อนว่าที่เขาหนีออกจากเพลิงไม่ได้ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาจงใจ หากเขาอยากออกไปจริงๆ สละแก่นสำคัญจิตแรกเล็กน้อยก็ทำได้แล้ว ทว่าตอนนี้…บรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงพบว่าตน….หนีออกไปไม่ได้จริงๆ

การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักขึ้นไปอีกว่า ทุกอย่างไม่ใช่การหลอกล่อเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวอย่างที่ซูหมิงบอก แต่คือ…การต้องการจะสังหารตน!

ส่วนเหตุใดหลายวันก่อนถึงไม่ลงมือในทันที นั่นเป็นเพราะว่าจิตแรกตนยังระเบิดตัวเองได้ หากระเบิดตัวเอง อีกฝ่ายก็จะไม่ได้อะไรเลย ทั้งยังถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่า ซ่อนจิตแรกของตนเอาไว้

ฉะนั้นซูหมิงจึงใช้คำพูดหลอกลวงเขา ใช้วิธีแบบนี้ และใช้การล่อให้เด็กหนุ่ม ชุดคลุมขาวลงมือ ค่อยๆ ให้เขาใช้แก่นสำคัญของจิตแรกไป ทำให้เขา…เสียพลังในการระเบิดตัวเองไปทีละน้อย จนกระทั่งระเบิดตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งเหนื่อยล้าจนต่อให้ระเบิดตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติจะอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

“เจ้าเป็นใคร คนชั่วช้าแบบนี้ย่อมไม่มีทางไม่มีชื่อเสียงเลื่องลือ!” นัยน์ตาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงฉายแววบ้าคลั่ง เขาตะโกนใส่ซูหมิง แก่นสำคัญจิตแรกในร่างกายรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็พบอย่างน่าเศร้าว่าแก่นสำคัญจิตแรกของตนถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งโดยไม่รู้ตัวตลอดหลายวันที่ผ่านมาแล้ว

“เจ้าทำลายกายเนื้อข้า และยังหลอกข้าว่าจะล่อเทียนอู๋ออกมา แต่เป้าหมายจริงๆ ของเจ้าคือจิตแรกของข้า เทียนอู๋ไม่ได้ตามมาด้วยซ้ำ!”

ซูหมิงมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอย่างเย็นชา เขาไม่ตอบอะไร ทว่าการลงมือรวดเร็วและดุดันขึ้นเรื่อยๆ เปลวเพลิงความแค้นรอบๆ มีความเร็วในการม้วนเข้ามาและความถี่มากขึ้นหลายเท่า

เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่ซ่อนตัวอยู่ในหินหนืดเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็เกิดความลังเลก่อน จากนั้นจึงยิ้มมุมปาก นัยน์ตาฉายแววละโมบ

‘เป็นคนชั่วช้านัก ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้วิธีนี้มาหยุดการระเบิดตัวเองของอีกฝ่าย วิธีนี้ค่อนข้างชั่วร้ายอำมหิต แต่ว่า….ข้าชอบ!

ดูแล้วนี่คงไม่ใช่กับดัก เป็นข้าที่คิดมากไปเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่า คำพูดที่เจ้าใช้หลอกบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง….เป็นความจริง!’ เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวดวงตาเป็นประกาย แต่ก็กดความโลภในใจลงได้อย่างรวดเร็ว แล้วสังเกตการณ์ต่อไป เขามีนิสัยขี้สงสัย หากไม่มั่นใจจริงๆ จะไม่ปรากฏตัว

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงโมโหเดือดดาล และยังสิ้นหวังมากขึ้น ความคลุ้มคลั่งบรรลุถึงขีดสุดแล้ว ทว่าตอนนี้แม้แต่คุณสมบัติระเบิดตัวเองก็ยังเสียไป เขาคาดการณ์ได้ว่าหากตนระเบิดตัวเองก็จะไม่เกิดผลสำเร็จใดๆ แต่ว่า…เขาก็ต้องลอง!

“ต่อให้ข้าตาย ก็ไม่มีวันเป็นวิญญาณวัตถุให้เจ้าควบคุม!” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แก่นสำคัญจิตแรกในร่างกายพลันเดือดพล่าน กลิ่นอายการระเบิดตัวเองที่มีพลังทำลายล้างแผ่มาจากในตัวเขาทันใด แต่ว่าชั่วเวลาที่กลิ่นอายแผ่ออกมา ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาววับ ขณะเดินหน้าพลังทั่วร่างยังทะยานขึ้น และผสานรวมกับร่างแยกเอ้อชาง ถึงจะไม่ได้ให้หลงไห่เซ่นไหว้ขั้นพลังด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็มากพอจะกดบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่เสียกายเนื้อไปได้แล้ว

ไหนจะยังมีเพลิงความแค้นจากย่วนเว่ยรอบตัว กลุ่มเพลิงม้วนเข้ามาด้วยความเร็วระดับเสี้ยวขณะ หากมองจากพื้นดินจะเห็นว่าตอนที่เพลิงความแค้นบนฟ้าม้วนเข้าไป ภายในมีร่างย่วนเว่ยจำนวนมากราวกับกองทัพม้า พริบตาเดียวก็ม้วนเข้าไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่กำลังจะระเบิดตัวเอง

เสียงโครมดังขึ้น หลังจากการระเบิดตัวของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงปะทะกับเพลิงความแค้นแล้วก็หยุดชะงักลง เขาค้นพบอย่างน่าเศร้าและสิ้นหวังว่าในจิตแรกของตนเต็มไปด้วยกลิ่นอายความแค้น ซึ่งมาจากแรงปะทะหลายต่อหลายครั้งของ เพลิงความแค้นรอบๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา

การระเบิดจิตแรกหยุดชะงัก ในร่างกายถูกกลิ่นอายความแค้นยึดครอง ช่วงที่เปลวเพลิงความแค้นรอบๆ ล้อมพันธนาการเอาไว้หลายชั้นดุจดั่งผนึก ซูหมิงก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือส่องแสงสว่างพร่างพราว สิ่งนั้นคือแสงผนึกวิญญาณ เป็นหัตถ์ผนึกวิญญาณของหวาอวี้หนึ่งในพวกเสวียนซางสี่คนในร่างกาย

ฝ่ามือกำลังจะกดลงมาแล้ว หากกดทับลงมา บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจะเสียจิตสำนึกทั้งหมดไป บางทีอาจไม่มีวันได้สติกลับมาอีกเลย ความสิ้นหวัง ความเศร้าโศก และความคิดบ้าคลั่งกลายเป็นอารมณ์ความคิดสุดท้ายในตอนนี้ของเขา

ทว่าทันทีที่ซูหมิงจะกดมือลง กลับมีพลังแก่กล้าปะทุมาจากพื้นดิน แสงสีขาววูบวาบขึ้นโดยพลัน เป็นตะขาบสีขาวตัวหนึ่ง ดูต่างกับสีแดงก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังแผ่กระจายระลอกคลื่นรุนแรง

ด้วยความเร็วของตะขาบ มันพุ่งเข้าไปในเพลิงความแค้นในชั่วพริบตา ขณะส่งเสียงหัวเราะกึกก้องก็พุ่งเข้าไปหาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่อยู่ตรงหน้าซูหมิง

ตะขาบตัวนี้ก็คือเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว ตอนนี้เขามั่นใจอย่างยิ่งแล้วว่าตน….ไม่ได้ถูกวางแผนเล่นงาน!

แต่ว่าเขาไม่ได้ถูกวางแผนล่อจริงหรือ….ตอนที่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวปรากฏตัวและย่างเข้ามาในเปลวเพลิงความแค้น ซูหมิงยกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version