Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 390


บทที่ 390 ทักษะหนึ่งกระบี่ทำลายล้างโลก! (ต้น)

……

“อาจารย์?” ……

……

บรรดายอดยุทธ์ผนึกยุทธ์ต่างเงยหน้าแหงนและจ้องมาที่เยี่ยฉวนด้วยสายตาหวาดหวั่น หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าสีหน้าแสดงว่าหวาดกลัว!……

..

เซียนกระบี่!

สำหรับแผ่นดินชิง พลังของเซียนกระบี่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้ไม่ยากเย็นเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ เวลานี้ปราศจากมู่ซ่วนชิงเสียแล้ว สถานศึกษาฉางมู่จึงไม่มีทางสู้รบปรบมือกับเซียนกระบี่ได้อย่างสิ้นเชิง!

พวกเขาคงต้องถูกฆ่าตายจนหมดไม่มีเหลือ!

ในขณะนั้นเยี่ยฉวนซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลมากนักกำลังทำทีเงี่ยหูฟังเสียง พลันชายหนุ่มสั่นศีรษะรวดเร็ว “ไม่ได้ ท่านจะออกมาต่อสู้เองไม่ได้ ข้าสามารถจัดการกับพวกนี้ได้ด้วยตัวเองขอรับ”

เมื่อพูดจบ เขาหยุดและทำท่าเงี่ยหูราวกับกำลังตั้งอกตั้งใจฟังบางสิ่งบางอย่าง

ครู่ต่อมาเยี่ยฉวนส่ายหน้าอีกครั้ง “อาจารย์ ถ้าท่านช่วยข้ากำจัดคนพวกนี้ เช่นนี้เมื่อไรข้าจะเติบโตสักทีขอรับ? ท่านโปรดรอก่อนให้ข้าจัดการด้วยตนเองสักครั้ง หืม? อะไรนะขอรับ? คนผนึกยุทธ์งั้นหรือ? ไม่ ไม่ คนพวกนั้นยังไม่ออกโรงเองหรอก แต่ถ้าพวกเขาออกมาเมื่อใดท่านจึงค่อยมาช่วยข้า ได้ไหมขอรับ?”

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ได้ยินคำพูดของเยี่ยฉวนอย่างถนัดชัดเจน จึงเป็นเหตุให้เหล่ายอดยุทธ์ผนึกยุทธ์แห่งฉางมู่ที่ได้ยินพากันชักสีหน้าแววตาแข็งกร้าว

“คนผนึกยุทธ์ยังไม่ออกโรงจู่โจม!”

“เจ้าเยี่ยฉวนกำลังเอ่ยพาดพิงถึงพวกเรา!”

ในเวลาต่อมาพวกเขาจึงเห็นเยี่ยฉวนทำท่าคารวะต่ออากาศว่างเปล่าเบื้องบน “อาจารย์ ขอให้ท่านวางใจตราบใดที่คนที่เป็นยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์ของฉางมู่ไม่ออกโรงมาต่อสู้กับข้า ข้าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากท่าน! อย่างไรก็ตามถ้าเมื่อใดที่พวกเขาออกมาล่ะก็ ข้าคงต้องขอร้องให้ท่านมาช่วยสักครั้ง!”

ทุกคน “……”

ว่าแล้วชายหนุ่มจึงเบนหน้าหันมาทางกลุ่มคนยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์ “นี่พวกเจ้า เมื่อกี้บอกว่าอยากต่อสู้กันจนตายกันไปข้างหนึ่ง ใช่ไหม?”

ใครคนหนึ่งส่งเสียงกราดเกรี้ยวดังออกมาจากหมู่คนที่อยู่รวมกลุ่ม “เยี่ยฉวน คิดว่าใช้อาจารย์เจ้ามาข่มขู่แล้วพวกเราจะกลัวหรือไง?”

เยี่ยฉวนบิดมุมปากยิ้ม “ข่มขู่เจ้างั้นหรือ? เปล่า เปล่าเลย! ความจริงข้าอยากให้พวกเจ้าออกต่อสู้กับข้าต่างหาก ถ้าพวกเจ้าจู่โจมข้าครั้งเดียว อาจารย์ข้าจะต้องมาช่วยข้าจัดการพวกเจ้าแน่ ถึงตอนนั้นข้าจะทำลายฉางมู่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคงจะดีไม่น้อย!”

ว่าแล้วชายหนุ่มขยับเข้าใกล้กลุ่มคนยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์ขึ้นอีก “เอาสิ เข้ามาเลย มาตีข้า ให้ไวๆ ข้ารับรองว่าจะไม่ตอบโต้แม้สักฝ่ามือเดียว!”

ยามนั้นคนที่ได้ยินได้ฟังอย่างเหล่ายอดยุทธ์ผนึกยุทธ์นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความขึ้งโกรธ จนมีคนที่ทนไม่ไหวและตั้งท่าจะเข้าจู่โจมหากถูกคนอื่นตรงเข้ายื้อยุดไว้เสียก่อน ในระหว่างที่กำลังห้ามปรามกันนั้น ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่าไปหลงกล มันตั้งใจจะยั่วให้พวกเราโกรธเพราะจะทำให้เราเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจม ซึ่งถ้าเจ้าทำเช่นนั้น มันก็จะสมปรารถนาอย่างที่ตั้งใจ”

คนอื่นพยักหน้าเป็นการย้ำว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายชราพูด

ยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์จึงได้แต่ต้องมองมาทางเยี่ยฉวนตาแดงก่ำจนแทบถลนออกมานอกเบ้า ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงเจตนาอย่างชัดเจนโดยไม่ปกปิด ทว่าเยี่ยฉวนกลับเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าใกล้ไปอีกสองก้าว “มาฆ่าข้าสิ! มาเลย! มาสิ!”

คงเป็นเพราะคำพูดนั้น ทำให้ยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์พลุ่งพล่านด้วยความโกรธอย่างรุนแรง! ทว่าคนอื่นๆ ช่วยกันสกัดรั้งเขาไว้

เยี่ยฉวนไม่พูดอะไรอีกได้แต่นิ่งเงียบ เสียงคนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถอยกลับไป ด้วยเขาประจักษ์ชัดว่าขืนดันทุรังยั่วอารมณ์คนพวกนี้ต่อไป คนพวกนี้อาจขาดสติจนยากจะควบคุมได้

ต่อมาไม่นาน ทั่วปากเซียวเหยาก็กลับออกมา

เด็กสาวกระโดดโลดเต้นตรงมาทางเยี่ยฉวน เมื่อมาถึงก็รีบละล่ำละลักพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้เงินมาเท่าไร?”

ชายหนุ่มมองตามพลางสั่นหน้า

ทั่วปาเซียวเหยาจ้องหน้าเยี่ยฉวนตาไม่กระพริบพลางร้องเร่ง “เดาซิ เร็วเข้าลองเดาสิ!”

เยี่ยฉวนหน้าเหยจนด้วยเกล้า “ข้าจะเดาได้อย่างไร?”

เด็กสาวใช้มือตบป้าบลงบนบ่าของคนตรงหน้า จากนั้นก็ชูสามนิ้ว “ในนั้นมีเงินประมาณสามพันล้านเหรียญทอง นอกจากนั้นยังมีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณ 26 ล้านชิ้น! 26 ล้านเชียวนะ! และยังมีคัมภีร์ทักษะยุทธ์ขั้นสวรรค์อีกสี่เล่ม มีคัมภีร์พลังปราณขั้นสวรรค์สองเล่ม และคัมภีร์ทักษะยุทธ์ขั้นปฐพีอีกเพียบ! ยังไม่หมดนะในนั้นมีศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นสวรรค์อีกห้าชิ้น ศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสง 11 ชิ้น และสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณ 96 ชิ้น ด้วย!”

ขณะที่พูดพลางนางก้าวมาจนใกล้เยี่ยฉวน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมุมปาก “อะไรอีกรู้ไหม? เจ้าลองเดาสิ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ

เด็กสาวแบมือยื่นมาตรงหน้าเยี่ยฉวน บนฝ่ามือปรากฏศิลาจิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง

ซึ่งมิใช่ศิลาจิตวิญญาณธรรมดา ทว่าเป็นศิลาจิตวิญญาณขั้นประกายแสง!

ทั่วปาเซียวเหยายิ้มกว้าง “ศิลาจิตวิญญาณขั้นประกายแสง มีทั้งหมด 1,300 ชิ้น!”

จากนั้นคนพูดกระโจนเข้ามากอดเยี่ยฉวนไว้ทั้งตัว ไม่พอยังจูบที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มฟอด “พวกเราจะรวยแล้ว! เราจะเป็นเศรษฐีกันใหญ่! ฮ่ะฮ่ะ……”

เยี่ยฉวนยืนตัวแข็ง “……”

ในขณะเดียวกันบรรดาคนฉางมู่สีหน้าหมองคล้ำ บิดมุมปากด้วยความเคียดแค้น!

บัดนี้ทรัพย์สินของสถานศึกษาฉางมู่ได้ถูกเยี่ยฉวนและทั่วปาเซียวเหยาฉกฉวยไปจากพวกเขาจนเกลี้ยง!

คนที่ทำท่าลิงโลดดีใจได้ครู่เดียว เด็กสาวเหลือบมองมาทางเยี่ยฉวนทันควัน “เมื่อกี้ข้าเผลอจูบแก้มเจ้าใช่ไหม?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าดิกพลางรีบปฏิเสธเสียงระรัว “ปละ……เปล่า!”

ทั่วปาเซียวเหยาจ้องเขม็ง สายตาคาดคั้นเอาความจริง “ข้าจูบเจ้า! ใช่แน่!”

เยี่ยฉวนนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเขาหันไปหาอีกฝ่ายก่อนโน้มใบหน้าใช้ปลายจมูกแตะที่ข้างแก้มของทั่วปาเซียวเหยาอย่างแผ่วเบา “ได้ คราวนี้หายกันแล้ว!”

สาวน้อยสะดุ้งเฮือกปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง ครู่ต่อมานางค่อยยกมือเล็กๆ ขึ้นลูบข้างแก้มที่เยี่ยฉวนประทับรอยจูบเมื่อครู่ “เจ้าจูบข้า งั้นหรือ?”

อีกฝ่ายเหยียดมุมปากพลางพยักหน้า “เจ้าก็จูบข้าเหมือนกัน! เราจะได้หายกันไงล่ะ?”

ทั่วปาเซียวเหยานิ่วหน้าขณะทำท่าคิดตาม จากนั้นจึงผงกศีรษะ “ก็จริงของเจ้า!”

พลันคนพูดถามต่อทันทีขณะกวาดสายตาไปรอบๆ “พวกเราจะทำยังไงต่อไป?”

“ทำอย่างไรงั้นหรือ?”

เยี่ยฉวนยังมิทันคิดได้คำตอบ ศิษย์ฉางมู่รอบด้านเริ่มกระชับวงล้อมใกล้เข้ามาอีก

เด็กสาวใช้มือน้อยๆ ชี้ไปที่กลุ่มศิษย์ฉางมู่ ครู่ต่อมานางจึงหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “ข้านับดูแล้ว พวกมันมีคนแปดร้อย ข้าจัดการพวกมันได้แน่ๆ ราวสามร้อย ส่วนที่เหลือเจ้ารับไปห้าร้อยไหวไหม?”

ชายหนุ่มใช้ความคิดก่อนตอบให้ว่า “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version