Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 392


บทที่ 392 ใครใช้ให้พูด? (ต้น)

……

นางไม่กล้าปรากฏกาย?……

……

เยี่ยฉวนรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่ากลุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างอุปทูตฝ่ายซ้ายคนนั้นพลังกล้าแกร่งยิ่งสิ่งใด และแม้แต่คนอื่นๆ ความแกร่งกล้าของพวกเขาก็เหนือกว่าพลังของเยี่ยฉวนในตอนนี้แล้วทั้งนั้น……

..

แต่เขาประจักษ์ชัดแจ้งอยู่อย่างว่าเซียนกระบี่ภายในกายนั้นอาจจะกล้าแกร่งเหนือกว่าผู้ใด!

เยี่ยฉวนมิได้มีพยานหลักฐาน หากเป็นความหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นเองในจิตใจ!

ความตระหนักรู้บอกกับตนเองว่าครั้งนี้เซียนกระบี่มิได้พูดเล่น บางทีนางอาจทำลายล้างโลกมนุษย์ด้วยกระบี่ของนาง แม้จะฟังว่าน่าขบขัน ทว่าสำหรับเยี่ยฉวนแล้ว.เขาเชื่อคำกล่าวนั่น!

เซียนกระบี่ที่แท้แล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่?

เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์นางมีความแข็งแกร่งสักปานใด?

เยี่ยฉวนมีความกังขาในหลายสิ่งหลายอย่าง! แต่แม้เป็นเช่นนั้น หากแต่เขาก็เชื่อ!! เชื่อมั่นอย่างสุดใจว่านางสามารถทำได้ดั่งที่ปากว่า!

พลันนั้นเองเสียงอุปทูตฝ่ายซ้ายพูดขึ้นมาจากทิศทางตรงกันข้ามชายหนุ่ม “ว่ายังไง……เซียนกระบี่ผู้โด่งดังแท้ที่จริงก็ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้เองหรือ?”

สตรีลึกลับยังคงนิ่งเงียบอยู่นั่นเอง

น่าประหลาด!

เยี่ยฉวนนิ่วหน้าด้วยรู้ว่าสตรีลึกลับเป็นคนมีอารมณ์ร้อนขี้โมโห ตามปกตินางต้องออกมาแล้ว ทว่าตอนนี้นางกลับนิ่งเฉยต่อท่าทางเกรี้ยวกราดกับวาจาหยาบคายของอุปทูตฝ่ายซ้าย ท่าจะผิดปกติเสียแล้ว!

ชายหนุ่มทำท่าจะเอ่ยปาก พลันเสียงจากสตรีลึกลับดังขึ้นในหัวว่า “ข้าขอเวลาไตร่ตรองสักเดี๋ยว”

“ไตร่ตรองเรื่องอะไรขอรับ?” เขาถามออกไปตามสัญชาตญาณ

“ไตร่ตรองว่าจะใช้หนึ่งกระบี่ทำลายล้างโลกมนุษย์น่ะซี”

เยี่ยฉวนเม้มปากแน่น “……”

เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าสตรีลึกลับจะออกมาเสียที อุปทูตฝ่ายซ้ายแสดงท่าทางว่าใกล้จะสิ้นสุดความอดทน หากยังมิทันที่คนจะเอ่ยปาก ชายชราผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นมาในบริเวณ

คนมาใหม่สวมใส่ผ้าคลุมแต่งกายผืนใหญ่ เครายาวและผมเป็นสีขาวทั้งหมด

เมื่อเห็นถนัดตาถึงผู้มาเยือนคนใหม่ อุปทูตฝ่ายซ้ายชายกลางคนถึงกับสีหน้าสลดวูบ

ผู้ตรวจการเขตแดน!

บนโลกชิงฉางท่ามกลางสามดินแดนทวีป กองกำลังผู้พิทักษ์ที่มีความลึกลับน่าพิศวงก็คือผู้ตรวจการเขตแดน กองกำลังแห่งนี้จัดว่าเป็นที่สุดแห่งความลึกลับ อย่าว่าแต่สถานศึกษาฉางมู่ แม้แต่อภิมหาอำนาจในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่กล้ากระทำการให้เป็นที่ขัดเคืองต่อกองกำลังกลุ่มนี้

ด้วยพวกเขาทำหน้าที่ให้การอารักขาแผ่นดินทุกทวีป!

ชายชราที่เพิ่งมาถึงจ้องเขม็งไปยังอุปทูตฝ่ายซ้าย “ที่นี่มีคนมามากมาย พวกเจ้าต้องการจะทำลายแผ่นดินชิงให้ย่อยยับหรืออย่างไร?”

อีกฝ่ายเหยียดมุมปากยิ้มเฝื่อน “พวกเราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ที่มาวันนี้เพื่อจะสังหารเซียนกระบี่ ไม่ได้น่าหวั่นเกรงเลยขอรับ”

ชายชราพูดเมิน “ไม่ว่าพวกเจ้าจะฆ่าใคร แต่การที่พวกคนระดับล่างอย่างพวกเจ้ามาที่นี่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎอย่างร้ายแรง”

ชายวัยกลางคนอุปทูตฝ่ายซ้ายทำท่าลังเลชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจงอนิ้วมือและกดลงทันที ฉับพลันนั้นวงแหวนสัมภาระทะยานไปที่ชายชราคนมาใหม่ เสียงของอุปทูตฝ่ายซ้ายพูดดังว่า “โปรดรับไว้ด้วยขอรับใต้เท้า!”

ชายชราชำเลืองมองวงแหวนสัมภาระ ซึ่งภายในบรรจุอัญมณีสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับพันชิ้น!

เพชรน้ำค้างสีม่วง!

ของล้ำค่าซึ่งมีมูลค่ามหาศาล เพชรน้ำค้างสีม่วงนั้นมีมูลค่าเทียบได้กับสุดยอดศิลาจิตวิญญาณถึงแสนชิ้น ที่สำคัญเพชรน้ำค้างสีม่วงเป็นของล้ำค่าซึ่งยากที่ใครจะมีไว้ในครอบครอง ดังนั้นโดยทั่วไป แม้แต่ศิลาจิตวิญญาณจำนวนแสนชิ้น ก็ใช่ว่าจะสามารถนำไปแลกเป็นเพชรน้ำค้างสีม่วงชนิดนี้ได้!

สุดยอดศิลาจิตวิญญาณและหยกศิลาจิตวิญญาณเป็นของล้ำค่าที่เป็นที่ต้องการของผู้เยี่ยมยุทธ์ ซึ่งมีขั้นพลังต่ำกว่าผนึกยุทธ์มากกว่าที่พวกยอดยุทธ์หรือสูงกว่าผนึกยุทธ์ ในขณะที่เพชรน้ำค้างสีม่วงจะเป็นที่ต้องการของคนในขั้นสูงกว่าผนึกยุทธ์หรือสูงกว่าควบยุทธ์สะท้านภพ

คนผู้นี้ออกจะใจกว้างทีเดียวที่เสนอของล้ำค่าเพชรน้ำค้างสีม่วงถึงพันชิ้น!

ชายชรานิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายอุปทูตฝ่ายซ้าย “อย่าทำให้เอิกเกริกนักก็แล้วกัน”

จากนั้นจึงรีบเก็บงำวงแหวนสัมภาระอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันหลังกลับและหายลับไปที่เส้นขอบฟ้าไกลสุดสายตา

หลังจากผู้ตรวจการเขตแดนกลับออกไปแล้ว อุปทูตฝ่ายซ้ายจึงหันกลับมาที่เยี่ยฉวนอีกครั้ง “แน่ใจนะว่าอาจารย์ของเจ้าจะไม่ปรากฏกาย?”

เยี่ยฉวนตอบเสียงขรึม “อาจารย์ของข้าอยู่ระหว่างเดินทาง คอยอีกไม่นานเท่านั้น”

อีกฝ่ายนิ่วหน้าหัวคิ้วขมวดย่น “กำลังมา? มาจากไหน?”

ชายหนุ่มทำท่าชี้มือพลางตอบหน้าเฉย “เบื้องบนโน่น!”

คนอุปทูตฝ่ายซ้ายหันหลังพลางเหลือบมองสบตากับชายชราผิวเข้มทางด้านหลัง ชายชราผิวเข้มจึงว่า “อุปทูตฝ่ายซ้าย ท่านแน่ใจหรือว่าเซียนกระบี่สตรีไม่ได้มีผู้หนุนอยู่เบื้องหลัง?”

คนถูกถามผงกศรีษะอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง ก่อนที่ข้าจะมานี่สถานศึกษาฉางมู่ได้ส่งคนของหน่วยข่าวกรองออกไปสืบประวัตินางมาแล้ว ซึ่งไม่พบว่านางเกี่ยวข้องฝักใฝ่กับเหล่าอภิมหาอำนาจฝ่ายหนึ่งใด แม้แต่อภิมหาอำนาจในโลกแห่งอื่นก็ไม่มีข้อมูลของนาง ดังนั้นหน่วยข่าวกรองจึงลงความเห็นว่านางเป็นจอมยุทธ์ไร้สังกัด ไร้คนหนุนหลัง”

ชายชราสีหน้าเครียดถามเสียงเบา “ท่านรู้หรือไม่ว่านางมาจากไหน?”

อุปทูตฝ่ายซ้ายส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ อย่างไรก็ตามฉางมู่ได้สืบมาแล้วว่านางไม่เกี่ยวข้องกับอภิมหาอำนาจฝ่ายใดทั้งสิ้น และเป็นเซียนกระบี่สตรีธรรมดาบ้านๆ คนหนึ่ง ฉะนั้นนางจึงเป็นจอมยุทธ์ไร้สังกัด โดดเดี่ยว ไร้คนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”

ชายชราพยักหน้าอย่างพอใจ “เมื่อเป็นเช่นนั้นก็นับว่าดีมาก แต่ถึงแม้ว่านางจะมีคนสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ถ้าไม่ใช่อภิมหาอำนาจ พวกเราไม่เห็นจะต้องกลัว”

คนอุปทูตฝ่ายซ้านเหยียดมุมปาก “สบายใจได้ แค่เซียนกระบี่คนเดียว ไม่เห็นจะต้องกังวลใจสักนิด!”

จากนั้นผู้พูดเหลือบมองมาทางเยี่ยฉวนซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลกัน “ถ้าภายในครึ่งก้านธูปนี้นางยังไม่ออกมา ข้าจะเลาะเส้นเอ็นและถลกหนังของเจ้าเสีย จากนั้นจะนำศพไปเสียนประจานไว้หน้าประตูสถานศึกษาฉางมู่ และไม่เฉพาะเจ้าเท่านั้น บรรดาคนที่ใกล้ชิดก็จะไม่รอดชีวิตเช่นกัน ข้าจะแสดงให้โลกได้เห็นถึงผลลัพธ์แห่งการเป็นศัตรูกับฉางมู่!”

เยี่ยฉวนนิ่งเฉยมิได้ตอบโต้ถ้อยวาจาของอุปทูตฝ่ายซ้ายตรงหน้า สิ่งที่เขากำลังอยากรู้ในเวลานี้คือเหตุใดเซียนกระบี่สตรีจึงไม่เปิดเผยตัวเสียที?”

ขณะนั้นเสียงสตรีลึกลับดังก้องในหัวขึ้นว่า “ถ่วงเวลาไว้สักประเดี๋ยว!”

ชายหนุ่มบิดมุมปากยกยิ้ม “ท่านยังไตร่ตรองเรื่องทำลายล้างโลกมนุษย์อยู่อีกหรือขอรับ?”

เสียงตอบกลับอ่อนโยน “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าทำได้ล่ะซี?”

อีกฝ่ายตอบกลับในจิตใต้สำนึกทันควัน “มิได้ขอรับ ข้าเชื่อว่าท่านทำได้แน่ ด้วยความสามารถของท่านแผ่นดินชิงมีหวังพังพินาศภายในพริบตา อย่าว่าแต่แผ่นดินชิงเลย! เพียงแต่ข้าได้ยินพวกฉางมู่ใช้วาจายโสดูหมิ่นท่านเช่นนี้ ข้าเลยทนไม่ได้ขอรับ!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version