บทที่ 871 : พลังโลหิต! (ปลาย)
ใบหน้าของเทพราชันยามเอ่ยประโยคนี้ช่างอดสูนัก
เขาทราบระดับสายเลือดของตนเป็นอย่างดี สายเลือดที่เป็นถึงเทพราชันอันบริสุทธิ์ ทว่ากลับพ่ายต่อสายเลือดของเยี่ยฉวนจนถูกเขมือบเสียนี่…
เป็นความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
สายเลือดเทพราชันแพ้พ่ายเสียหมดรูป!
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกโมโหสักนิด ซ้ำยังพยายามช่วยชายหนุ่มอีก!
บุคคลผู้ครอบครองสายเลือดเช่นนี้ ย่อมมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเป็นแน่
เพื่อสำนักเซียนในยามนี้ เพื่อนอีกคนย่อมดีกว่าศัตรูอีกหนึ่ง!
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สีหน้าเยี่ยฉวนยิ่งเคร่งเครียดไปอีกหลายเท่าตัว
เนื่องจากค้นพบแล้วว่าทักษะเทพโลหิตน่าพรั่นพรึงเพียงใด!
ควบคุมหยาดโลหิต!
ทักษะเทพโลหิตไม่เพียงแต่ควบคุมเลือดเท่านั้น หากยังกลืนกินเลือดคนอื่นเพื่อหล่อเลี้ยงเลือดตนอีกด้วย
กล่าวคือ หากมีเลือดเพียงพอ พลังของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด!
กล่าวได้เลยว่าตราบใดที่ไล่ฆ่าฟัน……จะยังคงความสามารถนี้ไว้ได้ไม่เหน็ดเหนื่อย!
หรือนี่จะเป็นพลังแห่งอสูร?
เยี่ยฉวนรีบถาม “ศิษย์พี่ ทักษะเทพโลหิตคือพลังแห่งอสูรใช่หรือไม่?”
เทพราชันพยักหน้า “ในยามนั้น สำนักอื่นต่างเรียกวิชานี้ว่าพลังแห่งอสูร ตราบใดที่ยังเข่นฆ่าผู้คนไม่หยุด……ย่อมได้พลังแห่งโลหิตมาต่อเติมเรื่อยไป เช่นนั้นแล้วตามทฤษฎี เจ้าจะไม่มีวันล้ม แน่นอนว่าเงื่อนไขหลักคือมีเลือดสดๆ มากพอ”
เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ทว่าต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่ามีผลข้างเคียงอีกหนึ่ง หลังจากใช้ทักษะเลือดไปสักพัก เจ้าจะเข้าสู่ภาวะกระหายเลือด”
เยี่ยฉวนงงงวยนัก “ภาวะกระหายเลือดหรือ?”
เทพราชันอธิบาย “ในภาวะกระหายเลือด เลือดจะร้อนรุ่มและแข็งแกร่งขึ้นไปอีกสิบเท่า หากไม่ระวัง ร่างกายจะไม่สามารถรองรับพลังของเลือดเจ้าได้และล้มลงไปทันที อีกทั้งสติสัมปชัญญะอาจถูกความใคร่ในการสังหารกลืนกิน…”
เยี่ยฉวนหน้าหมองลง ทักษะนี้มีผลข้างเคียงใหญ่หลวงนัก!
เทพราชันพลันเอ่ยขึ้นมา “ถ้าไม่อยากเรียน จะล้มเลิกตอนนี้ก็ได้”
เยี่ยฉวนเงียบ
นั่นทักษะการควบคุมเลือดเชียว!
คิดได้ดังนั้น ความคิดบางอย่างพลันผุดขึ้นมา มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะเรียน มีเหตุอันใดให้ต้องปฏิเสธเล่า! ได้โปรดสอนข้าเถิดศิษย์พี่!”
เทพราชันมองเยี่ยฉวนแล้วจึงพยักหน้า “ผ่อนลมหายใจก่อน…”
หลังจากนั้น เยี่ยฉวนค่อยๆ เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน
…
ภายในห้องลับ
อาหลิงไม่ได้ไล่ตามบัลลังก์เทพราชันอีกแล้ว
เด็กหญิงเหนื่อยนัก!
อาหลิงนั่งหอบอยู่มุมห้องพร้อมกระบี่ในมือ ทว่ากลับจ้องบัลลังก์เทพราชันซึ่งอยู่ห่างออกไปด้วยสายตาวาวโรจน์
บัลลังก์เทพราชันอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
มันคือสมบัติแห่งเต๋า ทว่าสัญชาตญาณร่ำร้องอยู่ตลอดว่ากระบี่นั้นอันตรายนัก! หากโดนเฉือนขึ้นมา……คงกลายเป็นสิ่งน่าสังเวชเป็นแน่!
ทันใดนั้น อาหลิงนำกองผลไม้วิเศษออกมาแล้วเริ่มรับประทาน
ไม่นานนัก นางกลับมามีกำลังวังชาอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าใส่บัลลังก์เทพราชันด้วยกระบี่ในมือ…
ข้างนอกห้องลับ
เหลียนว่านเอ๋อร์มองบัลลังก์เทพราชันในห้อง ไม่อาจทราบได้เลยว่านางกำลังขบคิดสิ่งใด
ครู่ต่อมา ปรากฏกลุ่มคนพลันเดินเข้าหานาง
หญิงสาวหันไปมอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ยามเห็นแขกผู้มาเยือน
คนเดินนำคือชายแก่สวมผ้าคลุมกว้าง สายตาช่างเย็นชานัก ไม่มีความเป็นมิตรอยู่เลยแม้แต่น้อย
เขาเดินไปหาเหลียนว่านเอ๋อร์พร้อมกับทำความเคารพให้เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านยอดฝีมือโม่!”
ยอดฝีมือโม่ คือผู้อาวุโสซึ่งมีความสามารถถ่ายโอนทักษะประจำสำนักเซียนนี้ เขามียศสูงยิ่งในสำนักเซียน
ชายแก่มองเหลียนว่านเอ๋อร์อย่างเย็นชา “ข้าได้ยินว่าเจ้ายอมให้มนุษย์เข้ามาในห้องลับนี้”
เหลียนว่านเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ”
สายตาของยอดฝีมือโม่แปรเป็นเย็นยะเยือก “เจ้าจะส่งมอบบัลลังก์เทพราชันแก่มนุษย์อย่างนั้นหรือ?”
เหลียนว่านเอ๋อร์กำลังจะตอบ ทว่าชายแก่ตะคอกขึ้นมา “บ้าไปแล้วหรือ? บัลลังก์เทพราชันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดแห่งสำนักเซียน เจ้ากล้าส่งมันให้คนนอก…”
เขาต่อว่าพลางส่งคนกลุ่มนั้นเข้าไปในห้องลับซึ่งอาหลิงกำลังไล่สับบัลลังก์เทพราชันอยู่ นางหยุดกึกพลางมองคนที่เข้ามา……ความหวาดกลัวตีขึ้นมาเล็กน้อย
นางค่อนข้างจะกลัวมนุษย์
เนื่องจากมนุษย์เคยรังแกนางครั้งเมื่อยังอยู่ในดินแดนชิงฉาง
แต่ครั้งนั้นนางยังไม่ทราบว่าตนมีทักษะการต่อสู้
อาหลิงหายวับไปยังมุมห้องพร้อมกระบี่
ยอดฝีมือโม่มองมายังอาหลิงด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เจ้าเป็นใคร”
อาหลิงหยิบผลไม้วิเศษออกมาแทะ แม้จะดูใจเย็นจากภายนอก ทว่าความจริงกำลังสั่นกลัว!
เมื่อพบว่าเด็กไม่เอ่ยตอบสิ่งใด ยอดฝีมือโม่จึงโบกมือขวาเบาๆ “คุมตัวนางเอาไว้!”
ทันทีที่ออกคำสั่ง สองทหารอารักขาย่างสามขุมไปยังอาหลิงทันที
ในสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปพลันหลับตาปี๋ กระชับกระบี่ในมือแน่น แล้วเริ่มกวัดแกว่งฟันกระบี่โดยไร้ทิศทาง…
ไม่ทันไร สถานที่แห่งนี้กลับเงียบลง
ทุกคนมองไปยังทหารทั้งสองซึ่งสลายไปต่อหน้า
ชายเฒ่ามองอาหลิงด้วยความตะลึง “เจ้า…”
อาหลิงน้อยแอบเปิดตามองแล้วตกใจเช่นกันเมื่อเห็นเศษซากศพต่อหน้า “ตายแล้วเหรอ?”
ทุกคน “……”
อาหลิงมองกระบี่ในมือ สายตาเลื่อนไปยังยอดฝีมือโม่และคนอื่นๆ ด้วยความรู้สึกสับสน “ข้าสังหารพวกเขาไปหรือ?”
ทุกคน “……”
ตอนนั้นเอง อาหลิงพึมพำขึ้นมา “อ่อนแอกันขนาดนี้เลย?”
ไม่ไกลนัก มุมปากของเหลียนว่านเอ๋อร์และคนอื่นต่างกระตุกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย…
อาหลิงเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง นางชี้คมกระบี่ไปทางชายเฒ่า “เจ้า! เจ้าจะไม่รังแกข้าใช่ไหม”
ยอดฝีมือโม่หรี่ตา ก่อนจะหายวับไป
เด็กหญิงหน้าซีด รีบหลับตาปี๋แล้วเหวี่ยงฟันกระบี่ออกไป
ตูม!
รอบด้านพลันล้มครืนด้วยแรงฟันครั้งนั้น และห้องลับกลับสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง
ในขณะเดียวกัน ยอดฝีมือโม่ที่อยู่ข้างหน้าอาหลิงนั้นถูกปัดให้ถอยไปด้านหลังเกือบสามสิบจั้ง!
ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด!
อาหลิงสับสนไม่แพ้กัน ทว่าไม่นานนักกลับกระโดดโลดเต้น “กลายเป็นว่ามนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนี้เองสินะ ฮ่า ฮ่า!”
ห่างออกไปไม่ไกล เจ้าสุนัขอสูรมองเด็กตัวจ้อยพลางส่ายหัว
ความจริงแล้ว อาหลิงแข็งแกร่งมาก แต่ไม่เคยทราบพลังของตัวเองเลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับกระบี่นั่นแทบจะไม่มีอะไรหยุดยั้งได้!
การเพิ่มพลังในการต่อสู้ของกระบี่เล่มนั้นน่าหวาดผวาเกินไปแล้ว!
น่าเสียดายที่เยี่ยฉวนไม่อาจใช้มันได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว……คงไร้เทียมทานมากกว่านี้เป็นแน่!
มันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอาหลิงถึงใช้ได้ หากแต่เยี่ยสวนไม่สามารถ…
ในห้องลับนี้ ความหวาดกลัวผุดขึ้นในสายตาของขุมอำนาจแห่งสำนักเซียนบ้างแล้ว
หวั่นเกรง!
พวกเขาต่างหวั่นเกรง!
ทุกคนหันไปทางยอดฝีมือโม่ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ กายหยาบของเขากำลังสลายลงไปทีละน้อย ไม่นานนักเหลือเพียงวิญญาณ! วิญญาณนี้ช่างดูลวงตานักราวกับจะหายไปได้ทุกเวลา!
ชายเฒ่ามองเด็กหญิงตัวจ้อยด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เจ้า…”
อาหลิงกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง นัยน์ตาเป็นประกายยิ่ง นางรีบหันไปอีกทางแล้วนำกล่องใบเล็กออกมา หญิงสาวเปิดมันออกก่อนจะพึมพำเบาๆเพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน
สุนัขอสูรอยากรู้อยากเห็นจึงลอบฟัง
“อะ… อื้อ… ผลไม้วิเศษเชื่อมอร่อยจัง… ชั้นเจ็ดหรือ? สมบัติ… ข้าเข้าไปไม่ได้น่ะสิ… เจ้าอยากออกมาเล่นหรือ? เขาฆ่าคนหรือ? ใครกัน…?”
สุนัขอสูร “……”
