ตอนที่ 11 ขอใต้เท้าโปรดให้ข้าได้แก้ต่าง
เมื่อมีเสียงทักทายจากคนคุ้นเคย หลิวซินหย่งก็จะแค่นรับคำเท่านั้น ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หวังทงเงยหน้าขึ้น ครานี้สองฝ่ายต่างปะทะสายตากันอย่างมึนตึง
หลิวซินหย่งบนหลังม้ามองมายังหวังทงที่ประสานสายตาอย่างไม่เกรงกลัว ในใจก็แค่นยิ้ม อีกเดี๋ยวจะปลดเจ้าซะจะให้เจ้ารู้ความร้ายกาจของข้าเสียบ้าง
เจ้ากั๋วต้งที่ตามมาด้านหลังนั้น พอสายตาปะทะกับหวังทงก็กลัวจนลนลานก้มหน้าลง เจ้านี่มันบ้าดีเดือดเกินไป ไม่กลัวไม่ได้!
ได้ยินเสียงประตูเปิด มีคนตะโกนขึ้นมาหนึ่งเสียง ผู้คนทั้งหลายต่างเงียบเสียงลงในทันที นายกองร้อยเถียนหรงหาวแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรเดินออกมาทางประตู ทุกคนก็โค้งคำนับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“คารวะใต้เท้า อรุณสวัสดิ์ใต้เท้า”
สายตานายกองร้อยเถียนครั้งนี้ไปหยุดอยู่ที่หวังทงนานอยู่สักหน่อย จากนั้นก็มองจมูกที่ช้ำใบหน้าบวมปูด บนหน้ายังมีผ้าพันแผลอยู่ของเจ้ากั๋วต้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห ในใจคิดว่าหวังทงอายุน้อย ช่างไม่รู้จักธรรมเนียม หรือว่าเจ้าคิดว่าทองหนึ่งร้อยกว่าตำลึงนั่นจะทำให้ทำอะไรตามอำเภอใจได้ น้ำใจก็ได้ชดเชยให้เจ้าไปหมดแล้ว เจ้าเองไม่รู้ความ ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติ ก็อย่าโทษผู้อื่นว่าไม่ไว้น้ำใจ
ทุกคนเงยหน้าขึ้น เถียนหรงหาวเอ่ยขึ้นอย่างเยียบเย็นว่า
“เมื่อวานได้ยินมาว่ากองร้อยของเราไปแสดงละครอยู่บนถนนทักษิณนั่น และละครฉากนี้ยอดเยี่ยมมาก ผู้ใดรู้บ้างว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?”
“ใต้เท้าขอรับ เมื่อวานนี้พลทหารหวังทงลงมือกับนายกองธงเล็กเจ้ากั๋วต้งต่อหน้าผู้คนจนบาดเจ็บหลายแห่งและยังก่อเรื่องกลางตลาดตอนกำลังคึกคัก ผู้คนไปมาต่างก็เห็น เมื่อวานเมืองหลวงทุกที่ต่างก็คุยกันเรื่องนี้ไปทั่ว ใต้เท้า พฤติกรรมมุทะลุของหวังทงไร้ธรรมเนียมเช่นนี้ เท่ากับทำลายความสามัคคีของกองร้อยเรา มิอาจปล่อยให้อยู่ในกองร้อยของพวกเราต่อไปได้ขอรับ”
ผู้กล่าวคำพูดนี้ก็คือนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ต้องการผดุงคุณธรรมหากเพราะท่าทางปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิงของเขาทำให้ผลลัพธ์ลดลงไปมาก ทว่านายกองร้อยเถียนสอบถามนั้นก็เพื่อรอนายกองธงใหญ่ผู้นี้รับคำต่อ ใบหน้าเถียนหรงหาวเย็นเยียบขึ้นทันที โมโหขึ้นเสียงดังว่า
“หวังทง เห็นแก่บิดาเจ้าที่จากไป จึงได้ให้เจ้าเข้าสังกัดองครักษ์เสื้อแพร ไยเข้ามาไม่ถึงสองวันก็ลงมือทำร้ายรุ่นพี่กลางถนน นักเลงโตลืมตัวถึงขั้นนี้ หากเจ้ายังสังกัดอยู่กับองครักษ์เสื้อแพรของเรา ไม่ช้าไม่นานก็คงต้องก่อเรื่องก่อราวใหญ่โตเป็นแน่ หวังทง ที่นายกองหลิวพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่?”
ใบหน้านายกองร้อยเถียนทมึงทึง หวังทงฟังแล้วก็พอเข้าใจ คำพูดนี้ก็เหมือนกับได้ตัดสินโทษของตนแล้ว อันดับถัดมาก็คงจะอยู่ในขั้นตอนการไล่ออก แต่เรื่องถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรก็คงต้องสู้กันสักครา ไม่อาจยอมรับไปเช่นนี้ได้ หวังทง ประสานมือก้มตัวลงต่ำกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ใต้เท้า เรื่องนี้มีสาเหตุอื่น ข้าน้อยจะแก้ต่างให้ตัวเองได้หรือไม่”
บรรดาผู้ชมส่วนใหญ่ที่ยืนดูละครฉากนี้มาโดยตลอดก็ส่งเสียงระงมขึ้นในใจ ล้วนแต่คิดว่าหวังทงยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเรื่องราวเลยจริงๆ เรื่องที่ตอกฝาโลงปิดตายไปแล้ว ยังจะมีที่ให้เจ้าได้แก้ต่างอีกหรือ ช่างน่าขันยิ่งนัก!
เถียนหรงหาวยิ่งโมโหมากขึ้น ปลดเจ้าออกก็นับว่าลงโทษสถานเบาแล้ว ยังคิดจะแก้ต่างอันใดอีก หากเอาจริงเอาจังกันขึ้นมา องครักษ์เสื้อแพรเองก็มีกฎระเบียบลงโทษคนกันเองเช่นกัน หรือว่าหวังทงเจ้าต้องการจะลองของให้ได้เช่นนั้นหรือ
พลทหารตัวเล็กๆ ใครอยากจะฟังเจ้าแก้ต่างกัน นายกองร้อยเถียนยังไม่ทันเอ่ยปากพูด นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก็เสียงดังขึ้นด้วยความโมโหว่า
“เจ้าบัดซบ ก่อเรื่องขนาดนี้ ยังจะแก้ต่างอะไรให้ตัวเองอีก ส่งไปสำนักองครักษ์โบยด้วยไม้ดำสักหน่อยแล้วค่อยแก้ต่างละกัน!!”
การลงโทษภายในของกององครักษ์เสื้อแพรจะใช้ท่อนไม้สีดำมันเงาลงทัณฑ์ หลังจากลงทัณฑ์ไปยกหนึ่งแล้ว หากตายไปหรือพิการไปก็ไม่เสียดาย เพียงแต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่านั้น
หวังทงถอนหายใจยืดตัวขึ้น สถานการณ์ไม่มีทางแก้ไขกลับคืนมาได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดก็คือบัณฑิตแก้แค้นสิบปีไม่สาย พวกเราไว้เจอกันวันหน้าแล้วกัน
เถียนหรงหาวยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูจวนของตนเอง ยืนอยู่ที่สูงเพื่อยืมใช้เป็นเวที ตอนออกมา ประตูจวนด้านหลังก็ยังเปิดอยู่ หลิวซินหย่งโมโหตวาดจบ ก็คิดจะลงทัณฑ์ หากในตอนนั้นเอง ก็มีเด็กรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากในจวน เด็กรับใช้ผู้นี้อายุราว 10 กว่าปี มาหยุดอยู่ด้านหลังของเถียนหรงหาว ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร นายกองร้อยเถียนหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจและถามเสียงเบาๆ เช่นกัน จากนั้นก็มองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคน หลิวหย่งซินทางนั้นกำลังจะด่าต่อ ก็ได้ยินเสียงกระแอมไอขอนายกองร้อยเถียนดังขึ้น พอกระแอมไอเสร็จ ก็พูดเสียงดังกังวานว่า
“เหลวไหล ที่นี่เป็นที่ให้เจ้าพูดอย่างนั้นหรือ หากแต่ลงโทษเจ้าเช่นนี้ เด็กน้อยอย่างเจ้าในใจก็คงไม่ยินยอม เช่นนั้นก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ลองว่ามาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
นายกองร้อยเถียนพูดด้วยความโกรธ แต่พอพูดจบ เสียงพลันเงียบลง ทุกคนล้วนตกใจ อะไรกัน ให้เจ้านี่ได้แก้ต่าง
เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ทำลายสถานการณ์น่าอึดอัดนี่ลง
เจ้ากั๋วต้งเห็นนายกองหลิวซินหย่งด่าเสียงดัง ก็คิดว่าหวังทงเป็นพวกอารมณ์ร้อน หากยังต่อปากต่อคำต่อ ตนก็จะสามารถลงมือได้อย่างชอบธรรม จึงชักดาบปักวสันต์ออกมา สิ่งที่ได้รับไปเมื่อวาน วันนี้จะต้องคืนกลับไปให้หมด
คิดไม่ถึงว่าใต้เท้านายกองร้อยจะพูดประโยคนี้ออกมา พอได้สติ ดาบในมือก็ร่วงลงกับพื้น
ในใจหวังทงรู้สึกยินดี แต่ความตกใจมีมากกว่า สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ช่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ สามารถมองเห็นด้านหลังของนายกองร้อยเถียน แต่ที่นั่นไม่มีใครสักคนเดียว
โอกาสที่จะได้พลิกฟื้นคดีนี้ หวังทงจะปล่อยให้หลุดไปได้อย่างไร จึงประสานมือก้มตัวลงอย่างอ่อนน้อมที่สุด กล่าวขึ้นเสียงดังว่า
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา ข้าน้อยเมื่อวานตอนกลางวันกลับไป…”
หากจะให้กล่าวเรื่องราวให้ชัดเจน และต้องพรรณนาสถานการณ์ให้ประทับใจ ในยุคนี้เกรงว่าน้อยมากที่จะมีใครเทียบกับหวังทงได้ ในยุคปัจจุบันอาชีพที่หวังทงทำอยู่นั้นก็คือการฝึกฝีปาก มีฝีปากและลีลาประพันธ์เป็นเลิศ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่เป็นระบบว่าจะไปเผชิญหน้ากับการตลาดอย่างไร
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ทุกคน เกรงว่านอกจากเจ้าตัวแล้ว คงไม่มีใครรู้เรื่องราวอย่างละเอียด ทุกคนก็ล้วนว่ารู้แต่ว่าหวังทงที่มาใหม่ลงมือกับเจ้ากั๋วต้งกลางถนน คนใหม่ลงมือกับคนเก่าที่มีตำแหน่งสูงกว่า ไม่มีเกรงกลัวผู้ใด ทำลายธรรมเนียมสิ้น แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้ลงมือทำร้ายผู้อื่น
หวังทงเล่าได้ออกรสออกชาติ รายละเอียดในจุดสำคัญก็เติมข้อมูลใส่สีตีไข่ องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่เบื้องหน้าพอได้ฟังว่าเหยียบย่ำขนมเปี๊ยะของหญิงชรา เล่าถึงตอนหวังทงลงมือก็ถึงกับมีคนร้องเชียร์ขึ้นเบาๆ
รอจนเจ้ากั๋วต้งเดินลงมากระไดมาใช้ขาถีบหญิงชราผู้นั้นไปทีหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรวัยกลางคนผู้หนึ่งก็อดไม่ได้ชี้หน้าด่าเจ้ากั๋วต้งว่า
“ไอ้ลูกหมาบัดซบ ถนนทักษิณทุกวันใส่กระเป๋าเจ้าไปตั้งเท่าไร หญิงชราขายขนมเปี๊ยะเจ้ายังกล้าลงมือ!”
คนอื่นแม้ว่าไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นนี้ แต่เห็นสายตาที่มองไปยังเจ้ากั๋วต้งนั้นเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน องครักษ์เสื้อแพรมีอำนาจน่าเกรงขามเป็นเรื่องจริง แต่เจ้าแสดงอำนาจกับคนแก่ขายขนมเปี๊ยะไปเพื่อประโยชน์อันใด มันช่างทำให้ผู้คนดูแคลนเสียจริง หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนรอบข้างจะมองอย่างไร ผู้ร่วมสังกัดเดียวกับเจ้าจะไม่พลอยถูกหัวเราะเยาะไปด้วยหรือ
หลิวซินหย่งใบหน้าดำคล้ำลง เจ้ากั๋วต้งกลับรู้สึกกลัวลนลานขึ้นมา เพียงครู่เดียว เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นพุ่งมาหาตนเองแทน เมื่อวานตอนอยู่ในร้านน้ำชาได้ยินเสียงตะโกนขายขนมเปี๊ยะก็รู้สึกรำคาญใจ จึงให้คนของตนออกไปขับไล่ ก็แค่หญิงแก่ที่เหมือนกับมดปลวกเท่านั้น ใครจะไปสนใจ กลับถูกหวังทงทำร้าย คิดว่าวันนี้เล่าแล้ว เจ้านายก็จะลงมือไล่ หวังทงออก ถึงตอนนั้นก็จะสังหารเจ้าหวังทงซะ แล้วก็จะร่วมกับนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งฮุบเอาสมบัติของมัน แผนการณ์นี้ไร้ช่องโหว่ แต่พริบตาเดียวใต้เท้าเถียนกลับให้เจ้านี่ได้แก้ต่าง
พอพูดจบ สายตาของผู้ร่วมสังกัดที่มองมาท่าทางไม่ถูกต้องนัก ที่ด่าเสียงดังอยู่นั้นก็ล่วงเกินไม่ได้ ความหวังเดียวที่เหลือก็คือขอให้ใต้เท้าเถียนจัดการให้