Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 12

ตอนที่ 12 คดีพลิก

พอหวังทงเล่าจบก็โค้งคำนับถอยหลังกลับเข้ามุม นายกองร้อยเถียนมีสีหน้าเรียบเฉย มองหวังทงอธิบายเรื่องราวแก้ต่างให้ตัวเองอย่างสุขุมกับเจ้ากั๋วต้งที่ลนลานอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ในใจพลันคิดว่า ถนนทักษิณมีร้านค้าหลายร้านเป็นการค้าของบรรดาใต้เท้าเบื้องบนเหล่านั้น เจ้ากั๋วต้งวางอำนาจบาตรใหญ่ที่นั่น ไม่ทำให้ข้าต้องพลอยแปดเปื้อนไปด้วยหรอกหรือ ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดหลิวซินหย่งจึงปล่อยให้เจ้าไปประจำการอยู่ที่นั่น ไม่ช้าคงได้ก่อเรื่องก่อราวเป็นแน่

มองไปทางหวังทงที่มีท่าทีนิ่งสงบอยู่นั้น ความโกรธในใจของนายกองร้อยเถียนก็พลันหายไป เจ้านี่อายุยังน้อยแต่เป็นผู้ใหญ่ มีอนาคตไกล

“หลี่เหวินหย่วน นี่ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าจะมาโหวกเหวก!”

นายกองร้อยเถียนตวาดใส่ชายวัยกลางคนผู้นั้นประโยคหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเสียงเย็นเยียบว่า

“นายกองหลิว หวังทงตอนนี้ดำรงตำแหน่งใด?”

หลิวหย่งซินอึ้งไป ในใจพลันคิดว่า เพราะทีแรกที่ห้องโถงไว้ทุกข์ หวังทงมอบเงินตำลึงให้แก่นายกองร้อยเถียน ตอนจัดสรรตำแหน่งยังแอบเลียบเคียงถามนายกองร้อยเถียนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน จึงได้จัดงานที่ไม่มีอะไรจะทำให้ไป สถานการณ์เช่นนี้รู้สึกไม่ถูกต้องนัก แต่ยังเอ่ยตอบไปว่า

“หวังทงอายุยังน้อย ตอนนี้ให้เฝ้าฐานเตรียมพร้อม”

นายกองร้อยเถียนพยักหน้ารับ สีหน้ายังคงเป็นเช่นเดิม กล่าวเสียงเรียบขึ้นว่า

“อายุน้อยใจร้อน ที่นั่นว่างๆ ก็จะก่อเรื่องได้ง่าย หางานให้เขาทำน่าจะดีกว่า นายกองหลิว ถนนทักษิณนั่นเจ้ากั๋วต้งคงดูแลไม่ไหว ให้หวังทงไปดูแลแทน จางซื่อเฉียงเมื่อก่อนเคยติดตามหวังลี่ ตอนนี้ก็ให้ไปติดตามหวังทงแล้วกัน!”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ใครก็คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ สีหน้าเจ้ากั๋วต้งซีดขาวลงทันที รีบวิ่งไปตรงหน้าหลิวซินหย่งอย่างไม่สนใจว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ขอร้องเสียงดังว่า

“นายกอง…”

พูดได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกหลิวซินหย่งถลึงตาไล่ให้กลับไป นายกองร้อยเถียนไม่สนใจการกระทำนี้ ประกาศเสียงก้องดังขึ้นว่า

“พี่น้องทุกคนปฏิบัติงานอยู่ข้างนอกจะต้องระมัดระวังภาพลักษณ์ อย่าได้ทำลายชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรเราให้ผู้คนหัวเราะเยาะ วันนี้ทุกอย่างเหมือนเดิม พรุ่งนี้อย่ามาสาย”

ผู้ใต้บังคับบัญชาพากันตอบรับเสียงดัง

หลิวซินหย่งใบหน้าบึ้งตึง ถึงกับไม่โค้งคำนับและขึ้นม้าจากไป เจ้ากั๋วต้งไม่กล้าอยู่ต่อ ได้แต่รีบตามไปติดๆ

เถียนหรงหาวขี่ม้ามุ่งไปทางเขตปัจจิม เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่เหลือไม่ได้จากไปในทันที เรื่องเล่าของหวังทงเช้านี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากบรรดาผู้ร่วมกองร้อย

ก่อนจะแยกย้ายกันไป หลายคนที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างก็เดินเข้ามาตบบ่าแสดงความยินดี เมื่อวานตอนเช้าหวังทงได้ยินจางซื่อเฉียงกล่าวว่าผู้ใต้บังคับบัญชานายกองร้อยเถียนหากได้ประจำการบนถนนทักษิณนั้นนับว่าเป็นตำแหน่งงานที่มีผลประโยชน์ที่สุด จะว่าไปสิ่งที่หวังทงทำนั้นก็เป็นการช่วยผู้อื่นให้ได้ระบายอารมณ์ ทำให้รู้สึกสะใจจริงๆ

หวังทงตอบรับด้วยความสุภาพ ตนเองนั้นก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่ ไม่รู้ว่าโอกาสพลิกคดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่าน้ำใจจากเงินตำลึงเหล่านั้น แต่มันสมเหตุสมผลพอหรือ?

ไม่ว่าอย่างไรผลที่เกิดขึ้นก็ห่างไกลจากที่ตนเองคาดไว้มาก รอให้ผู้คนทยอยแยกย้ายกันไป หวังทงเห็นจางซื่อเฉียงที่ยืนสำรวมอยู่ ก็ถอนหายใจยิ้มกล่าวว่า

“พี่จาง วันหน้าโปรดช่วยแนะนำ”

จางซื่อเฉียงยืนกุมมือนิ่ง ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย กล่าวขึ้นด้วยความนอบน้อมว่า

“แล้วแต่ท่านสั่งการ”

เลิกแถวรายงานตัวแล้ว ก็มีผู้ติดตามของนายกองร้อยเถียนพาหวังทงไปยังถนนทักษิณพบปะกับบรรดาร้านค้าต่างๆ

หลังจากเมื่อวานลงมือกับเจ้ากั๋วต้งไป หวังทงก็ได้สร้างความประทับใจที่ดีขึ้นในใจของบรรดาร้านค้าต่างๆ ทุกคนคิดว่าคนผู้นี้คงดำรงตำแหน่งไม่นาน การต้อนรับในตอนเช้านั้นเป็นเพียงแค่การแสดงมารยาท

คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงแค่หนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น องครักษ์น้อยผู้นี้กลับมาประจำการบนถนนสายนี้แล้ว นั่นก็เหมือนกับผลพลอยได้ ท่าทีกระตือรือร้นต้อนรับอย่างอบอุ่นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น

กล่าวกันว่าหวังทงกับเจ้ากั๋วต้งจะร่วมกันประจำการบนถนนทักษิณ แต่เมื่อได้ผ่านการประลองกำลังเมื่อวานนี้แล้ว ใครสายอ่อนสายแข็งก็รู้ได้ทันที ทุกคนย่อมรู้ได้เองว่าผู้ใดคือตัวจริง

ข่าวคราวในแวดวงร้านค้าต่างๆ ก็ฉับไวยิ่งนัก ตอนเช้าไปรายงานตัว ท่าทีที่เปลี่ยนไปและการตบรางวัลให้แก่หวังทงเช่นนี้ของนายกองร้อยเถียน ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้อาจจะมีผู้มีบารมีหนุนหลัง มิฉะนั้นการลงมือรุนแรงเช่นนี้ จะมีผลตอบแทนที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร

การต้อนรับในตอนเช้ายังอยู่ในขอบเขตที่หวังทงพอจะยอมรับได้ แต่การต้อนรับอย่างอบอุ่นในขณะนี้ ทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง หากอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธคนที่เข้ามายินดีได้ จึงได้แต่ประสานมือขอบคุณไม่หยุด

จางซื่อเฉียงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาติดตามอยู่ด้านหลัง เมื่อวานนี้ยังทำท่าทีเป็นรุ่นพี่ใส่หวังทง แต่วันนี้เป็นผู้น้อยเต็มตัวเลยทีเดียว

“ใต้เท้าหวัง วันนี้แวะร้านข้าน้อยชิมอาหารจานเด็ดของภัตตาคารสักหน่อยเถอะขอรับ”

“ใต้เท้าหวัง เมื่อวานมีอาหารสดใหม่มาจากนอกเมือง มาลองชิมความสดใหม่ไหมขอรับ…”

“…ใต้เท้าหวัง ที่จวนยังขาดเหลืออะไรอีกไหมขอรับ ข้าน้อยจะส่งคนไปจัดการให้…”

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หวังทงก็ถูกบรรดาพ่อค้ารุมล้อม ด้านนอกก็ยังมีบรรดาลูกค้าผู้ว่างงานมองมาทางคนเยอะนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรสวมชุดมัจฉาเวหา ก็หันไปถ่มน้ำลาย คิดในใจว่าคนเหล่านี้วางอำนาจบัตรใหญ่รังแกผู้คนอีกแล้วล่ะสิ ปากก็ด่าขึ้นเบาๆ ว่า

“ไอ้พวกสุนัขสูบเลือดสูบเนื้อ…”

ใครจะไปคิดว่าคำพูดนี้จะมีคนผ่านมาได้ยินพอดี ก็อดไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อวานที่หวังทงทำลงไปให้ฟัง พอได้ฟังดังนั้นก็ทำให้ผู้คนเคารพนับถืออย่างเต็มใจ ผู้ที่เพิ่งด่าไปเมื่อสักครู่ก็อดไม่ได้ต้องยกนิ้วให้พลางกล่าวชื่นชมประโยคหนึ่งว่า

“ผู้กล้าผดุงคุณธรรม!!”

ได้งานชิ้นนี้มาทำอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ หากได้งานมาแล้วก็ต้องทำให้ดี หวังทงเดินคิดว่าตอนกลางวันจะหาสถานที่ดื่มกับจางซื่อเฉียงสักจอกสองจอกเพื่อวางแผนงานกันสักหน่อย

ครั้นพอเห็นบรรดาพ่อค้าเหล่านี้แสดงมารยาทเช่นนี้ การคุยธุระในหอสุราเกรงว่าจะไม่สะดวกเสียแล้ว วันแรกดีไม่ดีก็คงจะต้องสูญไปเสียเปล่าเพราะการต้อนรับขับสู้นี้ หากวันหน้ายังอีกยาวไกล ค่อยเป็นค่อยไปละกัน

ขณะกำลังคิดอยู่นั้น รอบนอกก็มีคนตะโกนดังแว่วเข้ามาว่า

“ท่านนี้ก็คือหัวหน้าหน่วยที่มาใหม่ ใต้เท้าหวังทงใช่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ บรรดาพ่อค้าที่รุมล้อมหวังทงอย่างกระตือรือร้นเหล่านั้นก็พากันเปิดทางให้อย่างอัตโนมัติ ชายสวมชุดสีครามปักดิ้นทองผู้หนึ่งยิ้มเดินนำเข้ามา

ชายผู้นี้สูงกว่าหวังทงราวครึ่งช่วงศีรษะ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ อากาศหนาวเช่นนี้ยังเปิดศีรษะล้าน เคราสองข้างก็เล็มอย่างเป็นระเบียบ เบื้องหลังยังมีชายชุดดำติดตามอยู่อีกสองคน เมื่อชายผู้นี้เดินเข้ามา ท่าทางแลดูมีบารมีน่าเกรงขาม ไม่เบา

หวังทงสังเกตท่าทีคนผู้นี้ที่มีต่อตนเองนั้นเท่าเทียมกัน ยังถึงกับมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่การต้อนรับอย่างเช่นบรรดาพ่อค้าบนถนนเหล่านี้ การแต่งกายเช่นนี้ก็ไม่ใช่คนที่เป็นขุนนาง ตอนที่กำลังคิดปวดหัวอยู่นั่น ชายผู้นั้นก็แนะนำตัวเองเสียงดังว่า

“ข้าน้อยเหอจินอิ๋น พ่อบ้านหอรวมคุณธรรม ขอคารวะ”

หอรวมคุณธรรม หวังทงตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติขึ้นมา นั่นมันบ่อนการพนันกลางถนนทักษิณใช่หรือไม่ ตอนที่หวังลี่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยให้เขาย่างกรายเข้าใกล้ แม้ว่าเดินผ่านก็ต้องเดินอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยคุ้นเท่าไร

อีกฝ่ายเพียงแค่ประสานมือ ท่าทีไม่อาจกล่าวได้ว่าสุภาพ ก็แค่การทักทายเท่านั้น หากหวังทงก็ไม่กล้าเย็นชาใส่ ท่าทีของอีกฝ่ายก็ชัดเจนแล้วว่าต้องมีผู้หนุนหลังที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความระมัดระวัง ดังนั้นจึงประสานมือตอบกลับ

เหอจินอิ๋นผู้นั้นยิ้มพลางลูบศีรษะล้านของตนเองกล่าวว่า

“ใต้เท้ามีเวลาก็มาพักผ่อนที่หอรวมคุณธรรม อย่าได้เกรงใจ ตอนนี้ข้าน้อยมีธุระขอลาก่อน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version