ตอนที่ 115 ไม่รู้จักศัตรู พลิกสมุดดูต้องตกใจ
ตอนเสนาบดีกรมปกครองหวังกั๋วกวงอยู่ในตำแหน่งก็เป็นขุนนางคนสำคัญ แต่พอถูกปลดกลับบ้านเกิด ไร้ตำแหน่งสถานะก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว หวังไท่ไหลก็แค่คุณชายเสเพล สังหารเขาไปจะได้ประโยชน์อันใด
“ใต้เท้าหลี่ว์ เจ้าหน้าที่ชันสูตรมั่นใจว่าถูกผู้อื่นสังหาร?”
“ไม่ผิดพลาดแน่นอน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาเกือบจะ 30 ปีแล้ว เขาจะรายงานเบื้องบนอย่างไรไม่รู้ แต่ตอนเขาเกิดเรื่องหลายครั้งก็ล้วนเป็นข้าที่เป็นดังพี่น้องช่วยเหลือไว้ เขาย่อมไม่กล่าวเท็จกับพี่น้องในเรื่องนี้!”
เห็นสีหน้าหวังทงงุนงงสงสัยอย่างมาก หลี่ว์วั่นไฉก็สำทับตามมา จากนั้นก็อธิบายขึ้นว่า
“การแขวนคอตายนี้ ส่วนใหญ่ลำคอจะต้องมีรอยช้ำมากที่สุด แต่หวังไท่ไหลผู้นี้นอกจากที่คอยังมีร่องรอยกดตำแหน่งอื่นด้วย เห็นชัดว่าศพใกล้จะแข็งแล้วถึงได้แขวนขึ้นไปบนคาน…”
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเช่นนี้ หวังทงได้แต่พยักหน้า การฆ่าตัวตายนอกจากเพราะสิ้นไร้หนทางแล้ว ก็ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ดูแล้วหวังไท่ไหลก็ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
อากาศค่ำคืนในเมืองหลวงช่วงใกล้เดือนห้านี้สบายมาก แต่หวังทงกลับรู้สึกหนาวเหน็บ ตามสืบมาถึงเหอจินอิ๋น ศาลซุ่นเทียนก็กลับปล่อยตัวไป เดิมคิดว่าจะได้ข่าวอะไรจากหวังไท่ไหลบ้าง แต่หวังไท่ไหลก็ถูกคนสังหารทิ้งเสียแล้ว
จะเกี่ยวข้องกับลัทธิไตรสุริยันหรือไม่ หวังทงไม่กล้าฟันธง แต่หากเกี่ยวข้องกันแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ากลัวมาก หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้ถามเสียงเย็นเยียบว่า
“รู้ไหมว่าหวังไท่ไหลเสียชีวิตเวลาไหน?”
“ก็ไม่แน่ชัด น่าจะราวๆ ยามอู่[ 1 ]…”
หวังทงถอนหายใจยาว หากว่าบุตรชายคนเดียวของเสนาบดีกรมปกครองไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลัทธิไตรสุริยันก็แล้วไป แต่หากว่าเกี่ยวข้อง เช่นนี้ก็สามารถวิเคราะห์ทีละขั้นต่อไปได้ ฮ่องเต้ว่านลี่แจงความผิดแต่ละเรื่องในที่ประชุมคณะเสนาบดีใหญ่ บีบให้หวังกั๋วกวงต้องถูกปลดจากตำแหน่ง ช่วงเวลานี้ห่างจากยามอู่ไม่น่าเกินหนึ่งชั่วยาม[ 2 ]
วันนั้นหวังทงยังบอกกับฮ่องเต้ว่านลี่เป็นพิเศษด้วยว่า หากไม่ต้องการให้ประชาราษฎร์วิพากษ์วิจารณ์จนไทเฮาทรงคิดว่าฮ่องเต้เหลวไหล ก็ต้องแจงความผิดทุกอย่างให้ถึงที่สุด ต้องทำให้หวังไท่ไหลถูกแจ้งข้อหาและเข้าสู่กระบวนการสอบสวน
ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้วก็จะถูกส่งสารออกไปนอกวังอย่างรวดเร็ว และคนที่แฝงตัวอยู่ในจวนเสนาหวังก็จะลงมือฆ่าปิดปาก และก็ออกจากจวนไปอย่างลอยนวล
การมีสายข่าวเช่นนี้ การมีกำลังเคลื่อนไหวเช่นนี้ และยังเป็นความลับเช่นนี้ เมื่อรวมเข้ากับปรากฏการณ์ต่างๆ เบื้องหน้านี้แล้ว เดิมคิดว่าลัทธิไตรสุริยันเป็นลัทธิมารเล็กๆ แต่ไม่ใช่เลย ลัทธินี้กลับมีอำนาจเช่นนี้ และยังมีการวางเครือข่ายที่แน่นหนาเช่นนี้อีก
เมื่อก่อนอ่านเจอในนิยายหรือดูจากหนังภาพยนตร์ ก็เหมือนว่ามักมีองค์กรลับเช่นนี้อยู่ องค์กรลับที่ไม่ปล่อยให้น้ำไหลเล็ดรอดออกมาได้ แต่หวังทงไม่คิดว่าในสังคมชาวบ้านจะมีองค์กรแบบนี้ได้ ในสังคมยุคปัจจุบันชาติก่อนของหวังทง บริษัทและกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่จัดตั้งอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพสูง ก็ไม่แน่ว่าจะทำเช่นนี้ได้ ในยุคที่การข่าวสารไม่ทันสมัย ยุคสมัยที่ระดับการกีฬาล้าหลังเช่นนี้จะทำได้อย่างไร คำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ มีพลังอำนาจจากทางการทำเรื่องเช่นนี้ หรือมีคนอาศัยพลังอำนาจจากทางการทำเรื่องเช่นนี้
แท้จริงแล้วตนเองกำลังสู้อยู่กับผู้ใดกัน เป็นผู้ใดในราชสำนัก หรือเป็นผู้ใดในวังหลวง หวังทงเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่กล้าคิดต่ออีก
ยุคนี้ หวังทงอายุแค่สิบกว่าปีเท่านั้น ก็สามารถคิดการได้ลึกซึ้งเช่นนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่สืบคดีแห่งศาลซุ่นเทียนอย่างหลี่ว์วั่นไฉ
สองคนต่างยิ่งเงียบไป จนหม่าซานเปียวยกอาหารเข้ามาอย่างเร่งรีบ หวังทงก็ฝืนยิ้มกล่าวว่า
“พี่หลี่ว์อย่าได้เอาแต่ยืนอยู่เช่นนั้น นั่งลงก่อน ซานเปียวไปยกน้ำชามากาหนึ่ง เจ้าดูสิ พี่หลี่ว์เข้ามาบ้านเรายังไม่ได้ดื่มน้ำสักคำเลย!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังทงเรียกหลี่ว์วั่นไฉว่า ‘พี่’ หลี่ว์วั่นไฉมีสีหน้าซาบซึ้งอยู่พักหนึ่ง ก็พลันยิ้มกล่าวว่า
“วันนี้สวมชุดหนาไปหน่อย อากาศร้อน เหงื่อชุ่มเต็มหลังเลย รู้สึกเหนียวตัวมาก น้องหวัง ข้าไม่เกรงใจละนะ”
พูดอยู่นั้นก็ถอดชุดยาวตัวนอกออก หวังทงเห็นเสื้อตัวกลางของหลี่ว์วั่นไฉเปียกชุ่มไปหมด ทุกคนล้วนเข้าใจดี ใครก็เดาได้ว่าเหงื่อนั่นไม่ใช่เพราะว่าร้อน แต่เพราะหวาดกลัว
หลี่ว์วั่นไฉรู้ว่าหวังทงเห็นว่าตนเองนั้นเป็นคนกันเองแล้ว พอนั่งลงก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“น้องหวัง พูดจากใจจริงนะ เจ้าเกาะขาจางเฉิงกงกงเส้นใหญ่เช่นนี้ ตอนนี้ยังมีเฝิงเป่ากงกงอีก ใต้หล้านี้จะมีขุนเขาที่พึ่งใหญ่กว่าสองท่านนี้ก็ไม่กี่คนแล้ว เราทำงานให้รอบคอบระมัดระวัง ระวังคนให้ร้ายและอย่าให้คนจับผิดเราได้ ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว”
หวังทงพยักหน้ารับ ครุ่นคิดถึงว่าหม่าซานเปียวอย่าเพิ่งย้ายบ้านดีกว่า อยู่ด้วยกันที่นี่จะได้ช่วยกันดูช่วยกันแล หลี่ว์วั่นไฉว่ามาก็มีเหตุผลอยู่จริง
ในตอนนี้ เขาก็คิดถึงสมุดเล่มหนาที่ได้มาจากหอรวมคุณธรรมของเหอจินเอิ๋นที่หายไปแล้วได้คืนมาเล่มนั้น ตอนนี้เรื่องนี้คงเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับลัทธิไตรสุริยันแน่นอน สมุดเล่มนี้ตนเองวิเคราะห์คนเดียวอาจจะคิดอะไรไม่ออก ตอนนี้ได้ลงเรือลำเดียวกับหลี่ว์วั่นไฉแล้ว นั่งบนเรือลำเดียวกัน เช่นนั้นมิสู้ร่วมกันวิเคราะห์
“พี่หลี่ว์ ข้าไปที่ห้องข้างๆ เอาของหน่อย รอสักครู่!”
ไม่นาน หวังทงก็ถือสมุดเล่มหนาเดินเข้ามา กล่าวกับหลี่ว์วั่นไฉด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“พี่หลี่ว์ นี่คือของที่ได้มาจากตอนกวาดล้างหอรวมคุณธรรม ข้าเก็บไว้กับตัว ไม่ได้บอกใคร รายชื่อในนี้ข้าก็ไม่คุ้น พี่หลี่ว์อยู่ในเมืองหลวงมานาน อาจจะอ่านเจออะไรบ้าง”
หลี่ว์วั่นไฉรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหาหวังทง หม่าซานเปียวก็เปิดม่านเดินเข้ามา พอเห็นสองคนในห้องท่าทางเอาจริงเอาจังกัน ก็วางกาน้ำชาและถ้วยไม้ลงอย่างรู้งาน ยิ้มกล่าวว่า
“พี่จางว่าของในหอเลิศรสไม่พอแล้ว ข้าต้องเอารถม้าออกไปตลาดบรรทุกกลับมาเพิ่ม”
พอกล่าวจบ ก็หันกายเดินออกไป หวังทงก็เปิดสมุดเล่มนั้นออก พลิกไปทีละหน้า ใช้นิ้วมือไล่ไปทีจะชื่อภายใต้แสงตะเกียง
หลี่ว์วั่นไฉมองรายชื่อตามนิ้วมือที่หวังทงไล่ไปทีละชื่อ หวังทงเห็นเขาไม่มีท่าทีอะไรก็เปลี่ยนหน้า พอหน้าที่ 6 ก็เห็นชื่อหวังไท่ไหล หวังทงรู้จักชื่อนี้ก็เมื่อสามวันก่อน แต่ชื่อนี้ไร้ความหมายสำหรับหวังทงแล้ว พลิกไปได้กว่าครึ่ง หลี่ว์วั่นไฉก็ไม่รู้จักใครสักคน
ขณะที่หวังทงคิดว่าไม่มีความหวังแล้ว หลี่ว์วั่นไฉก็กลับส่งเสียง โอ๊ะ ดังขึ้น ชี้ไปที่ชื่อหนึ่งบนสมุดกล่าวว่า
“เฉิงเหว่ย…ชื่อนี้ข้าเคยได้ยิน…ปลายปีที่แล้ว…มีคนใช้เงินยัดเฉิงเหว่ยผู้นี้ไปเป็นมือปราบที่ศาลอำเภอต้าซิง…”
“อำเภอต้าซิง? ไปเป็นมือปราบที่นั่นจะได้ประโยชน์อะไร?”
หวังทงหันมาถามด้วยความประหลาดใจ หลี่ว์วั่นไฉได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้าตอบว่า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นตำแหน่งนั้นจึงใช้เงินไปแค่ 20 ตำลึงเท่านั้น เชิญหลิวซินหย่งดื่มสุราครั้งหนึ่งก็จัดให้เรียบร้อย เป็นงานส่วนหนึ่งของศาลซุ่นเทียน”
เมืองหลวงอยู่ภายใต้ศาลซุ่นเทียน ศาลซุ่นเทียนคุมสองอำเภอ เมืองหลวงจึงแบ่งออกเป็นสองอำเภอ มีประตูเฉียน เหมินเป็นเส้นกึ่งกลาง ตะวันออกเป็นอำเภอต้าซิง ตะวันตกเป็นอำเภอหว่านผิง ล้วนอยู่ในเมืองหลวง
นายอำเภอ รองนายอำเภอ หัวหน้ากองงานทั้งหก เจ้าพนักงานศาลและมือปราบมีครบ นายอำเภอผู้หนึ่งหากอยู่ในพื้นที่ตนก็เป็นนายอำเภอใหญ่ เป็นบุคคลสั่งเป็นสั่งตาย ใครๆ ก็ล้วนเกรงบารทีอยู่หลายส่วน แต่ในเมืองหลวงนี้ นายอำเภอแค่ระดับเจ็ด ไม่มีค่าอันใด
ขุนนางระดับเจ็ดจะไปมีอะไร ในเมืองหลวงขุนนางระดับห้าระดับหกยังต้องเช่าบ้าน ซื้อข้าวร้านข้าวสารยังต้องจ่ายต้องเซ็นค้างไว้ ระดับเจ็ดอย่างเขาไม่ต้องพูดถึง
ทุกที่ล้วนมีแต่พวกขุนนางระดับสูงและชนชั้นสูง จะปฏิบัติงานนั้นก็ยากยิ่งกว่ายาก การต้องคอยเป็นที่รองรับอารมณ์นั่นไม่ต้องพูดถึงเลย ยังมีตำแหน่งขุนนางที่อื่นๆ อีกมากที่เหมาะสมกว่า
ไปเป็นขุนนางที่อื่นล้วนร่ำรวย เป็นนายอำเภอในเมืองหลวงต้องเสียเงินขาดทุน ในราชวงศ์หมิงนี้ เมืองหลวงและพื้นที่ภายใต้ปกครองก็ล้วนแต่เป็นงานยากลำบาก
นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ คิดได้ทางเดียวก็คือทนให้ครบสามปีก็ค่อยหาตำแหน่งเปลี่ยน ตำแหน่งนายอำเภอเป็นที่รองรับอารมณ์เช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดามือปราบเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งนายอำเภอเช่นนี้
เรื่องพวกนี้ หวังทงเคยได้ยินคนเล่า ตอนนั้นก็เห็นเป็นเรื่องเล่าขำๆ เท่านั้น ตอนนี้พอได้ยินหลี่ว์วั่นไฉว่ามาเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก ถึงกับมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อไปประจำการงานยากลำบากในสถานที่เช่นนั้นด้วย
แต่พอคิดกลับมาอีกที ไปประจำการที่นั้น ใครก็ไม่สนใจ ในเมืองหลวง บ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่ยังดีกว่านายอำเภอต้าซิงและหว่านผิงอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาระดับล่างลงไป เช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งเร้นลับไม่เปิดเผยกว่าหรืออย่างไร
คิดถึงตรงนี้หลี่ว์วั่นไฉก็กล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า
“มีพ่อค้าชั้นล่างที่ไร้อำนาจบางคนยอมจ่ายเงินซื้อตำแหน่งให้ลูกชายตน แม้ว่าตำแหน่งจะไม่ได้ถูกบันทึกลงในประวัติกรมปกครอง แต่ก็นับว่ามีตำแหน่ง ทำการจะได้สะดวก”
หวังทงหันมามอง ในห้องแม้ว่ามีกันแค่สองคน แต่หลี่ว์วั่นไฉก็พูดเสียงเบามาก กล่าวต่อว่า
“เมืองหลวงมีเจ้าหน้าที่ศาลมาก ตรวจสอบกันเข้มงวด พวกถือมีดถือดาบกันก็ล้วนถูกเรียกสอบสวน หากเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ ก็สามารถสวมชุดดำใส่หมวกทรงเหลี่ยมธรรมดา พกดาบอาวุธเดินไปมาในเมืองได้”
สองคนสบตากัน ล้วนไม่พูดอะไรต่อ หวังทงชี้มือไล่ไปทีละชื่อต่อ หลี่ว์วั่นไฉก็รู้จักอีกราวสิบกว่ารายชื่อ มีบางคนทำงานเป็นเจ้าพนักงานและมือปราบที่ศาลซุ่นเทียน ยังมีขุนนางเล็กๆ ระดับ 8 – 9 ประจำศาลอำเภอต้าซิงและหว่านผิง หวังทงปิดสมุดลงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า
“รายชื่อในสมุดนี้บางทีอาจเป็นพวกแฝงตัวในเมืองหลวง แอบซ่อนอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครเห็น ทำเรื่องที่ไม่มีใครรู้ หากมอบรายชื่อนี้ให้สำนักบูรพาหรือสำนักองครักษ์เสื้อแพรร่วมมือกับคนของศาลซุ่นเทียนและกองทหารกวาดล้างทั่วเมือง น่าจะไม่สามารถเล็ดรอดไปได้…”
คำพูดนี้ทำเอาหลี่ว์วั่นไฉตกใจสะดุ้ง กำลังจะพูดตอบ หวังทงก็พึมพำว่า
“ไม่ได้ อาศัยแค่สมุดเล่มนี้และการคาดเดาจากเราสองคน ก็ทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าคงต้องถูกฟ้าผ่าฟาดใส่แน่ เกรงว่าเรื่องนี้ยังไม่ทันได้ลงมือ เราสองคนแหลกสลายเป็นผุยผงไปเสียก่อนแล้ว”
*****
จวนมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง หัวหน้าคณะเสนาบดีใหญ่ ในห้องหนังสือเล็กๆ เห็นเพียงคนใกล้ชิด
“เรียนใต้เท้า หวังกั๋วกวงถูกปลดนั้น สาเหตุเป็นไปได้มากว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับหวังทงประจำลานฝึก ตัวเล็กๆ เท่านี้สามารถพูดให้ฝ่าบาทปลดตำแหน่งขุนนางใหญ่ระดับหกกรมได้ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อการผลักดันการบริหารใหญ่ของใต้เท้านะขอรับ!”
ราชบัณฑิตแห่งคณะเสนาบดีใหญ่ เพิ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร จางซื่อเหวยกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
[ 1 ] ยามอู่ในสมัยโบราณ ก็คือราว 11.00 – 13.00 น.ในปัจจุบัน
[ 2 ] 1 ชั่วยามของจีน เท่ากับ 2 ชั่วโมง