ตอนที่ 114 หญิงใจเด็ดแทนคุณเพื่อหลบภัย
เรื่องแปลกมีทุกปี ปีนี้มากเป็นพิเศษ ตนเองทางนี้ใกล้จะเป็นรังพระสงฆ์แล้ว มีผู้หญิงที่ไหนมาคุกเข่าหน้าประตูกัน
พอได้ยินจากหม่าซานเปียว หวังทงก็อึ้งไป ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นหญิงสาวผู้ใดกัน หอเลิศรสทางนั้นแม้ว่าคุ้มกันแน่นหนา แต่ประตูข้างของบ้านหวังทงกลับไม่มีการป้องกันอะไร
เพราะหวังทงอย่างไรก็ยังเป็นถึงนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพร บ้านมีคนนอกเข้าๆ ออกๆ ไม่น้อย กอปรกับด้านประตูหน้าเดิมนั้นได้สร้างเป็นหอเลิศรส ตอนนี้รอบนอกบ้านก็มีการป้องกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจป้องกันอะไรนักหนา
บ้านเรือนบนถนนทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นใครบ้านไหนก็ไม่กล้ามาถึงที่นี่ ไม่ต้องกล่าวถึงจารีตประเพณีชายหญิงไม่อาจชิดใกล้ หอเลิศรสตรงนี้ยังมีทั้งขันทีและองครักษ์วังหลวง หากพลาดพลั้งเกิดล่วงเกินคนในวัง นั่นก็เป็นการนำภัยมาสู่ตัวแล้วกระมัง?
“แม่ข้าวันนี้ตุ๋นกระดูกหมูและขนมเปี๊ยะอบ ให้ข้าออกมาตามใต้เท้า พอออกมาก็เห็นหญิงผู้นั้นคุกเข่าอยู่ตรงประตู เนื้อตัวมอมแมม”
“เจ้าไม่ถามหรือว่ามาจากไหน?”
“ใต้เท้าเรื่องแบบนี้ ข้าจะกล้าถามได้อย่างไรกัน”
เห็นหม่าซานเปียวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก หวังทงก็หน้าเฝื่อนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ชายหยาบกระด้างผู้นี้น่าจะคิดไปไกลแล้ว อย่างไรก็กลับไปดูสักหน่อยละกัน
เด็กๆ ไปกินข้าวเย็นกันที่หอเลิศรส หวังทงก็เดินกลับบ้าน ก็เหมือนที่หม่าซานเปียวพูด มีร่างเล็กอ้อนแอ้นนางหนึ่งคุกเข่าหมอบอยู่หน้าประตู สวมกระโปรงหรูฉวินยาวเรียบร้อย น่าจะเป็นหญิงสาว กระโปรงท่อนล่างนั้นขาดมอมแมม ท่าทางน่าเอน็จอนาถยิ่งนัก
หวังทงเดินไปถึงหน้าประตู หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมอง หวังทงอาศัยแสงโคมไฟที่แขวนอยู่บนคานประตูเพ่งมองอย่างละเอียด
เป็นหญิงสาวที่งดงามมากผู้หนึ่ง ในยุคในสมัยนี้หวังทงเห็นหญิงสาวน้อยมาก ยุคสมัยนี้จารีตประเพณีชายหญิงไม่อาจชิดใกล้ หญิงสาวไม่ค่อยได้ออกมาเผยโฉมหน้านอกบ้าน ที่เห็นได้ตามท้องถนน นอกจากเด็กแล้วก็จะเป็นยายแก่ หรือไม่ก็หญิงที่ถูกชีวิตบีบคั้น หญิงพวกนั้นไม่อาจเรียกว่างดงาม
ว่าไปแล้ว ตอนไปปิดหอรับวสันต์ตอนนั้นเท่านั้นที่นับได้ว่าหวังทงได้เห็นหญิงสาวรูปร่างอรชรอยู่บ้าง
ยุคสมัยนี้พบเห็นได้น้อย แต่สถานที่สำราญพวกนั้นกลับเป็นที่เปิดเผย ในยุคข่าวสารฉับไวเช่นชาติก่อนของ หวังทง กลับพบเห็นได้มากมาย หวังทงนับว่าพบเห็นและมีประสบการณ์มามาก ดังนั้นจึงมีแรงต้านทานเพียงพอ
แต่ไม่ว่ามาตรฐานใด หญิงเบื้องหน้าก็นับได้ว่างดงามมาก แต่พอหญิงผู้นี้เงยหน้าขึ้น หวังทงกลับเห็นสิ่งที่ไม่เหมือนกันบางอย่าง
เทียบกับดอกไม้อ่อนแอพวกนั้นแล้วแตกต่างกัน หญิงสาวผู้นี้หน้าตามอมแมม แต่มีแววตาเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าว ลักษณะเช่นนี้ในยุคสมัยนี้มักถูกเรียกว่า ‘พวกแข็งกระด้าง’
ความงามแข็งกระด้างเช่นนี้ อายุน่าจะแค่ 15 – 16 หวังทงพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร เขาขมวดคิ้วถามว่า
“เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าน้อยจางหงอิง หญิงสาวที่ใต้เท้านำคนไปช่วยไว้เจ้าค่ะ”
ตามคาด เสียงหญิงสาวกระจ่างใส ในยามค่ำคืนไพเราะน่าฟังเป็นอย่างมาก หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“บิดามารดาเจ้าพาเจ้าไปที่หมู่บ้านหวงแล้วไม่ใช่หรือ หนีก็หนีไปแล้ว ข้าก็ขี้เกียจเอาเรื่อง ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
คืนนั้นตอนซุนต้าไห่นำคนไปถึง ก็พบว่าพี่สาวและพี่เขยเถ้าแก่เซี่ยทั้งครอบครัวเก็บของพาลูกหนีออกนอกเมืองไปแล้ว เหลือเถ้าแก่เซี่ยไว้รอดูว่าพอจะคลี่คลายได้ไหม
เดิมก็โกรธมาก แต่เมื่อคนหนีไปแล้ว หวังทงก็ไม่คิดจะเปลืองสมองไปกับเรื่องของครอบครัวเล็กๆ พวกนี้ ปล่อยไปละกัน
“ดึกมากแล้วเช่นนี้ เจ้ากลับบ้านไปพักก่อน พรุ่งนี้ไปหาบิดามารดาเจ้าก็แล้วกัน!!”
หวังทงหันหน้าจะเดินเข้าประตูไป คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นั้นจะไม่ลุกขึ้น โขกศีรษะลงกับพื้นสองที เอ่ยขอร้องว่า
“ตอนใต้เท้านำคนมาช่วยเหลือ ครอบครัวข้าน้อยกลับทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้ ขออภัยใต้เท้า ข้าน้อยขอรับโทษจากใต้เท้า ขอใต้เท้าอย่าได้เอาเรื่องครอบครัวข้าน้อย!!”
กล่าวจบก็โขกลงกับพื้นอีกสองที หวังทงเหนื่อยมาทั้งวัน ท้องก็หิว ตอนนี้มามีเรื่องน่ารำคาญพวกนี้อีก จางหงอิงกล่าวจบ หวังทงก็เอ่ยอธิบายว่า
“น้าชายเจ้าก็แค่ส่งมอบหุ้นส่วนของเขาในร้าน ข้าก็รับซื้อไว้ ไล่ออกจากเมืองไปเท่านั้น เจ้าอย่าได้กังวล เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ข้าขี้เกียจใส่ใจ”
เรื่องวุ่นวายครั้งนี้เกิดขึ้น เจ้าของหอรุ่งเรืองคนเดิมผู้นั้นก็กลัวเรื่องมาถึงตน เมื่อเถ้าแก่เซี่ยขายส่วนของตนให้หวังทงไปแล้ว เขาก็ขายถูกๆ ให้หวังทงด้วย ในคืนเดียว หอรุ่งเรื่องก็เป็นกิจการของหวังทง
เถ้าแก่เซี่ยถูกหวังทงด่าไปยกใหญ่ ตกงานไป แต่หลายปีนี้ทรัพย์สินที่เขาสะสมไว้พวกนั้น บวกกับเงินที่ขายหุ้นไป ไปหาที่นาทำกินลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านหวงที่นั้นเป็นถึงเจ้าของที่นาเก็บกินค่าเช่าได้สบาย ไม่ได้เสียหายอะไรเลย
วันนั้นพฤติกรรมเถ้าแก่เซี่ยกับพี่สาวพี่เขยข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน สนใจแต่ตนเอง ทำให้หวังทงโมโหมากจริงๆ หากชาวบ้านตัวเล็กๆ มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็จะแปลกอะไร
หวังทงตอนนี้หากลงมือจริงก็ย่อมทำให้ทั้งครอบครัวเขาต้องพังพินาศ แต่หวังทงขี้เกียจจะเปลืองสมองไปกับเรื่องแบบนี้
“ข้าน้อยขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา แต่บุญคุณที่ใต้เท้าช่วยชีวิต ครอบครัวข้ากลับลืมตอบแทนบุญคุณ หากข้าน้อยไม่มาตอบแทนคุณแล้ว วันหน้าตระกูลจางเราก็ย่อมถูกฟ้าดินลงโทษ”
จางหงอิงเงยหน้ากล่าวอย่างหนักแน่น หวังทงอึ้งไป มองไปมองมา จางหงอิงก็ดูท่าทางตัดสินใจดีแล้ว ไม่มีอาการหวั่นไหวแม้แต่น้อย พอเห็นหวังทงมองมา จางหงอิงก็ก้มหน้าลงทันที จากนั้นรีบเงยหน้ากล่าวว่า
“ครอบครัวข้าน้อยติดค้างใต้เท้า ข้าน้อยเป็นวัวเป็นม้าก็ขอเป็นบ่าวรับใช้ชดใช้แทน ขอใต้เท้าอย่าได้โมโหครอบครัวข้าน้อย หากใต้เท้าไม่ต้องการข้าน้อย เช่นนั้นวันนี้ข้าน้อยก็จะชนกำแพงจบชีวิตที่นี่ เพื่อตอบแทนบุญคุณใต้เท้าแล้ว”
หวังทงยิ้ม หญิงสาวผู้นี้ฉลาดหลักแหลม อาจเป็นเพราะเรื่องที่ตนได้บีบจนคุณชายเสนากรมปกครองล่าถอยไปได้ คงเดาได้แล้วว่าทางนี้เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ ล่วงเกินคนเช่นนี้ หนีไปได้ไกลเท่าไรกัน ไม่สู้เช่นตอนนี้ ยังมีโอกาสรอดชีวิต
เห็นหญิงสาวงดงามก็ทำให้จิตใจเบิกบานอยู่บ้าง หวังทงรู้สึกน่าสนใจ ก็ก้มหน้าเขยิบเข้าใกล้ถามว่า
“เจ้าทำอะไรเป็น เจ้าคิดจะตอบแทนข้า”
เห็นใบหน้าหวังทงเข้ามาใกล้ ใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยวของจางหงอิงดูเหมือนจะเหมือนโดนเข็มแทงจนหดกลับเข้าไป รีบคุกเข่าลงก้มหน้าต่ำ กล่าวเสียงสั่นว่า
“ข้าน้อยเย็บผ้า เทกระโถน ทำอาหาร ทำความสะอาดเป็น ยังรู้หนังสือบ้าง…”
พอพูดถึงตรงนี้ หวังทงก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ หญิงจากตระกูลเช่นนี้รู้หนังสือหาได้น้อยมาจริงๆ เพราะว่าสมัยหญิงสาวไร้การศึกษาจึงนับว่ามีคุณธรรมจรรยา และจะไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเอกชนก็ต้องใช้เงินทอง ตระกูลเล็กๆ พวกนี้ย่อมไม่อาจยอมเสียเงินเพื่อหญิงสาวที่อย่างไรก็ย่อมต้องแต่งออกไปได้
“เจ้ารู้หนังสือด้วย บ้านเจ้าเชิญครูมาสอนหรือ?”
“ข้าน้อยอายุ 10 ปี มารดาเคยให้ข้าน้อยปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายไปเรียนสำนักศึกษาหนึ่งปี…”
เสียงหญิงสาวเบาลง หวังทงก็ยิ่งสนใจ บ้านนี้น่าสนใจจริง เอ่ยถามต่อว่า
“ทำไมล่ะ?”
“มารดาข้าน้อยคิดว่า….จะได้แต่งไปอยู่บ้านตระกูลใหญ่…ดังนั้นจึงให้รู้หนังสือไว้บ้าง…”
หญิงสาวก้มหน้าชิดพื้น หวังทงก็เข้าใจแล้ว ก็เพราะคิดว่าลูกสาวของตนเป็นหญิงงาม วาดหวังให้แต่งเข้าตระกูลดี ทางบ้านพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย
แต่เป็นเรื่องที่คิดไปกันเองเท่านั้น หวังทงยิ้มเดินผ่านหน้าหญิงสาวไปทางบ้านนางหม่า เรียกให้เปิดประตู กล่าวกับนางหม่าว่า
“น้าหม่า คืนนี้หญิงสาวผู้นี้ให้อยู่บ้านท่านสักคืนหนึ่งก่อน หาข้าวปลาอาหารให้นาง เปลี่ยนเสื้อผ้า เรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน คืนนี้ให้ซานเปียวมานอนห้องโถงบ้านข้า!”
การจัดการเช่นนี้ นางหม่าย่อมไม่ข้อโต้แย้ง หวังทงให้นางหม่านำจางหงอิงที่เหน็ดเหนี่อยอ่อนแรงเข้าบ้านนางหม่าไป หม่าซานเปียวที่ถือชามข้าวและถือขนมเปี๊ยะอบสองแผ่นอยู่ในมือก็วิ่งมาหาหวังทง
“บ้านใต้เท้ากว้างขวาง บ้านข้าแคบเกินไป แออัดยิ่งนัก”
หม่าซานเปียวแต่ไรไม่เคยมีท่าทีสุภาพกับหวังทง พอเข้ามาในห้องโถง ก็วางชามข้าวลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มกินเอาๆ หวังทงยิ้มด่าว่า
“เจ้าตอนนี้ยังขาดแคลนเงินทองหรือไง รีบหาบ้านใหญ่ๆ ไปอยู่กับแม่เจ้าเข้าสิ!”
“แม่ข้าบอกว่าหอเลิศรสทางนี้จากไปไม่ได้แม้สักนาทีเดียว ย้ายไปแล้วจะมาก็ไม่สะดวก ทุกวันตอนเช้าฟ้ายังไม่สางก็ต้องตื่น ข้ายังนอนไม่พอเลย ใต้เท้า หรือว่าให้ข้าไปที่บ้านใหญ่ทางฝั่งใต้นั่นแทน อย่างไรข้าก็เป็นหัวหน้าผู้ช่วยงานกลุ่มนั้น”
ในปากเต็มไปด้วยอาหาร หม่าซานเปียวยังพูดไม่หยุด หวังทงฟังแล้วซาบซึ้งใจยิ่งนัก นางหม่าอายุไม่น้อยแล้ว ยังเหน็ดเหนื่อยเพื่อหอเลิศรสเช่นนี้ นับว่าซื่อสัตย์ตั้งใจจริง วันหน้าจะต้องตอบแทนให้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลากล่าวเรื่องพวกนี้
ท่าทางซัดเอาๆ ของหม่าซานเปียวทำเอาหวังทงที่ยังไม่ได้กินข้าวรู้สึกหิวขึ้นมา กำลังคิดจะไปหาอะไรกิน ที่นอกประตูก็มีเสียงคนดังมาว่า
“ใต้เท้าหวัง หลี่ว์วั่นไฉขอพบ!”
เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉ มาทำไมตอนนี้? หวังทงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันรอให้หม่าซานเปียวเดินไปเปิดประตู หลี่ว์วั่นไฉที่คุ้นเคยดีก็วิ่งเข้ามา หลี่ว์วั่นไฉสีหน้าไม่ดีนัก พอเข้ามาก็กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ใต้เท้าหวัง เสนาบดีกรมปกครอง หวังกั๋วกวงถูกปลดแล้ว…”
หวังทงพยักหน้ารับ ข่าวนี้ไม่น่าแปลกอะไร จางเฉิงได้ปรึกษาหารือกับเขาแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แค่ให้หวังกั๋วกวงเกษียณ นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากแล้ว แต่ประเด็นของหลี่ว์วั่นไฉไม่ใช่เรื่องนี้ เขากล่าวตามมาติดๆ ว่า
“หวังไท่ไหล บุตรชายคนเดียวของเขาผู้นั้นพอได้ยินข่าวนี้ก็ผูกคอตาย!”
พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ลุกพรวดยืนขึ้นทันที หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้าด้วยสีหน้ากังวลหนัก ตอกย้ำความเข้าใจของหวังทง อย่างหนักแน่นอีกครั้ง หวังทงสงบนิ่งลงแล้ว ก็หันไปบอกกับหม่าซานเปียวว่า
“ซานเปียว ข้าหิวแล้ว ไปยกอาหารที่หอเลิศรสมาให้ข้า”
หม่าซานเปียวรู้ความสำคัญหนักเบาอยู่ รีบเช็ดปากเดินออกไป หลี่ว์วั่นไฉจึงได้ก้าวเข้ามาพูดว่า
“เพิ่งจะรายงานมาที่ศาล ขุนนางระดับนี้จะลากลับบ้านเกิดเมืองนอน ศาลซุ่นเทียนปกติไม่อยากจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว เจ้าหน้าที่ชันสูตรให้คำยืนยันการตายว่าฆ่าตัวตาย แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรผู้นั้นนับถือเป็นพี่น้องกับข้า ตอนรายงานเมื่อครู่ได้แอบบอกข้าว่า หวังไท่ไหลเห็นชัดๆ ว่าถูกคนรัดคอตายก่อนจะแขวนขึ้นไป”
****
หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่ก็รู้สึกว่าคืนนี้เหน็บหนาวยิ่งนัก เพิ่งจะมีแหล่งข่าวให้สืบเสาะ ก็ขาดเสียแล้ว…