ตอนที่ 121 ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ รับไว้อย่างงงๆ
กระดูกแพะชิ้นใหญ่ด้านบนมีแต่เนื้อทั้งนั้น ต้มเปื่อยในหม้อไว้นานแล้ว อย่าว่าแต่หอเลิศรสเลย แม้แต่ถนนทักษิณยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อแพะ ทำเอาฝีเท้าของคนบนท้องถนนเร่งรีบเดินกันใหญ่ พยาธิถูกรบกวนอย่างแรง รีบกลับบ้านไปกินข้าวกันเร็วหน่อย
นั่นหากเรียกว่ากระดูกแพะ ไม่สู้เรียกว่าเนื้อแพะชิ้นโตไม่แกะกระดูกออกจะดีกว่า แช่ด้วยต้นหอม กระเทียมและซอสเปรี้ยวที่หมักไว้นานเอาไว้ เครื่องเทศที่มีค่าแต่ละอย่างและเกลือก็พร้อมในถ้วยไว้เป็นเครื่องจิ้ม ด้านหนึ่งของห้องครัว พ่อครัวของห้องเครื่องหลวงกำลังย่างแผ่นเปี๊ยะขาวละมุนอย่างตั้งอกตั้งใจ
ครูฝึกกล่าวว่า เด็กๆ มีชัยชนะเหนือพวกนักเลง และยังเอาสิ่งที่ได้ฝึกทุกวันมาใช้ในสถานการณ์จริงได้ไม่เลว ดังนั้นคืนนี้ต้องให้รางวัลพวกเขาอย่างงาม
มีชัยเหนือศัตรู และยังได้รางวัล เด็กๆ ก็ฮึกเหิมกันสุดขีด แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ขอกลับวังดึกอีกหน่อย จะได้ร่วมฉลองกับทุกคน
แน่นอนคืนนี้พวกโจวอี้ก็จะรีบรายงานประตูข้างของวังหลวงว่าให้ปิดช้าลงอีกหน่อย แม้จะรู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดจะสนใจ
ในหอเลิศรส เด็กฉลองกันส่งเสียงดังลั่น อาหารในวันปกติ กับข้าวและเนื้อก็ไม่น้อยแล้ว อาหารก็พอเพียง แต่เด็กๆ ที่ยังไม่โตเต็มที่ในวัยนี้ กินเนื้อกันไม่เคยพอ เนื้อแพะนี้กินกันไปอย่างนั้น แต่ช่างถูกปากพวกเขาเสียจริง
ตอนบ่ายแม้ใช้เวลาลงมือกันไม่นาน แต่ต้องยกไม้พลองค้างรอคำสั่งให้รุกถอยนั่นก็ทำเอาเหนื่อยมาก ตอนบ่ายที่กินสะสมไว้ก็ใช้ไปหมดแล้ว
พอถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนลงมือกินกันทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองกระดูก กินกันไปคุยเสียงดังกันไป บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก เหมือนกับการฉลองเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น
เนื้อแพะกินกันไปไม่น้อยแล้ว ก็มีคนยกแผ่นเปี๊ยะและผักดองออกมา กินเสร็จก็ยังมีชาแก่จัดไว้ขจัดไขมัน ทุกคนยังได้รับผลไม้เป็นของหวาน กินกันอิ่มจริงๆ ตอนกลับไปที่พัก ยังมีหมอมาตรวจร่างกายทุกคนอีกด้วย
พอทุกคนออกจากหอเลิศรส สภาพในหอเลิศรสเละเทะไปหมด พวกที่ออกมาทำความสะอาดก็คือจางหงอิงและคนงานหญิงอีกสองคน ในเมื่อหวังทงไม่รับนางไว้รับใช้ใกล้ชิด นางหม่าจึงเห็นนางเป็นคนรับใช้ทั่วไป แต่จางหงอิงผู้นี้ทำงานขยันขันแข็ง ไม่มีทีท่าบ่นว่าเหนื่อยให้เห็น
****
หวังทงแทะกระดูกไปสองชิ้น ก่อนจะออกมาจากหอเลิศรส ตอนออกมา ทุกคนนั้นยังเอ่ยอำลากับเขาอย่างอบอุ่น การต่อสู้ในวันนี้ หวังทงที่ออกคำสั่งก็เหมือนกับแสดงอำนาจเป็นผู้นำอยู่บ้างแล้ว เด็กๆ ต่างยิ่งยอมรับเขา แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังยิ้มกว้างโบกมือให้ด้วย
ความสุขในหอเลิศรสนี้เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจรู้สึกดื่มด่ำอย่างมาก แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ก็สลายไปเมื่อมาถึงบ้านของตน แม้ว่าอากาศจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อแพะ แต่หูก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ
หม่าซานเปียว จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ หลี่เหวินหย่วนและคนอื่นๆ ต่างมาออกันอยู่ในบ้าน ไม่กี่คนเช่นนี้แน่นอนย่อมไม่อาจกล่าวได้ว่าแออัด แต่เพราะยังมีพวกถานเจียงอีก 17 คน
ถานกวนได้ฝากฝังทหารพวกนี้ไว้กับตน จากนั้นพวกถานเจียงก็วุ่นวายอยู่กับงานศพ หวังทงก็เกือบลืมไปแล้วว่ายังต้องจัดการที่อยู่ให้คนกลุ่มนี้
อยู่ๆ ก็มากัน จัดการไม่ทันจริงๆ ด้านนอกประตูยังมีรถใหญ่บรรทุกของไว้เต็มคันรถอีก 7 คัน ชายฉกรรจ์ท่าทางองอาจ 10 กว่าตนยืนก้มหน้านิ่งอยู่ในบ้าน
หวังทงกวาดตามองพวกเขาก่อนจะหันไปถามหม่าซานเปียวว่า
“ซานเปียว บ้านพวกเราทางนั้นซื้อเสร็จแล้วหรือยัง?”
“ซื้อเสร็จแล้วก็ว่าเสร็จแล้ว สัญญาซื้อขายก็ออกจากทางการแล้ว แต่บ้านยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ว่างเปล่าไปหมดทั้งห้อง ไม่มีทางอยู่อาศัยกันได้”
หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“พวกเจ้ามากันได้ฉุกละหุกจริง ที่อยู่ที่นี่ข้ายังเตรียมไม่เรียบร้อย”
สีหน้าถานเจียงยังคงนิ่งเฉยก้มหน้าต่ำ แต่คนอื่นๆ ต่างส่งสายตาให้กัน ทั้งดูแคลนและไม่รู้จะทำอย่างไร แม้ว่าจะอยู่บ้านนายคนใดก็ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ แต่เป็นบ่าวทำงานในจวนเสนาบดีกรมทหาร อย่างไรก็มีหน้ามีตากว่าทำงานให้กับนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรมากนัก
ทางนี้แม้แต่ที่พักก็ยังจัดการให้ไม่พร้อม จะเทียบกับจวนเสนาได้อย่างไร ที่นั่นแม้จะมีแขกมาถึงสองร้อยก็จัดการที่พักได้
“พี่จาง มอบเงินให้ทุกท่านไปก่อน สองสามวันนี้ก็ลำบากทุกท่านไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อน รอให้เก็บกวาดเสร็จค่อยย้ายมาละกัน”
หวังทงจัดการอย่างสบายๆ แต่คำพูดนี้กล่าวจบ คนพวกนั้นก็สบตากันอีก แววตาไม่รู้จะทำอย่างไรยังคงอยู่ แต่ไม่เห็นแววตาดูแคลนอีกแล้ว นายใหม่ผู้นี้แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ใจกว้างยิ่งนัก
ถานเจียงก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า
“นายท่าน บ่าวและพี่น้องตอนออกรบ ก็นอนกลางทุ่ง ขอนายท่านอย่าได้ต้องลำบาก ของที่ใต้เท้าถานฝากไว้ก่อนจากไปให้บ่าวมอบให้ใต้เท้า ขอใต้เท้ารีบรับไว้”
ให้ทั้งคนให้ทั้งของ หวังทงส่ายหน้า ไม่รู้ว่าขุนนางเก่าแก่ที่เป็นที่เคารพยกย่องผู้นี้เห็นอะไรในตน ถึงกลับเปิดทางให้มากมายเช่นนี้
“มีอะไรบ้าง?”
“สิ่งที่ใต้เท้าท่านเขียนเกี่ยวกับความรู้ที่ได้จากการรบของท่านเอง และสิ่งได้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนสนทนากับบรรดาแม่ทัพหลายแห่ง และตำราการทหารที่นายท่านแต่งเรียบเรียงไว้ ล้วนมอบให้ใต้เท้า”
“แล้วลูกหลานใต้เท้าถานล่ะ?”
“ใต้เท้าถานไม่อยากให้ลูกหลานต้องถือดาบออกรบ สั่งเสียไว้ชัดเจนว่าให้คนที่บ้านกลับบ้านเกิดทำนาสืบวงศ์ตระกูล”
ถานเจียงตอบความสงสัยหวังทงอย่างละเอียด ชายอายุ 40 ต้นๆ ผู้นี้มีการแสดงออกที่เหมาะสมอย่างมาก ปฏิบัติต่อหวังทงในฐานะนายอย่างเต็มตัวแล้ว ปฏิบัติตามธรรมเนียมถึงขั้นที่แม้จางซื่อเฉียงที่ยอมเป็นบ่าวแล้วยังทำไม่ได้ พอเห็นหวังทงพยักหน้า ถานเจียงก็กล่าวต่อว่า
“ในชีวิตการออกรบของใต้เท้าถาน ได้เก็บสะสมอาวุธและชุดเกราะไว้จำนวนหนึ่ง ยังมีอานม้าและแส้อีก 50 ชุด มอบให้ใต้เท้าทั้งหมด”
อาวุธและชุดเกราะนั้นห้ามราษฎรมีไว้ครอบครอง อานม้าและแส้พวกนี้ก็ล้ำค่ายิ่ง ของสองสิ่งนี้ราคาย่อมไม่ธรรมดา ถานกวนมอบให้ตน ก็นับว่าใจกว้าง หวังทงถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“ไม่ทราบว่าข้าหวังทงมีคุณธรรมสามารถอันใด ใต้เท้าถานจึงได้เมตตาเช่นนี้ น่าละอายจริง!”
พอกล่าวจบ ก็หันไปคำนับทางจวนเสนาบดีกรมทหารอย่างเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งสามครั้ง การกระทำเช่นนี้ ทำให้ถานเจียงและคนอื่นๆ พากันตะลึง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะคำนับไปพร้อมกับเขาด้วย ตอนยืดตัวขึ้นยืนตรงสายตาพวกเขาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เริ่มเห็นเขาเป็นนายอย่างแท้จริงแล้ว
หวังทงและถานกวนไม่นับว่าสนิทกัน เป็นสหายที่พานพบกันเท่านั้นก็มิใช่ แต่เมื่อทหารพวกนี้มามอบให้ถึงบ้านก็ไม่มีเหตุที่จะปฏิเสธ
ตอนนี้กำลังตนก็น้อยนิด มีผู้เชี่ยวชาญการรบสิบกว่าคนนี้มา พวกนี้เป็นคนที่เคยทำงานรับใช้จวนเสนาบดี นั่นก็ย่อมช่วยเหลือได้หลายด้านอยู่ กำลังที่ไม่มากแต่ยอดเยี่ยมนี้ จะต้องรับเอาไว้แน่นอน
การสยบใจผู้คน ก็ย่อมต้องให้ผลประโยชน์ และให้บุญคุณ หวังทงตอนนี้ก็กำลังทำไปทีละก้าว ผลที่ได้รับไม่เลว
รอให้ทุกคนสงบลงแล้ว หวังทงก็โบกมือกล่าวว่า
“ฟ้ามืดแล้ว ไปพักที่โรงเตี๊ยมกันก่อน พี่จาง พี่ตามไปด้วย จัดการทุกอย่างให้พวกเขาทุกคนให้เหมาะสม รถม้าจอดไว้นอกประตูก่อนก็ได้ ไม่มีใครกล้าแตะต้อง”
หวังทงมีท่าทีเช่นนี้ 17 ชีวิตตระกูลถานก็ยิ่งรู้สึกเคารพมากยิ่งขึ้น ก้มตัวคำนับพร้อมเพรียงกันกล่าวว่า
“ขอบคุณใต้เท้า บ่าวไปที่บ้านใหม่กางที่นอนนอนกันก็ได้ขอรับ!”
ยื้อกันอยู่นาน หวังทงก็ไม่ได้ดึงดันต่อ ถานเจียงและคนอื่นๆ ต่างมีเครื่องนอนและสัมภาระมากันบนรถม้าคันหนึ่ง ถึงเวลาก็ปูออกมานอนก็ง่ายดี
ตอนหวังทงให้ลูกน้องซุนต้าไห่พาพวกเขา 17 คนไปกินข้าว ถานเจียงเหลือเป็นคนสุดท้าย ควานหาของบนรถม้าคันที่ใกล้ประตูครู่หนึ่ง ก็คว้าเอากล่องเหล็กใบหนึ่งออกมา เชิญหวังทงและคนอื่นๆ เข้าไปคุยกันในห้อง พอเปิดกล่องออกดู ในห้องก็สว่างขึ้นมาก
“ทองคำแท่ง 200 ตำลึง ใต้เท้ากล่าวว่า เราพี่น้อง 17 คนใช้จ่ายไม่น้อย เงินทองพวกนี้อย่างไรคงพอชดเชยให้นายท่าน”
ถานเจียงหยิบทองออกมาทีละก้อน จากนั้นก็หยิบกลับเข้ากล่องไปอีก ถอยออกไปด้านข้างอย่างนอบน้อม หวังทงก็ปิดกล่องท่าทีสบายๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าถานคิดการเกรงว่าจะรอบคอบไปแล้ว ข้าทางนี้มิได้ขาดเงินทองจริงๆ”
ตอนถานเจียงออกไป หวังทงก็เผยยิ้มมุมปากอย่างไม่รู้ตัว อาวุธเสื้อเกราะ อานม้าและแส้ยังมีขุนพลมีประสบการณ์พร้อม ทุกอย่างมอบให้อย่างถูกกฏหมาย กำลังของตนนั้นอยู่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นมาก กำลังยิ่งมาก ความสามารถในการรักษาตัวรอดก็ยิ่งเข้มแข็ง
“ใต้เท้า อาวุธ เสื้อเกราะ อานม้าและแส้แม้ว่าจะเป็นเสนาถานมอบให้ แต่ของแบบนี้วางไว้ในสถานที่ๆ ใกล้วังหลวงเช่นนี้มีความไม่สะดวกหรือไม่ ถึงเวลานั้นหากมีผู้ใดกล่าวว่า…”
หลี่เหวินหย่วนเป็นคนสุขุมพูดน้อย ไม่ค่อยได้พูดอะไรมาก แต่พอพูดก็มักจะตรงประเด็น พอกล่าวออกมา หวังทงก็เคาะโต๊ะสองสามที ก่อนจะหันไปทางหม่าซานเปียวกล่าวว่า
“ซานเปียว พุร่งนี้เอาเงินไปนอกเมืองจัดหาโรงบ้านนอกเมือง มีที่นาหรือไม่ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือกว้าง จุคนได้!!”
หม่าซานเปียวเป็นคนอยู่ไม่ติดที่ ชอบงานที่ได้ออกไปวิ่งข้างนอกเช่นนี้ที่สุด พอได้ยิน ก็ตอบรับอย่างยินดีทันที
*****
ณ พระตำหนักไทเฮาฉือเซิ่ง พระราชวังต้องห้าม
“หวงหยาง เจ้าเคยตรวจการกองป้องกันชายแดนทั้งเหนือและใต้ เป็นผู้รู้เรื่องการทหาร รายงานวันนี้เจ้าก็เห็นแล้ว บรรดาพวกที่คอยจับตาดูก็ได้เล่ามาแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
แม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่ห้องบรรทมไทเฮายังคงสว่างไสว เฝิงเป่านั่งอยู่ด้านหนึ่ง ยังมีมหาขันทีอาวุโสที่สวมชุดดำอายุราว 60 กว่าน้อมกายตอบพระกระแสรับสั่งขึ้นว่า
“ทูลไทเฮา ข้าน้อยเห็นรายงานแล้วและก็ได้รับฟังข้อมูลแล้ว ทางฝ่าบาทสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทูลไทเฮาอย่างไม่เกรงอาญาว่า อายุเพียงเท่านั้นก็มีการตัดสินใจและยุทธวิธีเช่นนี้ แม้ว่าแม่ทัพชีแห่งเมืองจี้โจวในตอนนั้นก็สู้ไม่ได้ บุตรชายรองเซียงเฉิงป๋อก็มีกลยุทธ์เช่นกัน สามารถฝึกให้ดีได้ มีอนาคตเช่นกัน”
ไทเฮาทรงรับฟังอย่างตั้งใจ พอขันทีอาวุโสผู้นั้นพูดจบ ก็หันไปถามเฝิงเป่าว่า
“เฝิงต้าปั้น หลายวันนี้ฝ่าบาทตอนประชุมคณะเสนาบดีใหญ่ ทรงตัดสินฎีกาได้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทูลไทเฮา ฝ่าบาททรงตั้งอกตั้งใจมากพะยะค่ะ และยังทรงชอบซักถาม บ่าวและจางเฉิงก็คอยตอบอย่างสุดความสามารถ”
ไทเฮาฉือเซิ่งสีพระพักตร์แม้จะไร้รอยยิ้ม พอได้ทรงรับฟังรายงาน ก็พยักพระพักตร์เล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา