ตอนที่ 120 ถือโอกาสหาทางลง บ่าวใหม่มาหาถึงบ้าน
เฉินซือเป่าทางนั้นถูกแทงจนมีสภาพทุลักทุเล แต่เสี่ยวถังด้านหลังกลับเพิ่งคิดจะเริ่มบุก
หวังทงออกคำสั่ง เด็กๆ ก็กลับหลังหันพร้อมเพรียงกัน ก้าวบุกทันที เสี่ยวถังทางนี้ตกใจจนหัวหด จากนั้นก็ตะลึงค้าง จากนั้นค่อยตั้งสติได้ ตนควรจะบุกเขาตีด้านหลังที่ไร้การป้องกัน
ยังไม่ทันได้ออกคำสั่ง เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทางนั้นก็ดังมาทางนี้ เสียงร้องเรียกหาพ่อหาแม่ทำให้คนทางนี้ผ่อนฝีเท้าลง พอมัวแต่ชักช้า ขบวนที่นำโดยเฉินซือเป่าถูกตีกระกระจัดกระจายไปแล้ว ตอนนี้เพิ่งฉุกคิดว่าจะบุก ตอนนั้นหากตามเข้าตี เด็กๆ พวกนี้คงถูกตีกระหน่ำไปแล้ว
แต่สายไปเสียแล้ว เสี่ยวถังตวัดไม้กระบองก้าวไปแค่ก้าวแรก ขบวนสี่เหลี่ยมของเด็กๆ ก็หันหน้ามาพร้อมแล้ว
ตะโกนให้จังหวะกันอยู่ว่า ‘หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง’ ยกไม้พร้อมระดับกลางก้าวประชิดเข้าใกล้มา ขบวนสี่เหลี่ยมของเด็กๆ เดินกันอย่างไม่เป็นระเบียบกันสักเท่าไรแล้ว และไม่อาจรักษาความพร้อมเพรียงแบบตอนแถวตรงได้แล้ว
ทางด้านเสี่ยวถังนี้มีหลายคนที่พบกับความเจ็บปวดไปเมื่อครู่ พอเห็นไม้เรียงหน้ากันแถวมา ก็พากันกลัวจนขนหัวตั้ง เดิมคนที่เฉินซือเป่าพามาด้วยก็ไม่ได้มากเท่าพวกเด็กๆ พอแบ่งออกเป็นสองขบวน ก็ยิ่งน้อย
เดิมจะให้จะทำให้ขบวนสี่เหลี่ยมนี้อลหม่าน แต่ตอนนี้ขบวนสี่เหลี่ยมนี้กลับบุกเข้าใส่ ตีกระจุยไปด้านหนึ่งแล้วก็กลับหลังหันมาสู้อีกด้าน ตอนนี้ใช้จำนวนคนที่ได้เปรียบอย่างที่สุดหันมาเผชิญกับเสี่ยวถังด้านนี้
กอรปกับเสี่ยวถังและพรรคพวกตนเพิ่งจะถูกแทงใส่กันบาดเจ็บมาก่อนหน้า ความขลาดกลัวถึงขีดสุด ความได้เปรียบนี้ก็ยิ่งมาก
แม้ว่าเฉินซือเป่าจะแบ่งทหารในจวนไว้ประจำทางนี้บ้าง แต่ทางนั้นก็แตกกระจายไปแล้ว ทางนี้จะมีกระจิตกระใจอะไรไปสู้อีก ที่ดีกว่าเฉินซือเป่าทางนั้นก็คือ เสี่ยวถังทางนี้ยังวิ่งหนีทัน แต่พวกเสี่ยวถังวิ่งกันได้ไม่เร็ว ผลก็คือความซวยยังคงเป็นพวกเขาทางนี้ ถูกขบวนสี่เหลี่ยมวิ่งตามทัน
*****
“แถวพัก! พักท่าพร้อม!”
หวังทงนำขบวนที่ไม่อาจเรียกได้ว่าขบวนสี่เหลี่ยมได้อีกให้ถอยกลับไปหน้าประตูลานฝึกหู่เวย เพื่อให้คนด้านหลังได้จัดแถว พลางกวาดตามองบรรดาคนที่เฉินซือเป่าพามาด้วยด้วยสายตาเย็นเยียบ
ฮ่องเต้ว่านลี่ในกลางขบวนไม่ได้ยกไม้พลองแทงหรือฟาดเลย ได้แต่เคลื่อนไหวไปตามคำสั่งของหวังทง แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ก็เหนี่อยจนหายใจหอบ
แต่เขากลับรู้สึกว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ แต่ไรไม่เคยได้ฮึกเหิมและตื่นเต้นเลย เขารู้ว่าตนได้ร่วมเป็นหนึ่งในขบวนทัพ แม้ว่าไม่ได้ร่วมในการต่อสู้ แต่ชัยชนะนี้ก็มีกำลังส่วนหนึ่งของเขาด้วย
ดังนั้นตอนที่เด็กๆ ได้เห็นอีกฝ่ายร้องโอดโอยและร้องจ้าหนีกันอลหม่าน ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ร้องตะโกนไปด้วย หัวเราะสนุกสนานไปด้วย มีความสุขที่สุด
*****
“มีใครได้รับบาดเจ็บไหม!! มีใครโดนตีไหม!!”
หวังทงกวาดตามองคู่ต่อสู้ที่ไปกองอยู่รวมกัน พลางหันไปถามเด็กๆ ด้านหลัง เด็กๆ พากันส่งเสียงตอบอย่างสนุกสนานว่า
“ล้วนเป็นพวกเราลงมือตีผู้อื่น จะบาดเจ็บได้อย่างไร”
“พวกเขาไม่มีทางบุกมาด้านหน้าพวกเราได้ จะมาตีพวกเราได้อย่างไร!!”
หวังทงผ่อนลมหายใจลงอย่างวางใจ ตะโกนดังต่ออีกว่า
“จัดแถว ด้านขวาชุดแรกจัดแถวตรงนับจากข้าเป็นหลัก ที่เหลือให้เอาด้านขวาคนที่หนึ่งเป็นหลักจัดแถวตรง!”
การฝึกในลานฝึกเพียงแค่สองสามเดือนเท่านั้น คำสั่งง่ายเกินไปมักจะยากปฏิบัติ หวังทงตะโกนอย่างละเอียด แต่ก็ยังมีผิดพลาด
แต่ความผิดพลาดเล็กหน่อยนี้ เทียบกับชัยชนะตอนนี้แล้วไม่หนักหนานัก คนที่เฉินซือเป่าพามาด้วยอย่างน้อยที่สุดก็เกือบครึ่งที่เดินกันไปพยุงกันไป เพราะทั้งน่องและหว่างเอวบาดเจ็บสาหัส
สองฝ่ายตอนนี้ทิ้งระยะกันห่างอีกแล้ว การปะทะกันเมื่อครู่ บรรดาคนจวนเซียงเฉิงป๋อก็พอรู้กันในใจแล้วว่า อีกฝ่ายกลุ่มนี้ก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ร่างกายแม้ว่าบาดเจ็บ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ลงมือรุนแรง ดังนั้นคนที่เฉินซือเป่าพามาด้วยแม้ว่าสภาพทุลักทุเล แต่ไม่นับว่าหวาดกลัว
พวกคนที่มาด้วยที่เมื่อครู่วิ่งหนีกันกระจัดกระจายทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย หอบหายใจไม่หยุด ขณะที่จะหย่อนก้นลงนั่งพัก คิดไม่ถึงว่าพอก้นแตะพื้น ที่พื้นก็เหมือนมีไฟจุดไว้ ร้องโหยหวนกระโดดตัวลอยขึ้นทันที ตอนนี้น่องและก้นล้วนเขียวช้ำ นั่งลงเช่นนี้ ย่อมเจ็บปวดอย่างมาก
สภาพน่าอนาถเช่นนี้ ยิ่งทำให้เด็กๆ ดีใจ พากันส่งเสียงหัวเราะฮาดังอยู่ตรงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่กับหลี่หู่โถวและพวกที่ซุกซนหน่อยก็ส่งเสียงหัวเราะหยอกล้อยิ่งดัง
เฉินซือเป่าเดิมก็คิดจะนั่งลง แต่พอเห็นท่าทางพรรคพวกแล้วก็คิดว่าดีนะยังไม่ได้ทำเรื่องน่าขายหน้าออกไป เมื่อครู่เขาโดนแทงไปหลายที หากไม่ใช่คนของเขายอมเสี่ยงตายหลายคนลากเขาไว้ เกรงว่าก็คงถูกแทงคว่ำไปแล้ว บั้นเอวและขาด้านนอกปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก เมื่อครู่รีบร้อนหนีเอาตัวรอด ยามนี้จึงเหนื่อยมาก ได้แต่ใช้มือเดียวถือไม้กระบองยันพื้นไว้ พลางหอบหายใจเสียงดังไม่หยุด
“คุณชาย ยังไงเรากลับไปกันก่อนเถอะขอรับ เด็กพวกนี้ฝึกยุทธวิธีรบมา เกรงว่าเราสู้ไม่ไหว!!”
“…คุณชายอย่างข้าไม่เคยเสียเปรียบอย่างนี้มาก่อน วันนี้แม้ว่าต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ก็ต้องสู้ตายกับเจ้าพวกบัดซบนี่…”
เฉินซือเป่าหอบหายใจไป ด่าผู้ติดตามที่ท่าทางทุลักทุเลไม่แพ้กันไปด้วย ยามนี้หวังทงทางนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้น เด็กๆ ก็พากันคำรามเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง ไม้พลองยามก็ยกเอียงมาด้านหน้า ก้าวพร้อมกันขึ้นมาหนึ่งก้าว เฉินซือเป่าสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว หอบหายใจแรงไม่หยุด หันไปพูดกับผู้ติดตามว่า
“เจ้ารีบไปดูม้าข้างนอกพวกนั้น คลายเชือกไว้ก่อน รีบไป รีบไปสิ!!”
ผู้ติดตามผู้นั้นตกตะลึง ยกเท้ารีบวิ่งออกไปทันที พวกคุณชายทั้งหลายอย่างเฉินซือเป่าและเสี่ยวถังถูกตีบาดเจ็บมา ยังมีหลายคนที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นสิบกว่ารอบกว่าจะหนีรอดออกมาได้ เสื้อผ้าแพรพรรณชั้นดีทั้งตัวนั้นขาดและเปื้อนไปด้วยดิน ยังมีตอนที่ตะลุมบอนกันถูกไม้กระบองพรรคพวกเดียวกันด้านหลังแทงพลาด ทำเอาแขนยกไม่ขึ้นเลยทีเดียว
พอเห็นการเคลื่อนไหวของเฉินซือเป่า ทุกคนออกไปหาเรื่องต่อยตีด้วยกันมานาน ก็ย่อมเข้าใจ ผู้ติดตามคุณชายทุกคนพากันออกไปคลายเชือกผูกม้าเตรียมทางหนีให้พร้อม
*****
ตอนที่เสียงร้องเยาะเย้ยดังขึ้น นายกองร้อยกองอาญาแห่งสำนักบูรพาเซวียจานเยี่ยที่ซุ่มดูอยู่ห้องด้านหลัง กับเติ้งจิ้นและหูฉีก็ตบโต๊ะหัวเราะดังลั่นตะโกนชมว่ายอดเยี่ยม
“กลยุทธดีเยี่ยมๆ ถึงกลับหันหลังกลับมารุก ตีกระจายไปกลุ่มหนึ่งก่อนจะหันกลับมารับมืออีกกลุ่ม สุดท้ายยังรักษาขบวนเอาไว้ได้”
เซวียจานเยี่ยสบถดังติดกันพร้อมวิจารณ์การรบ เติ้งจิ้นก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า
“ความสามารถนี้สามารถเอาไปรบกับพวกมองโกลนอกด่านได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็สามารถปราบโจรร้ายในแต่ละมณฑลได้แน่ ย่อมไม่เสียเปรียบแน่!!”
หูฉีเป็นคนซื่อรูปร่างเตี้ยและผิวดำ ดูอย่างออกรสออกชาติ แต่พูดจากลับเนิบนาบ เอ่ยว่า
“บุตรชายเซียงเฉิงป๋อก็ไม่เลว วิธีแบ่งทหารก่อกวนนี้น่าจะเป็นทหารในจวนคิดออกมา แต่คนนำรู้จักรุกรู้จักถอย และยังรุกก่อนค่อยถอย หากออกรบบนสนามก็ย่อมมีความสามารถพอที่จะนำกองทหารหลายพันนายได้”
เด็กๆ ประสบชัยชนะใหญ่ สภาพทุลักทุเลของเฉินซือเป่าก็ไม่ร้ายแรงเท่าไร โจวอี้ถอนหายใจยาว เพิ่งรู้สึกถึงเสียงเอ็ดอึงของพวกขุนพลด้านหลัง
แต่ตอนนี้อารมณ์ดีแล้ว จึงยิ้มหันไปบอกเซวียจานเยี่ยว่า
“นายกองร้อยเซวีย ทางนั้นตีกันพอสมควรแล้ว ให้คนของท่านออกไปไล่ หากลงมือกันอีก เกรงว่าจะเล่นกันจนเป็นเรื่องได้”
เซวียจานเยี่ยรีบรับคำ หัวเราะร่าเดินออกไป
*****
เฉินซือเป่าไม่กล้าลงมืออีกแล้ว แต่จะหนีก็เสียศักดิ์ศรี เด็กๆ มีเรื่องวิวาทตามท้องถนน แพ้ชนะเป็นเรื่องรอง แต่ศักดิ์ศรีไม่อาจเสียไป เรื่องวิวาทวันนี้ช่างน่าขายหน้าเสียจริง วันหน้าหากข่าวกระจายไปทั่วเมืองหลวง เกรงว่าคงไม่มีหน้าเดินอยู่ในเมืองหลวงได้อีก
กำลังคิดอยู่ ก็มีองครักษ์สิบกว่านายแต่งกายแบบพลทหารเดินเข้ามา เห็นพวกเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า
“ที่ใกล้วังหลวงขนาดนี้ พวกเจ้าคนมากมายมารวมกันที่นี่ทำอะไรกัน รีบสลายตัวไปเดี๋ยวนี้ หากไม่ไป ระวังจะจับพวกเจ้าส่งทางการให้หมด”
ขณะที่กำลังลำบากใจอย่างที่สุด ก็มีกระไดให้ลงอย่างไม่เสียหน้า เฉินซือเป่ารีบยืนตรง ชี้ไปทางนั้นตะโกนด่าเสียงดังว่า
“หากไม่มีคนมาห้ามไว้ วันนี้ข้าจะต้องจัดการลานฝึกของพวกเจ้านี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง วันหน้ายังมี พวกเราไว้พบกันใหม่”
พอพูดจบ ก็เชิดหน้ายืดอกหันหลังจากไปทันที ทหารติดตามที่เขานำมาด้วยรีบตามออกไป ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงแซว ร้องโห่และเสียงหัวเราะด้านหลังละกัน
เพิ่งเดินออกจากถนนสายนี้ เฉินซือเป่าที่เดินยืดหลังตรงก็ตัวงอลงก่อนจะกุมก้นร้องโอดโอย ขึ้นม้าไปยังไม่แม้แต่จะนั่ง ได้แต่เอนตัวราบไปบนหลังม้า คนบนถนนได้แต่เหลือบมองมา แต่ก็มีเด็กอายุน้อยพากันชี้ดูและส่งเสียงหัวเราะฮาครืน หากเป็นยามปกติ ก็คงด่ากลับไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ใครก็ไม่สนอะไรพวกนี้แล้ว กลับไปค่อยว่ากันละกัน
หัวหน้านายทหารเฉินอู่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินนำหน้าไป แม้ว่าเป็นการวิวาทกันปกติ แต่การเสียเปรียบมากมายให้พวกเด็กๆ พวกนี้ มันน่าขายหน้าจริงๆ
แต่หัวหน้านายทหารผู้นี้ก็คิดได้ว่า เด็กกลุ่มนี้เบื้องหลังยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด หากมีเรื่องกันขึ้นมา ที่จะถูกตำหนิก็คงเป็นพวกคนชั้นล่างเช่นตน เป็นมหันตภัยเสียจริง
เฉินอู่ก้มหน้าก้มตาเดินคอตกไป รู้สึกว่าถนนทักษิณระยะทางสั้นๆ นี้ช่างยาวเหลือเกิน ตอนรีบจ้ำเดินออกไป อยู่ๆ ก็มีเสียงทักทายดังมาว่า
“นั่นใช่พี่เฉินอู่ไหม?”
เฉินอู่เงยหน้าขึ้นมอง ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนสวมชุดสีครามเดินมาจากอีกฟากถนน เฉินอู่อึ้งไปก่อนจะจำได้ รีบกล่าวว่า
“พี่ถานเจียง ไม่เจอกันนาน ที่จวนท่านจัดการธุระกันเรียบร้อยแล้วหรือ คุณชายถานจะต้องนำนายท่านถานกลับไปฝังยังบ้านเกิดไม่ใช่หรือ?”
“ก่อนนายท่านจะจากไป ได้มอบพวกเราให้ผู้อื่น นี่ก็กำลังมารายงานตัวกับนายใหม่ ไม่คุยนานแล้ว วันหน้าค่อยออกมาดื่มสุรากัน”
ทักทายกันง่ายๆ สักครู่ สองฝ่ายก็ผละจากกันไปยังทิศทางของตนต่อ
เฉินอู่ทางนั้นได้บอกกับพวกเฉินซือเป่าว่า เป็นทหารในจวนเสนาบดีถาน ปีนั้นตอนไปสู้กับพวกโจรสลัดทางใต้ได้ติดต่อไปมาหาสู่กันหลายครั้ง
ถานเจียงและคนอีกสิบกว่าคนนำรถใหญ่แปดคันไปตามท้องถนน เป็นที่สนใจของคนไม่น้อย หลายคนด้านหลังของถานเจียงถามอย่างแปลกใจว่า
“พวกคนจวนเซียงเฉิงป๋อดูท่าทางทุลักทุเลเช่นนั้น เหมือนถูกใครลงมือมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ตอนนี้พวกเจ้ายังมีใจมาสนใจเรื่องพวกนี้ ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่านายใหม่คิดอย่างไร นายเราอายุน้อย แต่พวกเจ้าก็ต้องให้ความเคารพและระมัดระวังทำการให้รอบคอบ รู้ไหม!!”