ตอนที่ 129 ความโกรธอัดแน่น ความรอบคอบที่มีช่องโหว่
พอเห็นท่าทางโจวอี้เหมือนมีเรื่องจะรายงาน เฝิงเป่าก็เอามือไขว้หลังเดินก้าวฉับๆ ไปอย่างไม่สนใจ จางเฉิงที่ตามอยู่ด้านหลังก็ใช้สายตาเต็มไปด้วยคำถามมองโจวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าตามไป
ความหมายนี้โจวอี้เข้าใจดี เฝิงเป่ากงกงอารมณ์ไม่ดี มีเรื่องอะไรห้ามรบกวน โจวอี้ยืนก้มตัวน้อมส่งอยู่ตรงนั้น ยกมือลูบคลำเอกสารสองแผ่นในอกเสื้อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตามไป
พอออกมาพ้นอาณาเขตสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ เฝิงเป่าก็ถามเสียงเย็นเยียบขึ้นกลางทางว่า
“ผู้ตรวจการทัพที่เมืองต้าถงเป็นคนของใคร?”
จางเฉิงตอบอย่างไม่ลังเลว่า
“พี่กาวเป็นคนของเฉินหง พอเฉินหงหมดอำนาจก็เห็นว่าเขายังนับว่าขยันขันแข็งอ่อนน้อมดี ส่งมอบของแสดงความกตัญญูมาทันที ดังนั้นจึงไม่ได้ขยับเขา”
รัชสมัยหลงชิ่ง เฝิงเป่าก็เป็นรองหัวหน้าสำนักขันทีแล้ว ตอนนั้นมีตำแหน่งหัวหน้าสำนักขันทีว่างอยู่ มีความหวังสูงว่าเขาจะได้ตำแหน่งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าถูกเฉินหงที่กาวก่งให้การสนับสนุนอยู่นั้นเบียดตกไป เขาแค้นฝังใจในเรื่องนี้มาโดยตลอด
พอได้ยินจางเฉิงกล่าวถึงสาเหตุออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสูง กัดฟันถามอย่างเคืองแค้นทันทีว่า
“ไม่มีคนสนับสนุน ทำไมจึงใจกล้าเยี่ยงนี้ ที่ดินสี่หมื่นหมู่ กาวฉิงกลับกล้าเอามาแบ่งกับพวก และพวกเราไม่รู้กันแม้แต่น้อย ผลเป็นยังไงล่ะ อำมาตย์จางจัดการที่ดินครานี้จึงตรวจพบ เมื่อครู่ที่คณะเสนาบดีใหญ่ ทำเอาพวกเราเสียหน้ามาก”
ด้วยความเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อย่างมหาขันทีเฝิงเป่า กล่าววาจาเช่นนี้ระหว่างทาง คิดแล้วคงต้องโมโหมากเป็นแน่ จางเฉิงในฐานะเป็นผู้ช่วย สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างมากเช่นกัน
โจวอี้ที่ตามอยู่ด้านหลังก็ขยับตัวฉับไว โบกมือไล่สองข้างและด้านหน้า พวกขันทีและนางกำนัลตามทางสองข้างทางพากันถอยออกไป ไม่กล้าเข้ามาใกล้
“เฝิงกงกง กาวฉิงผู้นี้จัดการยาก พวกทหารชายแดนที่เมืองต้าถงนั้นสนิทกับเขาราวกับครอบครัวเดียวกัน และยังมีสายสัมพันธ์กับหย่งเซิ่งป๋อแห่งตระกูลอวี๋ นี่เป็นเหตุที่ไม่ได้แตะต้องเขา”
เฝิงเป่าสีหน้าค่อยๆ ดำคล้ำลง พอได้ยินชื่อก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ถามด้วยความสงสัยว่า
“หย่งเซิ่งป๋อตระกูลอวี๋?”
“ก็คือตระกูลที่อ๋องลู่ทรงหมั้นหมายด้วย เป็นคนซานซี ปีก่อนเพิ่งได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ระดับป๋อ”
อ๋องลู่ถูกฟ้ากำหนดให้เป็นเพียงอ๋องเชื้อพระวงศ์ เรื่องของเขานั้นไม่อยู่ในความคิดของเฝิงเป่า จึงตำหนิว่าไม่รู้ไม่ได้ พอได้ยินว่าเป็นทหารชายแดนเมืองต้าถง ยังเป็นพ่อตาของอ๋องลู่ เฝิงเป่าก็แค่นเสียง ฮึ ขึ้น ก่อนจะเอ่ยว่า
“เรื่องนี้พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยว เขมือบที่ดินอย่างไร ก็ให้คายออกมาอย่างนั้น จางกงกง คณะเสนาบดีใหญ่จะเอาอย่างไรเจ้าก็ทำตามนั้น พวกเราทางนี้จัดการแค่ลงชาดอนุมัติก็พอ”
การเก็บภาษีมาตรการอะไรพวกนั้นก็ล้วนทำตามสมุดบันทึกที่ดิน ยังมีธรรมเนียมที่ขุนนางมากบารมีไม่จ่ายภาษี ดังนั้นในท้องที่จึงมักมีคนจดบันทึกที่ดินเป็นเท็จ หรือนำเอาที่ดินของคนไม่มีชื่อเสียงอะไรสวมชื่อขุนนางมากบารมีด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี ที่ดินพวกนี้ก็นับว่ามีผลประโยชน์ซ้อนไว้อยู่มากมายนัก
เฝิงเป่าระบายอารมณ์จบ ก็รู้สึกว่าเสียกิริยาไป พอเข้าไปในสำนักส่วนพระองค์ ก็ถอนหายใจกล่าวว่า
“หลังรัชสมัยเจียจิ้งได้สามสิบปี ก็มีแต่วุ่นวายเรื่องขาดเงินคลัง ค่าใช้ทางทหารหมดไปกับปราบโจรเหนือใต้และปราบพวกมองโกลนอกด่าน เงินทองบรรเทาภัยในแต่ละที่ก็ล้วนต้องดึงไปโปะไป ในท้องพระคลังมีที่ว่างจนมีแต่หนูวิ่งเล่นไปมา เบื้องบนก็จนกรอบกันเช่นนี้ ด้านล่างเก็บภาษีที่ดินก็กลับถูกพวกมันอมไปสิ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเหล่านี้คิดได้อย่างไร หากราชวงศ์หมิง ล่มสลายลง พวกมันจะยังสามารถได้ประโยชน์อันใดอีก”
พูดไปก็รู้สึกสลดใจขึ้นมา ส่ายหน้าเดินเข้าห้องไป จางเฉิงเลิกม่านออกแต่ไม่ตามเข้าไป กลับปล่อยลงแล้วจ้องโจวอี้ตำหนิเสียงเข้มว่า
“เจ้ามารแทรกหรือไง เห็นเฝิงกงกงโมโหอย่างนี้ ยังตามมาอีก ต้องโดนไปด้วยถึงจะพอใจหรือไง?”
วาจาตำหนิเช่นนี้ก็เพื่อให้คนของตัวได้ดี โจวอี้รีบก้มตัวลงคำนับ แต่ลังเลครู่หนึ่งก็ยังล้วงเอาจดหมายฉบับนั้นออกมาจากอกเสื้อส่งให้พร้อมกล่าวเสียงค่อยๆ ว่า
“หวังทงมีเรื่องสำคัญ ลูกก็ไม่อาจจัดการเองได้ ต้องขอให้ท่านพ่อบุญธรรมช่วยตัดสินใจ!”
“เป็นเพื่อนเล่นฝ่าบาทไปดีๆ วันหน้าอำนาจวาสนาอะไรจะขาดส่วนของเขาได้อย่างไร กลับจะสร้างเรื่องสร้างราวอะไรมากมาย วันๆ หาแต่เรื่องเดือดร้อน!”
จางเฉิงอารมณ์ไม่ดีก็บ่นไปแต่ก็คลี่เอกสารสองชิ้นนั้นออกมาดู อ่านรายชื่อผ่านตาไปรอบหนึ่ง สีหน้าวุ่นวายร้อนใจเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด จากนั้นก็อ่านคำให้การของซุนเหล่าเอ้อร์ สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด พออ่านจบก็พับกระดาษ เอ่ยเสียงเข้มงวดว่า
“เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือ?”
“เรียนท่านพ่อบุญธรรม ลูกส่งเจี่ยงจงกาวไป ผู้ที่สามารถแยกแยะคนได้ไม่พลาดผู้นั้นไปช่วย หวังทงแม้ว่าอายุน้อย แต่ทำงานกลับไม่เคยเหลวไหล เรื่องนี้น่าจะไม่มีพลาดแน่”
จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า
“เจ้าออกไปรอหน้าประตูก่อน ข้าไปพบเฝิงกงกง”
กล่าวจบก็รีบเดินเข้าไป พอเข้าประตูสำนักส่วนพระองค์ไป ก็มีขันทีประจำห้องก้าวขึ้นมารับสองคน ออกมารายงานเบื้องหน้าว่า
“โจวกงกง คนที่เราส่งไปหลายมณฑลส่งรายงานลับกลับมาว่า ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้นเรื่องการตรวจสอบที่ดินมาก ล้วนไม่พอใจแต่ไม่กล้ากล่าว…”
จางเฉิงแค่นเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นจมูก กล่าวเสียงเฉียบขาดว่า
“กลัวว่าพวกมันเองจะไม่พอใจหนักล่ะสิ กวาดเงินกวาดทองไปได้กันมากมาย ซื้อที่ดินได้ตั้งมากมาย ยังไม่ต้องจ่ายภาษีอีก ตอนนี้ให้พวกมันจ่ายเงินกัน กรีดเนื้อมาก็รู้สึกเจ็บเนื้ออีก เรื่องพวกนี้วันหน้าส่งกลับไปให้หมด พวกเราทางนี้ก็ช่วยดูให้ดี พวกเจ้าควรรู้เองว่าเรื่องไหนหนักเรื่องไหนเบา”
จางเฉิงที่เป็นคนนุ่มนวลมาโดยตลอดกลับมีวาจาดุดันเช่นนี้ ขันทีประจำห้องหลายคนต่างก็หวาดหวั่น แต่พอเห็นเฝิงเป่าหน้าบึ้งตึงเดินเข้ามา ก็ยิ่งทำทุกคนหวาดกลัว
จางเฉิงมองซ้ายมองขวา กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า
“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปดื่มน้ำชากินของว่างกันที่เรือนขวาก่อน หากเรื่องจัดการที่ดินยุ่งยากขึ้นมา ทุกคนยังมีงานหนักที่ต้องทำกันอีกมาก”
ทุกคนเลิกคิ้วขึ้น ทำไมจะไม่รู้ว่าจางกงกงต้องการให้ออกไปก่อน จึงรีบยิ้มรีบทยอยกันออกไป
จางเฉิงคลี่เอกสารสองชิ้นในมือออก ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงเดินเข้าไปในห้องเล็กของเฝิงเป่า ในห้องเล็กนี่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอกชัดเจน
เฝิงเป่าได้ยินจางเฉิงไล่คนออกไป ก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่เล็ก เหลือบตามองมาทางจางเฉิง จางเฉิงไม่กล่าวมากความ สองมือยื่นเอกสารในมือให้ไป พร้อมเอ่ยว่า
“หวังทงกับโจวอี้ตรวจพบบางอย่างนอกวัง เรื่องนี้หนักหนานัก ข้ามิกล้าตัดสินใจเพียงผู้เดียว ขอเฝิงกงกงพิจารณาด้วย!”
พอได้ยินชื่อหวังทง สีหน้าเฝิงเป่าก็ผ่อนคลายลง กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“เด็กน้อยอายุไม่มาก ทำงานนับว่าใช้ได้ แต่จิตใจลุ่มลึกไปสักหน่อย ปฏิบัติหน้าที่เป็นเพื่อนฝ่าบาทที่ลานฝึกให้ดีถึงเป็นเรื่องสำคัญ…”
พูดได้ไม่ทันจบ ความสนใจของเฝิงเป่าก็พุ่งไปที่เอกสาร ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งดำคล้ำขึ้น ตอนอ่านคำให้การของซุนเหล่าเอ้อร์ ก็เอ่ยสอบถามขึ้นว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ให้คนในวังที่น่าเชื่อถือไปดูมาแล้ว เป็นตามที่คำให้การนี้ว่าไว้ เฝิงกงกง เรื่องนี้ตอนนี้ล้วนเป็นคนของเราดำเนินการอยู่”
“บัดซบ!! บัดซบจริงๆ!!”
เฝิงเป่าอยู่ๆ ก็ตบโต๊ะเสียงดังปัง ตบเสร็จก็คว้าถ้วยชาขว้างลงพื้นอย่างแรง เรื่องที่มณฑลซานซีแอบฮุบกลืนที่ดินและมีเรื่องโต้แย้งกันที่คณะเสนาบดีใหญ่ไปก็ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากแล้ว ยังมาเห็นปัญหาของขันทีและองครักษ์วังหลวงในวังเช่นนี้อีก ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว จึงระเบิดออกมาทันที
ในห้องอยู่ๆ มีเสียงดังขึ้น ผ้าม่านก็เปิดออกทันที องครักษ์ถือดาบและโจวอี้ก็รีบพุ่งเข้ามา พื้นที่สำคัญในวังอย่างสำนักส่วนพระองค์และสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนมีองครักษ์อารักขา
จางเฉิงหันไปมอง โบกมือติดต่อกันพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“ไสหัวไป ไสหัวออกไป ทางนี้ไม่มีเรื่องของพวกเจ้า!!”
เฝิงเป่าหอบหายใจอย่างแรง ก่อนจะสงบใจลง รอจนคนออกไปหมดแล้ว ก็รีบหยิบเอกสารออกมากล่าวว่า
“ตรวจสอบ!! สำนักเอกสาร สำนักอาชาหลวงและสำนักบูรพาส่งคนออกมาตรวจสอบคนในรายชื่อทั้งหมด ลงทัณฑ์สอบ ไม่ว่าเรื่องอะไรให้รายงานมาที่ข้า”
ตั้งแต่สำนักส่วนพระองค์ตั้งมาก็มีหน้าที่จัดทำเอกสารทางการ โดยมีสำนักเอกสารเป็นหน่วยงานเฉพาะ นอกจากการจัดทำหนังสือแล้ว ยังมีหน้าที่จับตาและตรวจสอบการทำงานของ 24 หน่วยงานในวังหลวง นี่เป็นงานที่ขึ้นตรงต่อหัวหน้าสำนักขันทีส่วนพระองค์ พวกคนของสำนักเอกสารและสำนักอาชาหลวงล้วนสวมชุดขันทีสีดำ
เฝิงเป่าหยิบฎีกาเปล่าขึ้นมาเล่มหนึ่ง เขียนคำสั่งลงไปอย่างรวดเร็ว ประทับตราตนเองลงไป ส่งให้จางเฉิง กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า
“จางกงกง เรื่องนี้มอบให้เจ้าจัดการด้วยตนเอง ต้องสืบเค้นให้หนัก และห้ามให้เจ้านายทุกองค์ทราบ เจ้ารู้ใช่ไหม?”
“เฝิงกงกงโปรดวางใจ ข้ารู้ความสำคัญเรื่องนี้”
กล่าวจบ จางเฉิงก็คำนับและรับฎีการีบออกไป
******
คนของสำนักเอกสารทั้งหมด 200 คน แบ่งออกเป็น 5 หน่วยงาน แม้ว่ามีงานตรวจสอบ แต่งานในวันปกติของพวกเขาก็คือมาทำงานที่สำนัก พิสูจน์ตัวอักษรที่พิมพ์ออกมา ครั้งนี้โจวอี้รีบนำลายมือคำสั่งของเฝิงเป่ามา 5 หน่วยงานก็รีบวางมือจากงาน ตามไปทันที
“…คนในรายชื่อแอบติดต่อคนนอกวัง ไม่รู้ว่าคิดการร้ายใด เฝิงกงกงสั่งว่า ให้เค้นให้หนัก สอบให้ละเอียด ไม่ว่าเกี่ยวพันถึงผู้ใด ก็ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุด ยังมีอีก เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ หากสะเทือนถึงเจ้านายในวัง ก็รอรับโทษได้เลย!”
แม้ว่าเป็นคดีสำคัญ แต่ขันทีประจำสำนักเอกสารไม่รู้ว่าเคยผ่านอะไรกันมามากมายเพียงใด สีหน้าทุกคนจึงไม่แสดงอาการอะไรแม้สักนิด ได้แต่น้อมรับคำสั่ง
******
ขันทีประจำหน่วยงานดังกล่าวนี้ตำแหน่งไม่ต่ำ ล้วนมีเรือนพักของตนเอง ขันทีหน่วยอื่นล้วนเกรงใจพวกเขามาก ขันทีประจำหน่วยงานนี้คนหนึ่งไม่ค่อยอยากอาหาร จึงไปที่ห้องเครื่องขอกับข้าวสักสองอย่าง ทางนั้นก็รีบส่งขันทีนำมาให้ทันที
รอจนกินเสร็จ ขันทีที่ส่งอาหารมาก็เก็บถ้วยชามกลับไป พอกลับไปถึงห้องเครื่อง ยังรายงานหัวหน้างานในห้องเครื่องว่า ยังมีบางแห่งสั่งอาหารมาอีก ไม่สู้ไปส่งเอาเองละกัน!
งานยากลำบากเช่นนี้ ทุกคนล้วนไม่อยากทำ ขันทีผู้ใดต้องการ ก็ให้ผู้นั้นไปละกัน…