ตอนที่ 130 สายลมเริ่มพัดโชยเอื่อย อย่างไรเรียกว่าคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำ
การจัดการสอบสวนในวังหลวง อาจเป็นเรื่องไม่ใหญ่ แต่เกี่ยวกับพันกับหลายฝ่ายไม่น้อย คิดจะปิดบังเรื่องราวไว้ นับว่าไม่ง่ายเลย
และบรรดาเจ้านายฝ่ายใน หากผู้รับใช้ข้างกายตนถูกจับหรือถูกจัดหนัก ก็ล้วนถูกเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับพวกนาง หากมีเรื่องกันขึ้นมาเกรงว่าจะจัดการไม่ง่าย
เฝิงเป่าที่ผ่านร้อนหนาวมามากย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ดี ดังนั้นจึงสั่งการไป ในตอนที่สำนักเอกสาร สำนักอาชาหลวงและสำนักบูรพายังไม่เริ่มจับคน ก็ไปขอเข้าเฝ้าไทเฮาฉือเซิ่งก่อน เจ้านายสูงสุดตัวจริงในวังหลวง
ต่อหน้าไทเฮา เฝิงเป่ามีท่าทางนอบน้อมถ่อมตนมาโดยตลอด แม้ว่าจะโมโหมากจากตอนเช้าที่สำนักคณะเสนาบดีใหญ่และระเบิดอารมณ์ขึ้นที่สำนักส่วนพระองค์ แต่ยามนี้กลับนิ่งสงบ น้ำเสียงนอบน้อมยิ่ง
ตอนเขาไปถึงเป็นช่วงเวลาที่ไทเฮาฉือเซิ่งกำลังเสวยน้ำพุทรา ไทเฮาฉือเซิ่งจากตระกูลหลี่ผู้นี้เกิดในครอบครัวยากจน แม้ว่าเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เป็นฮองเฮา จนเป็นถึงไทเฮา แต่ความเคยชินที่สั่งสมมาหลายปีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม น้ำพุทราเป็นหนึ่งในความเคยชินดังกล่าว
ในพระตำหนักนอกจากนางกำนัลข้างกายสองคนแล้ว คนอื่นๆ ก็ถูกให้ออกไปหมดแล้ว เฝิงเป่าถวายรายงานอยู่ ไทเฮาก็ใช้ช้อนบรรจงตักน้ำพุทธาเสวยอยู่
กล่าวจบ ไทเฮาฉือเซิ่งก็วางช้อนลงในชาม รับผ้าเช็ดมือจากนางกำนัลข้างกายเช็ดมุมปาก ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า
“ตอนปีที่ 21 ในรัชสมัยเจียจิ้งก็เคยเกิดเรื่องขึ้น เฝิงต้าปั้นยังจำได้ใช่ไหม!”
ปีที่ 21 ในรัชสมัยเจียจิ้ง นางกำนัลชื่อว่าหยางจินอิงและพวกอีก 10 กว่าคนฉวยโอกาสตอนที่ฮ่องเต้เจียจิ้งบรรทมอยู่ลงมือใช้เชือกเตรียมรัดพระศอ แต่เพราะผูกเงื่อนตายไม่สำเร็จ หลังเกิดเรื่องคนในวังถูกสังหารไปหลายร้อยคน รวมทั้งนางสนมในวัง เป็นเรื่องสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน จากนั้นมาฮ่องเต้เจียจิ้งก็จะอยู่แต่วังตะวันตก
นี่เป็นเรื่องอัปยศของราชวงศ์หมิงเรื่องหนึ่ง ทุกคนรู้แต่ไม่กล้าพูดกัน ไทเฮาตรัสขึ้นมาเช่นนี้ เฝิงเป่าได้แต่พยักหน้าไม่กล้าตอบ
“ในวังมีเจ้านายฝ่ายในมากมาย หากมีใครเสียสติก่อเรื่องขึ้นมา ทำร้ายเอาผู้ใดเข้า ก็คงไม่ค่อยเหมาะ ทำลายเกียรติแห่งราชวงศ์ เฝิงต้าปั้น เจ้าสอบสวนไปได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าดำเนินการ!”
พระดำรัสเรียบง่าย เฝิงเป่าถวายคำนับขอบพระทัย มีพระดำรัสไทเฮาเช่นนี้ก็เท่ากับการเคลื่อนไหวนี่มีเสาหลัก วันหน้าหากต้องรับผิดชอบสิ่งใดก็ย่อมมีที่มาที่ไปชัดเจน
เฝิงเป่าขอบพระทัยเสร็จ ไทเฮาก็ค่อยๆ ตรัสขึ้นน้ำเสียงเนิบนาบว่า
“เมื่อวานตอนเช้า ข้าให้หมอหลวงมาดูแล้ว บอกว่าข้าตอนนี้พลังหยินอ่อนเกินไป ไม่อาจทานพลังหยางแรงกล้าได้ จากนี้ไปสองสามวัน ที่นี่ไม่ต้องให้ขันทีมาคอยรับใช้แล้ว ข้าจะเลือกนางกำนัลที่ไว้ใจได้มาแทน เฝิงต้าปั้น เรื่องอื่นๆ เจ้าจัดการไปได้!”
การทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้รอบกายตนมีแต่คนที่ไว้ใจได้ เพื่อตัดตอนภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ เฝิงเป่ารีบคำนับรับคำ กำลังจะขอทูลลา ไทเฮาก็ตรัสกำชับอีกว่า
“ที่สำคัญก็คือทางฝ่าบาท ต้องป้องกันให้ดี!”
******
วังหลวงคืนนี้เงียบสงบยิ่ง แต่มีหลายคนถูกนำตัวออกไปจากที่พักตอนเที่ยงคืนดึกดื่น พวกที่ทำงานในวังล้วนรู้ว่าการปิดปากให้สนิทเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรถามก็อย่าได้ถาม
แต่ในใจทุกคนล้วนรู้กันดี คนที่ถูกนำตัวไปนี้เกรงว่าคงไม่ได้กลับมาแล้ว ทุกคนล้วนเดาได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
เจี่ยงจงกาวคืนนี้ไม่ได้พักที่หอเลิศรส แต่กลับเข้ามาในวัง อยู่ที่ห้องเล็กๆ ที่ข้างกำแพงประตูวัง บนแผ่นประตูในห้องเล็กมีช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง
ในห้องทั้งสองด้านมีนายทหารจากสี่กองกำลังประจำพระองค์ภายใต้บัญชาการของสำนักอาชาหลวงกลุ่มหนึ่ง เจี่ยง จงกาวนั่งอยู่กลางห้องพร้อมกับนายกองพันจากสองกองกำลัง ทหารสิบสองหน่วยอารักขาของวังหลวงที่รักษาวังหลวงคืนนี้เข้าประจำการทั้งหมด ทุกกองร้อยจะเดินผ่านห้องนี้ไป นอกห้องจุดไฟสว่างไสว หน้าตาเป็นอย่างไรล้วนเห็นได้ชัดเจน
มีบางกองร้อยทั้งกองเดินผ่านไปได้ แต่บางกองกลับไม่เหมือนกัน ในห้องมีคำสั่งออกมาเมื่อไร คนที่ถูกชี้ตัวก็จะถูกนำตัวไป
คนที่ถูกนำตัวไปมีไม่มาก และไม่มีอาการต่อต้าน เพราะผู้ดำเนินการครั้งนี้เป็นสี่กองกำลังประจำพระองค์จากสำนักอาชาหลวง เป็นหน่วยงานทรงประสิทธิภาพที่สุดในเมืองหลวง
*****
หม่าซานเปียวไม่ได้กลับบ้านไปรักษาอาการบาดเจ็บเพราะต้องการปิดบังผู้อื่น แต่ไม่ได้ปิดบังอะไรนางหม่า นางหม่าถูกพาไปที่บ้านหลังนี้เพื่อดูอาการหม่าซานเปียว
เดิมนางหม่าตกใจจนเสียงหลงแต่พอเห็นลูกชายตนแม้ว่าจะอ่อนกำลังแต่กำลังใจเข้มแข็งมาก กำลังทายเต๋าเล่นพนันกับพวกองครักษ์เสื้อแพร จึงไม่ได้กังวลอะไร
แต่ก็อดเช็ดน้ำตาไม่ได้ หญิงชราบ่นด่าหม่าซานเปียวไปยกใหญ่ จึงได้วางใจกลับไป ตอนหม่าซานเปียวออกไปเลี้ยงสัตว์นอกเมืองก็หลายเดือนไม่กลับบ้าน ก็ชินเสียแล้ว
หลี่เหวินหย่วนเดินตามหวังทงมา หลี่หู่โถวก็เดินตามมาด้วย ต่อหน้าหลี่เหวินหย่วน หลี่หู่โถวมีท่าทางนอบน้อมต่อหวังทงอย่างมาก แต่พอส่วนตัวก็มีท่าทางแบบที่ลานฝึก เห็นหวังทงเป็นพี่ใหญ่ ร่าเริงอย่างมาก
ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน พอถึงเวลาค่ำก็ต้องยุ่งกับการหุงหาอาหาร หวังทงถือแผนเปี๊ยะและอาหารตุ๋นในชามกินเป็นอาหารค่ำ หลี่หู่โถวไม่อยากตามติดอยู่กับผู้ใหญ่กลุ่มนี้ จึงได้ตามติดออกมา
ตั้งแต่เริ่มกิน ปากหลี่หู่โถวก็ยังไม่หยุด ไม่ใช่ว่ากำลังกิน แต่กำลังเอาแต่พูดไม่หยุดว่า
“พี่หวังท่านไม่เห็นหรือว่า วันนี้พวกเฉินซือเป่าเอาพวกผลไม้เชื่อมน้ำผึ้งอะไรพวกนั้นมาด้วย หวงอี้จวินเห็นแล้วก็ไม่พอใจ พอครูฝึกห่างออกไปตอนทุกคนได้เวลาพัก เขายังไปบอกกับลี่เทาและซุนซิงด้วย บอกว่าเพราะพวกเฉินซือเป่าเมื่อวานพวกเราเลยโดนวิ่ง ทุกคนพากันโกรธมาก รุมล้อมไปจะลงมือ เฉินซือเป่ากับเจ้าคนแซ่ถังนั่นหน้าซีดเลย อธิบายร้องขออย่างสุดชีวิตเลยทีเดียว ผลไม้เชื่อมที่เอามายังถูกหวงอี้จวินขยี้ทิ้งกินไม่ได้เลย หากครูฝึกไม่รีบออกมาห้ามไว้ เกรงว่าวันนี้คงได้ลงมือจัดการพวกเขาอีกยกกันแล้ว อ๊ะ พี่หวัง พี่เป็นไรไป!!”
ฟังไม่ทันจบ หวังทงกัดขนมเปี๊ยะไปคำนั้นกำลังติดคอพอดี มือไม้เปะปะไปมา รีบไปเทน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ ดื่มไปอึกใหญ่ ถึงได้หายใจสะดวกขึ้น
ไม่อาจไม่ติดคอได้จริงๆ เรื่องที่หลี่หู่โถวเล่านั้นมันน่าขันอย่างมาก ในปากยังมีของอยู่จึงได้เกิดเหตุน่าอายเช่นนี้ได้ ดื่มน้ำไปสองอึก หวังทงจึงหายใจได้คล่องขึ้นกล่าวว่า
“เรียนด้วยกันในลานฝึก ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้น ยังจะวิวาทกันทำไมเนี่ย จะว่าไป คนที่เสียเปรียบก็คือพวกของเฉินซือเป่า พวกเราได้เปรียบ ยามที่ควรให้อภัยก็ควรให้อภัยสิ!”
หลี่หู่โถวกัดเนื้อกัดแผ่นเปี๊ยะไปคำหนึ่ง เคี้ยวไปส่งเสียงอู้อี้ไปว่า
“ก็ใช่น่ะสิ ผลไม้แห้งผลไม้เชื่อมพวกนั้นดูแล้วก็เป็นของดี สุดท้ายถูกหวงอี้จวินขยี้ทิ้งหมดเลย กินไม่ได้เลย น่าเสียดาย”
หวังทงยกมือลูบท้ายทอยหลี่หู่โถวเบาๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ไยจึงได้ไม่พอใจที่พวกเฉินซือเป่าเอาของกินมา ยังนำทุกคนให้ลงมืออีก ย่อมเป็นเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะใช้ของอร่อยมาทำตามแบบวิธีที่ฮ่องเต้ว่านลี่เองเคยใช้ ดึงทุกคนไปเป็นพวก สถานะเล็กๆ ที่ฮ่องเต้ว่านลี่มีอยู่ในลานฝึกจะสูญเสียไป
ฮ่องเต้อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เรื่องแย่งชิงต่อสู้ยังมีหลายรูปแบบ ช่างไม่ธรรมดา หวังทงคิดไปก็อึดอัดไป ตนเองควรหาเวลาคุยกับพวกเฉินซือเป่า ตอนนี้ทุกคนอยู่ร่วมกันที่ลานฝึก วันหน้าล้วนเป็นสายสัมพันธ์มิตรภาพฉันท์มิตรสหาย ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องมีราวมองหน้ากันไม่ติด
จะว่าไปนี่ก็เป็นการจัดการของคนในวัง หากลานฝึกไม่ยอมรับพวกเขา ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนในวัง อย่างไรคงต้องไปจัดการชี้แนะสักหน่อยแล้ว
เด็กพออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยก็จะตื่นเต้นกันมาก พอมาถึงบ้านหลังใหญ่ ตามปกติวิสัยทุกวันก็จะนอนหลับไปนานแล้ว แต่วันนี้อย่างไรก็นอนไม่หลับ
หลี่เหวินหย่วนก็มีวิธีจัดการในเรื่องนี้ ให้หลี่หู่โถวไปฝึกทวนก่อน รอให้เหนื่อยค่อยกลับมานอน หวังทงก็เหมือนปกติที่ก่อนจะเข้านอนจะต้องทำใจให้สงบก่อน จัดการครุ่นคิดเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งวัน เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ ถานเจียงก็เดินเข้ามา ถานเจียงตอนนี้ยังคงสวมชุดสีเขียวครามและหมวกใบเล็กเช่นเดิม ดูไม่ออกสักนิดว่าตอนกลางวันจะขี่ม้ายิงธนูได้แม่นยำและมีความองอาจกล้าหาญเพียงนั้น ในมือเขาถือกาน้ำชามาด้วย ยิ้มกล่าวว่า
“นายท่าน หลี่หู่โถวอายุไม่มาก แต่พอมีฝีมือเพลงทวน ไม่เกินสองปีก็น่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของนายท่านได้!”
หวังทงลูบใบหน้า บรรดาของจวนถานวันนี้ได้ช่วยตนเอาไว้มาก แต่เขายังคงไม่รู้ว่าควรใช้ท่าทีอย่างไรปฏิบัติต่อคนเหล่านี้ พวกถานเจียงเคารพนอบน้อมเขา ทุกอย่างมีมารยาทยิ่ง แต่สองฝ่ายอย่างไรก็เหมือนมีอะไรขวางอยู่ตรงกลาง ลังเลครู่หนึ่ง หวังทงก็เอื้อมมือไปทางเก้าอี้ด้านข้างกล่าวว่า
“ท่านก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นั่งลงพูดก็ได้”
ถานเจียงนอบคำนับกล่าวขอบคุณ รินน้ำชาให้หวังทง แต่มิได้นั่งลง ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กล่าวเสียงทุ้มต่ำจริงจังว่า
“นานท่าน โรงบ้านที่เราไปลงมือกันมาในวันนี้ เป็นกิจการของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหลิวโสวโหยว ก่อนข้าน้อยจะมาที่นี่ ใต้เท้าถานได้เคยบอกแก่ข้าน้อยว่า นายท่านมีเบื้องหลังมีภูผาใหญ่คอยให้การสนับสนุน คิดแตะต้องใต้เท้า เห็นภูผานั่นก็ไม่กล้าขยับ แต่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็นับเป็นภูผาลูกหนึ่ง นายท่านอาจไม่เกรงกลัว แต่การทำเรื่องแบบนี้เพื่อผู้ใต้บังคับ ถึงกับไปเสี่ยงภัยใหญ่เช่นนี้ ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวกับนายท่านว่า นายท่านจากนี้ไปจะเป็นผู้ทำการใหญ่ การกระทำที่เฉกเช่นคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำเช่นวันนี้ วันหน้าอย่าได้ทำอีกเด็ดขาด”
นี่เป็นวาจาจริงใจ หวังทงไม่รู้ว่าอดีตเสนาบดีกลมกลาโหมถานกวนได้กล่าวอะไรกับเขามาบ้าง แต่ถานเจียงก็รู้ไม่น้อย หวังทงนั่งยืดตัวตรงขึ้น เอ่ยขึ้นว่า
“วาจาเจ้านับว่าเป็นเหตุผล สามารถกล่าวกับข้าเช่นนี้ได้ ก็ได้แสดงถึงจิตใจเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง แต่ข้าไม่รู้สึกว่าเรื่องวันนี้ดังคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำตรงไหน คนของคนเองส่งไปทำงานถูกคนจับไปซ้อม อย่าว่าแต่จะเป็นโรงบ้านของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเลย แม้เป็นของขุนนางใหญ่คนใด ข้าก็จะนำคนไปจัดการเช่นกัน”
ถานเจียงเงยหน้ามองหวังทง ในแววตาราวกำลังครุ่นคิด หวังงทงกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“คนของข้ามีแต่ข้าเท่านั้นที่ลงไม้ลงมือได้ เกิดเรื่องข้ามีส่วนรับผิดชอบ ข้าต้องรับรองความปลอดภัยให้พวกเขาทุกคน มิเช่นนี้พี่น้องคนไหนจะยอมเชื่อฟังข้า ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อข้าหวังทงกัน ถานเจียง วันนี้ช่วยหม่าซานเปียว วันหน้าหากเจ้าตกในสภาพเช่นนี้ ข้าก็ช่วยเจ้าเช่นกัน!!”
ถานเจียงสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะคำนับขออำลาออกมา เทียบกับตอนเข้าไปแล้ว ท่าทางนอบน้อมมากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมมาก…