Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 144

ตอนที่ 144 พวกหูตาไว เงินทองไหลมาเทมา

พวกหูตาไวในเขตปัจจิมได้อาศัยช่องทางต่างๆ ถึงขั้นรู้เรื่องป้ายสงบสุขก่อนพวกองครักษ์เสื้อแพรเสียอีก

ไม่ว่าข่าวลือตามซอกตามซอยจะเป็นอย่างไร หวังทงตอนนี้ยังคงเป็นแค่นายกองร้อยตัวเล็กๆ คนที่ออกหน้าสั่งการเรื่องนี้ก็คือหลี่ว์วั่นไฉ ผู้ช่วยคนใหม่แห่งศาลซุ่นเทียน ควบตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดี

เมื่อรับป้ายสงบสุขมาแล้ว ราวสามปีต้องจ่าย 600 ตำลึง นี่คืออย่างน้อยที่สุด บ่อนพนันและหอคณิกาใช่ว่าจะกิจการใหญ่โตอะไร หากเปรียบกับกิจการสุจริตแล้วก็แค่มีกำไรมากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น จำนวนเงินมากเช่นนี้ เท่ากับขูดเนื้อเถือหนัง และยังมีเลือดออกซิบๆ อีกด้วย

แต่ในเมืองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็สะเทือนลือลั่นกันไปทั่วทันที พวกที่พอมีเส้นสายทางการอยู่บ้าง ก็จะแอบฝากคนมาสืบข่าว

ขูดเนื้อเถือหนัง ดูดเลือดจะไปมีอะไร พอรับป้ายไป ก็เท่ากับมีสายสัมพันธ์กับทางการแล้ว ไม่ต้องคอยระแวงทุกวัน เจ้าพนักงานทั่วไปหรือพวกที่พอมีตำแหน่งมาถึงยังต้องก้มตัวคำนับ นอบน้อมอย่างที่สุดเลย

ไม่รู้ว่าตอนไหน ทางการจะเชือดสุกร ส่งคนมาตรวจไปสักรอบ ลำบากมานานปีก็กลายเป็นเถ้าธุลีกันไป ดีไม่ดียังจะถูกจับกุมไปด้วย

รับป้ายไป ทางการไม่เพียงแต่ไม่ส่งคนมารบกวน กลับยังจะช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย กิจการก็จะค้าขายกันได้อย่างราบรื่นเป็นสุข ต่อเนื่องสืบไป แม้จะหักค่าป้ายไปแล้ว ไม่แน่ยังได้กำไรกว่าเมื่อก่อนอย่างมากอีกด้วย

และเมื่อได้ป้ายสงบสุขมาไว้ในมือแล้ว ก็พอดูเป็นคนทำการค้าสุจริตอยู่เล็กน้อย ในเมื่อทางการยอมรับและให้การรับรอง นี่เป็นสิ่งล่อลวงคนในวงการมากยิ่งกว่า

ไม่สนว่าชื่อเจ้าจะมีคำว่า มังกร หรือ พยัคฆ์ หรือไม่ มีชื่อในเมืองนอกเมืองหรือไม่ มีหน่วยกล้าตายในมือหลายสิบหรือไม่

ที่สุดก็เป็นแค่พวกนักเลงหัวไม้ ถูกคนดูแคลน หากเดินทางสายนี้ก็ไม่มีใครมองอย่างให้เกียรติ ไม่ว่ากลัวหรือไม่ ก็จะหลบราวกับหลบสิ่งสกปรก ในสายตาคนสุจริตแล้วก็ได้แต่ไม่อาจเงยหน้าสู้ หากมีป้ายสงบสุข อย่างน้อยก็ล้างชื่อเสียงให้สะอาดขึ้นบ้าง

*****

ถนนทักษิณเป็นที่นำเสนอป้ายสงบสุขที่แรก ตัวอย่างก็มีให้เห็นตรงหน้า รับป้ายไปแล้วก็ไม่มีพวกปลายแถวจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร ศาลอาญาใหญ่หรือทางการอื่นๆ มารบกวนเรียกเงินเรียกทอง หากไม่รับป้ายไป ก็จะมีคนมาตรวจวันละสองรอบ ไม่อาจทำการค้าได้

ตอนนั้นเป็นแค่ของนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพร แต่ป้ายสงบสุขตอนนี้เป็นของเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนแล้ว เจ้าหน้าที่สืบคดีกุมอำนาจอาญาในศาลซุ่นเทียน รักษาความสงบเรียบร้อย การสืบคดีต่างๆ ก็นำโดยคนผู้นี้ พอดีที่มารับผิดชอบพื้นที่นี้ เป็นฟ้าบนศีรษะของทุกคนที่แท้จริง

นับประสาอะไรที่ฟ้าตอนนี้ยังสูงไปอีกชั้น ได้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้ากรมและควบตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดี ก็ยิ่งไม่อาจล่วงเกินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ศาลซุ่นเทียนเกิดคดีอะไรสักอย่าง ขุนนางเกือบร้อยคนถูกกวาดล้าง ว่ากันว่าเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉเป็นผู้ดำเนินการ บุคคลระดับนี้ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง

ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ป้ายนี้ย่อมเป็นต้องมาแย่งรับกันไว้ก่อน เกรงว่าใครช้าไปก้าวก็จะกลายเป็นกลุ่มที่จะถูกกวาดล้าง

มีบางคนคิดไม่ถึงว่า เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉนำเสนอป้ายสงบสุขนี้ ทั้งที่แน่นอนย่อมไม่ได้รับอนุมัติจากทางการ แต่พวกเขาจ่ายเงินไป กลับไม่มีเงินสักแดงที่เข้ากระเป๋าศาลซุ่นเทียน เงินจำนวนนี้แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งของหวังทง ส่วนหนึ่งให้กับเจ้าหน้าที่และองครักษ์เสื้อแพรที่ดำเนินการ ยังมีอีกส่วนหนึ่งเก็บสะสมเอาไว้

ส่วนที่เก็บสะสมเอาไว้นี้ กล่าวกันว่าเป็นเงินทุนสะสมของลานฝึก เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับลานฝึกหู่เวยโดยเฉพาะ ถึงกับมีบัญชีค่าใช้จายของลานฝึกหู่เวยเลยทีเดียว และเป็นหวังทงดูแลร่วมกันกับโจวอี้

เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนได้แบ่งผลประโยชน์ก็ย่อมไม่ปริปาก คนเบื้องบนพวกนั้น ในศาลก็มีจำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวพันกับโจรสำนักไตรสุริยันฟ้าดิน ความเกี่ยวพันนี้กำลังร้อนแรง ใครอยากจะไปยุ่งเรื่องของหลี่ว์วั่นไฉที่กำลังมาแรงกัน

*****

“พี่จาง ข้าได้ยินว่าระยะนี้ท่านกับพวกพี่น้องต้าไห่สนิทสนมกันไม่เลว!”

ตอนนี้หวังทงทุกเช้าไม่ต้องไปรายงานตัวแล้ว และตำแหน่งที่ได้มาก็ไปแบ่งผลประโยชน์มาจากสายปกครองของเถียนหรงหาว ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร จึงได้เปิดประชุมเช้าที่บ้านแทน

ฮ่องเต้ต้องออกว่าราชการตอนเช้า บริษัทในยุคปัจจุบันก็ต้องประชุมเช้า หวังทงก็เลยนำมาใช้ด้วยเลย จัดสรรแบ่งงาน ทุกคนล้วนขยันขันแข็ง รีบมาให้เช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

หลี่ว์วั่นไฉและหวังกุ้ยกับหลี่ซื่อได้ยิน ก็มาร่วมด้วย พอถึงตอนเช้า ในบ้านก็มีคนไม่น้อย สำนักไตรสุริยันถูกกำจัดไป หม่าซานเปียวก็อยู่รักษาอาการบาดเจ็บที่บ้านหวังทง ทำให้แออัดยิ่งนัก

หวังทงถามเช่นนี้ จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ก็รู้สึกเครียดเล็กน้อย จางซื่อเฉียงรับลุกขึ้นมากล่าวว่า

“ล้วนเป็นคนที่เคยทำงานมาด้วยกัน ลูกหลานพี่น้องมาสนทนากันที่บ้าน ได้ยินใต้เท้าว่าได้รับตำแหน่งนายกองร้อยใหม่ ขาดคนไม่น้อย จึงคิดจะเสริมกำลังเข้ามากัน”

ซุนต้าไห่กล่าวขึ้นตามมา

“ใต้เท้าก็รู้ ถนนหนิวหลันเราทางนั้นยากแค้นมาก พี่น้องไม่น้อยเห็นพวกเรากินดี อยู่ดี ก็มองงานทางเรากันตาเป็นมัน ใต้เท้ายังมีความสามารถ พวกนั้นต่างก็อยากจะขอย้ายมา”

“พี่น้องเราตอนนี้ต่างรู้จักกันดี หากปล่อยให้คนนอกเข้ามา ยากที่จะแยกแยะ พวกเราอย่าได้รับคนมามั่วซั่ว เอาของที่รับมาคืนกลับไปให้หมด!”

เสียงหวังทงเฉียบขาดเล็กน้อย ทำเอาซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียงสะดุ้งโหยง รีบคำนับใหญ่รับคำทันที หวังทงกล่าวเรื่องพวกเขาจบ ก็หันมาทางหลี่ว์วั่นไฉทั้งสามคนว่า”

เสนอป้ายไปแค่สี่วัน หลี่ซื่อกับหวังกุ้ยก็มีลูกน้อง 30 กว่าคน มีมากเช่นนี้ทำไม หากต้องปะมือกันจริง พวกนั้นเป็นกันไหม? เอาคนออกให้หมด รอให้คนมาจับผิดเอาได้ก็สายเกินไปแล้ว!”

หวังซื่อกับหลี่กุ้ยไม่ใช่คนของหวังทง แต่ได้ยินคำตำหนิ ก็รีบคำนับขออภัย รับปากจะกลับไปดำเนินการโดยไม่โต้สักคำ

ถูกตำหนิเช่นนี้ พวกหลี่ว์วั่นไฉทั้งสามคนไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังรู้สึกซึ้งใจ ใต้เท้าหวังเห็นพวกเราเป็นคนกันเอง

แต่ไม่ว่าซุนต้าไห่ หวังซื่อ หรือหลี่กุ้ย ในใจทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ เรื่องนี้แม้ว่าไม่มีเจตนาปิดบัง แต่ใต้เท้ารู้ได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวกันขึ้นมาหลายส่วน

อยากรู้ก็ไม่ยาก เพราะตอนนี้เรื่องของลานฝึกหู่เวยกับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับหวังทง ล้วนมีคนของสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรคอยจับตาดู ข่าวพวกนี้ไปถึงโจวอี้ โจวอี้ก็ใจกว้างแบ่งปันกับหวังทง การเคลื่อนไหวของคนใต้บังคับบัญชาย่อมต้องรู้ให้ละเอียด

หวังทงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เห็นชัดว่าอายุน้อยที่สุด แต่ยามนี้เขากลับพูดเหมือนกับผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก

ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ แต่เอาคนพวกนี้เข้ามา นอกจากต้องแบ่งเงินให้แล้วยังมีประโยชน์อันใด พวกของเจ้ากั๋วต้งพวกนั้นหาเรื่องเดือดร้อนอะไรให้เขา หรือพวกเจ้าไม่เห็นกัน เอาออกให้หมด ข้าแค่อยากเห็นพวกเจ้าได้ดี คนอื่นข้าขี้เกียจจะสนใจ!!”

วาจาเด็กที่ยังไม่โตราวกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ก็ยังคงฟังกันอย่างนอบน้อม หวังทงสังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจของบางคน ก็อดถอนหายใจกล่าวสำทับตามมาอีกไม่ได้ว่า

“อายุน้อยกว่า 18 ร่างกายแข็งแรง มีพ่อแม่ครบหรือพอมีกิจการ หรือพวกมีลุงมีพ่อมีพี่ทำงานในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ก็รับไว้ได้ แต่ไม่ให้อยู่กับกองร้อยเรา ส่งไปฝึกที่โรงบ้านนอกเมือง ให้พอมีพื้นฐานบ้าง กินดี อยู่ดี แถมยังมีเงินทองมอบให้ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารับราชการปกติเท่าไรหรอก”

วาจาตำหนิเมื่อครู่ ทุกคนย่อมรู้สึกว่าต้องเสียหน้ากับคนข้างนอกเป็นแน่ หวังทงก็อดที่จะห่วงใยไม่ได้ อย่างไรตอนนี้ในมือไม่ขาดเงินทอง ขาดก็แต่คน

กล่าวจบ จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ หวังซื่อและหลี่กุ้ยก็ประสานมือคำนับอย่างยอมสยบให้ทั้งใจ หวังทงโบกมือ หันไปกล่าวต่อกับหลี่ว์วั่นไฉว่า

“พี่หลี่ว์ วันนี้วันที่ 22 เดือนห้า เงินเก็บมาได้ 6,300 กว่าตำลึงเงิน เงินก้อนนี้เป็นเงินค่าป้าย พวกเถ้าแก่เจ้าของร้านพวกนี้ มีเสียงไม่พอใจอะไรไหม?”

หลี่ว์วั่นไฉโบกมือหุบพัดลง ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า

“เดิมเก็บเงินต่อปี แต่ป้ายเป็นที่ต้องการมาก ทุกคนยอมจ่ายมากหน่อยเพื่อซื้อความสบายใจ ใครจะไปบ่นไม่พอใจกัน ได้ไปก็ยินดีกันแทบไม่ทัน!”

หวังทงพยักหน้า กล่าวเสียงราบเรียบต่อว่า

“แม้พวกเรารับปากเบื้องบนและเบื้องล่างว่าเงินที่ได้ทุกปีจะแบ่งให้พวกเขา แต่เงินก้อนนี้ก็เห็นกันอยู่กับตา เอา 2,000 ตำลึงออกมา พี่หลี่ว์กับพี่จางแบ่งให้กับลูกน้องทุกคนละกัน!”

นี่ก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย น้ำใจของทุกคนสูงส่งเช่นนี้ ในเมื่อแม้แต่ ‘ค่าป้ายล่วงหน้า’ ยังยอมมอบให้เช่นนี้ หวังทงก็ได้แต่กล่าวขอบคุณน้อมรับไว้

“ที่เขตทักษิณนี่ก็แจกป้ายออกไปได้พอสมควรแล้ว รออีกสองสามวัน ค่อยรวมกำลังกวาดล้างผู้ที่ไม่รับป้าย คนจ่ายเงินก็ย่อมต้องให้พวกเขาเห็นประโยชน์ของการจ่ายเงิน!”

หวังทงกล่าวเสียงเรียบเฉย แต่คนที่อยู่รอบๆ นอกจากหลี่เหวินหย่วนแล้ว ล้วนมีสีหน้ายินดี เรื่องเช่นนี้ มีทั้งได้เบ่งบารมี มีทั้งเงินทองให้รับ มีอันใดไม่น่ายินดี

ยามนี้หลี่กุ้ยก็รายงานอย่างใจกล้าว่า

“ใต้เท้าหวัง เขตทักษิณล้วนเป็นราษฎร คหบดีร่ำรวยมีน้อย ทุกคนล้วนกลัวมีเรื่องกันมาก หากไปที่อื่น เกรงว่าจะยุ่งยาก!”

‘เขตบูรพาร่ำรวย เขตปัจจิมอู้ฟู่ เขตอุดรชนชั้นสูง’ นี่เป็นคำกล่าวทั่วไปในหมู่ราษฎรเมืองหลวง การนำเสนอป้ายสงบสุข กำไรใหญ่อยู่ที่สามเขตนี้ แต่ปัญหาใหญ่ก็อยู่ที่สามเขตนี้เช่นกัน

ยังไม่ทันรอให้หวังทงกล่าวอันใด ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังมาจากด้านนอกว่า

“หัวหน้าหวัง! หัวหน้าหวัง!”

หวังทงอึ้งไป คิดในใจว่าตนเองมีชื่อเรียกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร หวังซื่อที่อยู่ข้างๆ กระโดดตัวโยน ยิ้มแหะๆ ว่า

“ใต้เท้าหวัง เป็นคนของข้าน้อยเอง เจ้าลูกหมาพวกนี้มาหาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน ข้าน้อยออกไปดูสักครู่ก็กลับ…”

กล่าวจบก็รีบวิ่งออกไป หวังทงมองไปทางหลี่ว์วั่นไฉกับหลี่กุ้ย สองคนต่างส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน

อารมณ์และความคิดหวังทงถูกขัดจังหวะ ยกมือเคาะโต๊ะเบาๆ กำลังจะกล่าวต่อ หวังซื่อที่เพิ่งออกไปก็วิ่งกลับเข้ามา ครั้งนี้สีหน้าแตกตื่นอยู่มาก พอเข้ามาก็รีบรายงานว่า

“ใต้เท้า พวกเสี่ยวหนิวที่ไปเก็บเงินที่หอฉินก่วน ถูกพวกหลายคนรุม ตอนนี้ให้พวกเราเอาเงินไปไถ่ตัว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version