Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 147

ตอนที่ 147 ไสหัวออกไป!

คืนนี้การค้าของหอฉินก่วนดีเป็นพิเศษ พนักงานต้อนรับหน้าประตูก็ยุ่งกันไม่หยุด เมื่อวานเถ้าแก่เนี้ยแสดงท่าทีทั้งหัวเราะและเกรี้ยวกราดใส่ผู้ช่วยเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนไป รองเจ้ากรมยังเห็นตามทุกเรื่อง สถานที่แห่งนี้ในเมืองหลวงจึงพองใหญ่คับฟ้า

เห็นแขกที่มาใหม่ ขุนนางและคหบดีก็ไม่ได้น้อยลง แต่กลับมีคนท่าทางเหมือนทำการค้าไม่น้อยมาเที่ยว คนที่สายตาแหลมคมก็จำได้ เหมือนว่าเป็นบรรดาเถ้าแก่เจ้าของบ่อนและหอคณิกาหลายแห่งในเขตบูรพา เขตอุดรและเขต

ปัจจิม ในนั้นยังแอบมีบางคนมาจากเขตทักษิณด้วย

ว่ากันว่าผู้ร่วมสายอาชีพล้วนเป็นศัตรูกัน แต่คนเหล่านี้กลับยิ้มเกรงอกเกรงใจกัน มาถึงที่ใช้จ่ายเงินกัน คิดไม่เข้าใจจริงว่าเพราะเหตุใด?

“เจ้าพวกหนูขี้ขลาดพวกนี้ ข้าออกหน้าแทนพวกเขา ก็เริ่มทยอยกันมาประจบ คิดว่าข้าไม่รู้หรือ เมื่อวานมีคนเตรียมเงินทองจะมามอบให้หอฉินก่วนเราแล้วด้วย!”

ในห้องหรูชั้นสองตรงหน้าประตูใหญ่ หน้าต่างเปิดแง้มเป็นช่องอยู่บานหนึ่ง หญิงเมื่อวานกำลังนั่งไขว้ห้างนวยนาดอยู่บนเก้าอี้ ด้านหลังมีชายกลางคนท่าทางเหมือนพ่อบ้านสองคน

“แม่เล้าซ่ง หอเราปะทะกับหลี่ว์วั่นไฉแทนพวกเขา ที่พวกเขารับปากเรื่องหุ้นส่วนอะไรนั่นจะบิดพริ้วหรือไม่!”

“พวกมันกล้ารึ ระวังถึงเวลาข้าจะใช้คนศาลซุ่นเทียนไปเก็บเงิน ไม่รู้จักดูเลยว่าเบื้องหลังข้ามีผู้ใดอยู่!!”

นางแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา พลางโยนผลไม้เชื่อมใส่ปาก

ไม่กล่าวถึงเรื่องของด้านบน ไปดูพนักงานต้อนรับหน้าประตู พอเห็นแขกแปลกหน้าท่ามกลางหมู่แขกมากมาย ความสามารถที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาก็คือจดจำผู้คน ถึงเวลาให้ทักทายต้อนรับให้อบอุ่นไว้ก่อนดีที่สุด

ชายแปลกหน้าสวมชุดยาวสุภาพรูปร่างสูงใหญ่ แต่พอโดนแสงไฟส่อง ก็เห็นว่าชายผู้นี้เป็นเพียงเด็กน้อยที่ยังโตไม่เป็นผู้ใหญ่นัก ด้านหลังมีผู้ติดตามวัยกลางคนสองคน กิริยาท่าทางดูมีระดับอยู่เหมือนกัน

เนื้อผ้าของชุดยาวทั้งตัวนั้นเป็นผ้าแพรต่วนดำจากเมืองซูโจว รองเท้าหุ้มเย็บจากหนังลูกวัว ยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความสนใจใคร่รู้ คนส่วนใหญ่เมื่อมาที่นี่ครั้งแรก ก็มักจะรีรอ แต่เด็กที่ยังไม่โตผู้นี้กลับมองไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ การแต่งกายเช่นนี้ ยังมีกลิ่นอายเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นคุณชายจากตระกูลใด

เห็นชัดว่าเป็นคุณชายร่ำรวยที่ไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้ ขอเพียงต้อนรับให้ดี วันหน้าก็ย่อมเป็นแหล่งเงินทองที่มั่นคงของหอเรา และพวกชายหนุ่มอายุน้อยมักจะใช้เงินไม่รู้จักขีดจำกัด หากพอใจก็จะใช้จ่ายมือเติบอย่างแน่นอน

แค่เพียงแวบเดียว พนักงานต้อนรับหน้าประตูก็ปรี่เข้ามาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย สองคนจ้องหน้าใส่กันอย่างไม่ได้นัดหมายเช่นกัน คนที่วัยวุฒิสูงกว่าย่อมได้เปรียบ

“นายท่านท่านนี้ คืนนี้ให้เกียรติมาเยือนหอเรา ท่านช่างสายตาเฉียบแหลม มาถูกที่แล้ว เชิญด้านในๆ…”

เด็กยังไม่โตผู้นั้นพยักหน้าเดินตามพนักงานต้อนรับเข้าไปทันที สองคนที่เดินออกมาจากเงาด้านหลังของนายท่านท่านนั้น ด้านหลังของผู้ติดตามต่างสะพายพลองยาวไว้ เอามาทำไมกัน พนักงานตะลึงเล็กน้อย นายท่านนั้นไม่สนใจกล่าวว่า

“นี่เป็นธรรมเนียมตระกูลข้า เอาเข้าไปด้วยพอ ใช่ว่าจะไม่จ่ายเงิน”

พนักงานเห็นโลกมามาก พอเห็นกิริยาของนายท่าน และน้ำเสียงที่กล่าว ก็รู้ว่าไม่ใช่คุณชายจากตระกูลทั่วไป ไม้พลองยาวสองอันก็ไม่เห็นจะเป็นสิ่งของน่าตกใจตรงไหน ให้เอาเข้าไปก็แล้วกัน

พอชายหนุ่มก้าวเข้าประตูไป ผู้ติดตามทั้งสองก็เป็นที่จับตามองของคนไม่น้อย แม่เล้าซ่งชั้นสองก็แหวกช่องหน้าต่างมองลงมาด้านล่าง

“นายท่านเชิญทางนี้ ดื่มน้ำชากลั้วคอก่อน จะให้สาวๆ ในหอเรามาทักทายท่าน หอฉินก่วนเรามีสาวงามจากเมืองหยางโจว เมืองต้าถงและเมืองอื่นๆ มากมาย!”

พนักงานต้อนรับที่นำเข้ามาก็แนะนำแข็งขันไปครุ่นคิดไป เด็กยังไม่โตผู้นี้จะไม่รู้ธรรมเนียมให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ หรือว่าควรกล่าวให้ชัดเจนสักหน่อยดี

ชายหนุ่มโบกมือขึ้น ชี้ไปทางหนึ่งกล่าวว่า

“คืนนี้อากาศร้อนอยู่บ้าง หาที่ลมเย็นนั่งสักหน่อยดีกว่า อืม ทางนั้นไม่เลว ถานเจียง เหวินหย่วน ย้ายโต๊ะเก้าอี้มาให้ข้า!!”

ขณะที่พนักงานต้อนรับมองตาค้างอยู่นั้น ถานเจียงกับหลี่เหวินหย่วนก็ย้ายโต๊ะและเก้าอี้มาวางหน้าประตูใหญ่หอฉินก่วน หวังทงยกชายเสื้อยาวขึ้นอย่างมีมาดก่อนจะนั่งลง ยิ้มกล่าวว่า

“รู้สึกคอแห้งเหมือนกัน รีบเอาน้ำชาอย่างดีมาสักกา!!”

กล่าวจบ พนักงานผู้นั้นก็ได้สติ เห็นท่าแล้ว ไม่ว่าใครก็รู้ว่ามาหาเรื่องถึงที่ มองผู้ติดตามอายุราว 30 – 40 สองคนนั้นแล้ว และแววไร้เดียงสาบนใบหน้าของเด็กน้อยยังไม่โตผู้นี้แล้ว พนักงานผู้นี้ก็ใจกล้าขึ้น ยกมือชี้ตวาดด่าเสียงดังว่า

“เด็กบ้านไหน กล้ามาหาเรื่องที่นี่…”

พูดไม่ทันจบ ไม้พลองยาวฟาดลงมาตรงหน้าอย่างแรงดัง ‘ปัง’ พนักงานต้อนรับรีบกระโดดถอยหลังไปทันที ใครจะคิดว่าไม้พลองยาวนั้นจะแทงมาตรงหว่างขา ซ้ายขวาอย่างละที พนักงานผู้นั้นก็ล้มทั้งยืน กระแทกพื้นอย่างแรง ไม้พลองยังดีดใส่ช่วงเอวต่อ พนักงานผู้นั้นก็กลิ้งหลายตลบ กลิ้งเข้าด้านในไป

“พี่หลี่ฝีมือเยี่ยมมาก!”

ถานเจียงเอ่ยชมขึ้น ปิดทางเข้าไว้ ยังลงมืออีก พนักงานต้อนรับและผู้คุ้มกันด้านนอกก็เห็นว่าไม่เข้าทีแล้ว แต่ที่หน้าประตูก็มีแขกเหรื่อเบียดเสียดกันไม่น้อย พวกเขาแทรกตัวเข้ามาไม่ได้ กำลังจะดิ้นรนหาทางฝ่าฝูงชน ไม้พลองยาวของถานเจียงก็กวาดมา หวังทงไม่ได้หันหน้ากลับไป ยังคงนั่งถามอยู่ตรงนั้น

“ถานเจียง ฝีมือทวนเจ้าเป็นอย่างไร?”

ถานเจียงยิ้มตอบว่า

“เรียนนายท่าน ข้าน้อยอยู่ในกองทัพมาหลายปีแล้ว วิชาที่ฝึกจากกองทัพนั้น แรกเริ่มคือทวน ข้าน้อยยังพอใช้การได้!”

ระหว่างที่กล่าวอยู่นั้น ไม้พลองยาวก็สะบัดออกไป บันไดตรงประตูใหญ่ไม่ถึงแปดขั้น ผู้คุ้มกันสามคนที่ปรี่เข้ามาก็ถูกปลายไม้พลองของถานเจียงแทงที่เข่าและหว่างขา ยืนก็ยืนไม่ติด กลิ้งตกบันไดลงไปทันที

ลงมือได้แม่นยำและรวดเร็ว ทำให้คนทั้งกลุ่มด้านนอกฮือฮากันขึ้นทันที พากันแหวกออกเป็นวงกลม ไม้พลองของหลี่เหวินหย่วนที่อยู่ข้างในปักลงพื้น มือหนึ่งจับอยู่ปลายไม้

ในนั้นก็มีผู้คุ้มกันอยู่ พากันแอบเหลือบมองหลี่เหวินหย่วนที่ราวกับตกจิตใจล่องลอยอยู่ กำลังคิดหาทางจัดการ ก้มตัวลงใช้สองมือจับปลายไม้พลองไว้ คิดว่าเจ้าเป๋นี่ไม่มีไม้พลองนี้ก็เท่ากับรอถูกพวกเรารุม?

มือกำลังเอื้อมออกไป ไม้พลองยาวก็เหมือนกับงูพิษตกใจ กระโดดอย่างเร็ว ดีดเข้าใส่ปลายคางคนผู้นั้นพอดิบพอดี ไม่ได้ทำเอากัดลิ้นขาดก็นับว่าชาติก่อนสั่งสมบุญมาดีแล้ว ยามนั้นเองก็มีจัดการอีกคนสงบไป

หวังทงตะโกนเสียงดังว่า

“การค้าใหญ่เช่นนี้ นายท่านเช่นข้ามาเองถึงที่ แม้แต่คนยกน้ำชาก็ไม่มีหรือ?”

เมื่อครู่เขามองเห็นหลี่เหวินหย่วนสะบัดแขน ไม้พลองก็ตอบสนองกลับเช่นนั้น หวังทงแอบยิ้มในใจ รู้ว่าหลี่ เหวินหย่วนกำลังแอบประลองกับถานเจียงเล็กน้อย

“ทุกคนรีบเข้ามา แม่นางซ่งจะโมโหแล้ว พวกเราโดนลอกหนังทิ้งแน่!”

สองคนบนขั้นบันได คนหนึ่งดึงท่อนเหล็กยางหนึ่งเชียะออกมา อีกคนหนึ่งไม้หนาหุ้มเหล็กออกมา ปรี่เข้ามาจากทางด้านหลังตะโกนดังก้อง ดูแล้วสองคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้า การร้องบอกเช่นนี้ สิบกว่าคนที่แต่งกายเหมือนกันก็รวมตัวกันเข้ามา ทั้งสองไม่ลังเลที่จะนำอยู่หน้าขบวน

ถานเจียงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม้พลองยาวก็แทงตรงออกไป ถูกเป้าปลายอย่างจัง สองคนถึงกับไม่ทันได้ป้องกันต่อสู้ก็ถูกไม้พลองแทงเข้าที่ท้องน้อย อ้าปากค้างแม้แต่จะหายใจก็ไม่ทัน ขดตัวงอเป็นก้อนกลมๆ ทันที พอสองคนล้มลง ผู้คุ้มกันด้านหลังก็หยุดฝีเท้าลงเพราะถูกขวางทางไว้

มีคนอยากแสดงความสามารถ จึงกระโดดคิดจะข้ามไป ยามตัวลอยอยู่กลางอากาศ ก็เป็นดังเป้าธนูทันที ถูกถานเจียงแทงโดนหน้าผาก หงายกลับไปทันที

ด้านล่างมีคนล้มลง ด้านบนมีคนทับลงมา คนที่ตามมาก็ลนลานกันไปหมด หัวหน้าคนที่ถือท่อนเหล็กก็ฝืนทนกับความเจ็บปวดกลิ้งลงจากขั้นบันได ตะเบ็งเสียงตะโกนดังว่า

“คนอื่นๆ ล่ะ มารดามันตายไปไหนหมดแล้ว!!”

ด้านนอกมีทั้งหมด 40 กว่าคน แต่พุ่งเข้าใส่แค่ 10 กว่าคน คนอื่นไปไหนกัน หัวหน้าเพิ่งด่าไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งวิ่งออกจากกลุ่มคนมาทางเขา กำลังรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก คนผู้นั้นก็มาหยุดตรงหน้าแล้ว กระทืบลงบนท้องเขาอย่างแรง ยามนั้นเองก็รู้สึกเจ็บปวดกว่าเมื่อครู่อีก ตัวขดเป็นก้อนกลมพูดไม่ออกในทันที

แขกที่เบียดเสียดกันอยู่ด้านนอกเพิ่งพบว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไร รอบกายด้านหลังจึงมีชายฉกรรจ์ไม่น้อยเพิ่มขึ้นมา สองสามคนล้อมคนของหอฉินก่วนเอาไว้ กำลังรุมประเคนทั้งหมัดและเท้า

โคมไฟหน้าหอฉินก่วนสว่างไสวมาก บรรดาแขกเหรื่อพากันอยากรู้อยากเห็น ก็คิดจะเข้ามาชมกันใกล้ๆ ชายฉกรรจ์ดุร้ายพวกนั้นก็กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“ศาลซุ่นเทียนปฏิบัติภารกิจ คนไม่เกี่ยวข้องถอยไปให้เร็ว มิเช่นนั้นจะจับกุมให้หมด!”

คนทั่วไปเมื่อได้ยินก็จะรีบล่าถอยไป มีบางคนที่โทสะไม่เบาไม่ยอมสยบ แต่เห็นอีกฝ่ายคนเยอะและท่าทางดุร้าย ก็ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบแตกฮือกันไปทันที

ไม่นาน นอกจากผู้คุ้มกันของหอฉินก่วนแล้ว ก็มีแต่คนของหวังทง ถานปิง ถานเจี้ยนและอีก 7 คน ถือไม้พลองยาวเดินเข้ามาในโถงใหญ่ของหอฉินก่วน

ด้านนอกค่อยๆ เงียบลง ด้านในไร้เสียงนกกระจอกนานแล้ว เห็นด้านหลังมีชายฉกรรจ์ยืนเรียงเป็นแถว ทุกคนพร้อมลงมือ เด็กหนุ่มที่ยังเหมือนไม่โตผู้นั้นนั่งอยู่ด้านหน้าพวกเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกงุนงงอย่างมาก

ท่ามกลางความสงบนั้น มีสาวใช้ตัวสั่นงันงกประคองถาดน้ำชาออกมา บนถาดมีถ้วยชาและกาน้ำชา เดินไปทางหวังทง สาวใช้ผู้นั้นเดินมาถึงตรงที่หวังทงนั่งอยู่ ก็ตัวสั่นไปทั้งตัว ถ้วยชาและกาน้ำชาก็กระทบกันส่งเสียงดัง กว่าจะวางลงได้ก็ไม่ง่ายนัก จากนั้นก็รีบกลับหลังหันวิ่งออกไปทันที

หวังทงยิ้มรินน้ำชาให้ตนเอง ยังไม่ได้ดื่ม ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นทางฝั่งตรงข้าม

“นายท่านท่านนี้บอกว่าเป็นคนศาลซุ่นเทียน คิดไม่ถึงว่าทางการตอนนี้ถึงกับรับเด็กน้อยเช่นนี้ด้วย…”

น้ำเสียงหยอกล้อ แต่คนที่เดินออกมากลับมาเป็นรองเจ้ากรมเฉินจื้อจง เฉินจื้อจงผู้นี้ยังคงอยู่ในชุดสามัญชน เดินมาตรงหน้าหวังทงด้วยอาการเกรี้ยวกราด ตวาดถามเสียงดังว่า

“เจ้าเป็นใคร!?”

“เจ้าสิเป็นใคร!!?”

หวังทงไม่เคยพบกับเฉินจื้อจงผู้นี้ จิบชาไปคำหนึ่งก่อนจะถามกลับด้วยเสียงเย็นเยียบ เฉินจื้อจงถูกถามเช่นนี้ สีหน้าก็ดำคล้ำ หัวเราะเสียงเย็นเยียบกล่าวว่า

“แม้แต่ข้าก็ไม่รู้จัก เจ้ายังมีหน้าบอกว่าเป็นคนศาลซุ่นเทียนหรือ เจ้าโจรร้าย แอบอ้างทางการ ใจกล้าเหิมเกริมยิ่งนัก!!”

หวังทงวางถ้วยชาลง พิงพนักเก้าอี้ยกขาขึ้นไขว่ห้าง หัวเราะกล่าวว่า

“คนของข้าบอกว่าศาลซุ่นเทียนกำลังปฏิบัติภารกิจ ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นคนศาลซุ่นเทียน แอบอ้างทางการตรงไหน ที่แท้ท่านนี้ก็คือรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงหรอกหรือ เป็นถึงรองเจ้ากรม วันๆ กลับมาหลบอยู่ที่นี่ เจ้ายังมีหน้าบอกว่าเป็นคนของทางการอีกหรือ?”

วาจานี้ตอกกลับไป บรรดาแขกที่กำลังตกใจกันอยู่ก็อดส่งเสียงหัวเราะกึกออกมาไม่ได้ เฉินจื้อจงหน้าตาบึ้งตึง ปากคอสั่น ชี้หน้าหวังทงตวาดว่า

“เจ้า…เจ้าปฏิบัติงานที่ไหน รีบรายงานมา รีบบอกมา…ข้าจะฟ้องเจ้า!”

“ข้าปฏิบัติการในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งนายกองร้อย…”

พอได้ยินว่านายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร เฉินจื้อจงที่ปลดปล่อยสิ่งที่กังวลสุดท้ายลง ก่อนจะชี้หน้าด่าหวังทงว่า

“แค่นายกองร้อยเล็กๆ กล้ามาเหิมเกริมที่นี่ ข้าจะไปพบผู้บัญชาการหลิว ไล่โจรชั่วอย่างเจ้าออก แล้วค่อยจัดการเจ้าที่ศาลซุ่นเทียน!!”

หวังทงยกถ้วยชาขึ้นอีก ค่อยๆ กล่าวให้จบว่า

“…หวังทงแห่งถนนทักษิณ!”

เฉินจื้อจงอึ้งไปก่อนจะคำรามดังต่อมาว่า

“หวังทงแห่งถนนทักษิณแล้วอย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่…”

ดูเหมือนว่ารองเจ้ากรมเฉินจื้อจงแห่งศาลซุ่นเทียนจะมีอะไรติดคอ เสียงคำรามของเขาค้างกลางคัน เฉินจื้อจงนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาได้ ตอนตรุษจีนข้ามเขตอำนาจมาทำคดี จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ในวังมาทักทาย ถนนทักษิณของหวังทงเป็นสถานที่ต้องห้าม ว่ากันว่าที่บ้านเขายังแขวนอักษรภาพของเฝิงเป่ากงกง หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อีกด้วย ว่ากันว่าจางเฉิงกงกง รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เป็นผู้ใหญ่ของเขาผู้นี้

เฉินจื้อจงคิดถึงตรงนี้ เดิมกำลังหน้าแดงเพราะโกรธจัด ก็เริ่มซีดลง คนทั้งคนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เสียงน้ำสาดลงมา ใบหน้าและหน้าอกร้อนขึ้นทันที พอได้สติก็กระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทั้งตัวเปียกไปหมด หวังทงสาดน้ำชาใส่หน้าและจ้องมองเขา กล่าวอย่างดูแคลนว่า

“ป้ายสงบสุขเป็นข้าให้ผู้ช่วยหลี่ว์ดำเนินการ เจ้ามันตัวอะไร กล้ายื่นมือมายุ่ง? ไสหัวออกไป!!!”

หวังทงปาถ้วยชาลงตรงหน้าเฉินจื้อจงอย่างแรง ประโยคสุดท้ายดังก้อง เฉินจื้อจงแห่งศาลซุ่นเทียนตัวสั่นไปทั้งตัว สีหน้ายิ่งซีดเผือดลง สุดท้ายก็ประสานมือคำนับหวังทง ก้มหน้ารีบก้าวออกไป จากตรงนี้ถึงทางออก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เขาก็ไม่มีหน้าจะพบผู้คนแล้วจริงๆ

ในห้องโถงเงียบกริบ ทุกคนจ้องมองหวังทงที่นั่งอยู่ตรงนั้น ในใจคิดว่าองค์เทพจากที่ใดกัน หวังทงแห่งถนนทักษิณคือผู้ใดกัน? เห็นรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงจากไป แม่นางซ่งผู้นั้นก็เผยรอยยิ้มดูแคลน สบถเสียงต่ำอย่างดูถูกว่า

“ขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ แต่กลับขี้ขลาดเช่นนี้ ใครจะไปช่วย ฝันไปเถอะ!”

คนของหอฉินก่วนสองคนยกเก้าอี้มาวางห่างจากหวังทงราวห้าก้าว แม่นางซ่งผู้นี้ก็นวดนาดเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ถามด้วยรอยยิ้มว่า

“นายท่านท่านนี้ ไม่ทราบว่ามาที่นี่ด้วยเรื่องเร่งด่วนอันใดกัน!”

เป็นไปตามคาด รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงแห่งศาลซุ่นเทียนไม่อาจเป็นเบื้องหลังของหอคณิการนี้ได้ สีหน้าหวังทงประดับไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างสุภาพว่า

“พี่สาวท่านนี้ น้องชายเช่นข้ามาส่งของดีให้ท่าน”

แม่นางซ่งผู้นั้นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หัวเราะถามว่า

“เช่นนั้นต้องขอบคุณน้องชายแล้ว ไม่ทราบว่าของดีอันใด คงไม่ใช่น้องชายเช่นเจ้ากระมัง!”

หวังทงไม่สนใจคำหยอกเย้าของแม่นางซ่ง ล้วงเอาป้ายออกมาจากอกเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า

“ป้ายสงบสุขนี้ แม่เล้าซ่งจ่ายแค่สามพันตำลึงเงินก็ซื้อได้แล้ว พอซื้อไป ทุกปีก็จ่ายอีกพันห้าร้อยตำลึง สามปีเปลี่ยนป้ายที ก็สามารถรับรองความสงบสุขให้หอท่าน ท่านว่าไม่ใช่ของดีหรือ?”

“โอ้โห ราคาเพิ่มอีกหลายเท่าเลยนี่!”

แม่นางซ่งสีหน้าตกอกตกใจ แต่กลับไม่มีท่าทางหวาดกลัวอันใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version