ตอนที่ 15 เงินส่วยรายเดือน แผนการแยบยล
หวังทงหันกลับไปมองจางซื่อเฉียงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ ก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“พี่จางท่านรู้จักช่างปูนช่างไม้และพ่อครัวทำอาหารบ้างไหม?”
สองสามวันนี้การกระทำที่แปลกประหลาดของหวังทงมีมากเกินไป หากแต่คำถามนี้ก็แสนจะธรรมดา จางซื่อเฉียงนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติคืนมา พยักหน้าตอบรับ เขาก็นับว่าเป็นเจ้าถิ่นในพื้นที่นี้ ไม่ว่าผู้ใดส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เคยคบค้าสมาคมด้วย
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“รบกวนพี่จางช่วยตามคนเหล่านั้นมาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้ ข้ามีงานให้พวกเขาทำ ราคาเท่าไรไว้ค่อยคุยกัน…”
บรรดาพ่อค้าบนถนนทักษิณทุกวันจะเห็นองครักษ์เสื้อแพรสองคนนี้เดินไปเดินมาบนถนนก็รู้สึกไม่อยากต้อนรับนัก เพราะบรรดาแขกเหรื่อและคนเดินผ่านไปมาก็ล้วนหวาดเกรงองครักษ์เสื้อแพรอยู่ไม่น้อย
องครักษ์เสื้อแพรที่เดินโฉบไปมาอย่างกระตือรือร้น ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าลูกค้าลดน้อยลง หวังทงออกตรวจตราได้อยู่สองสามวัน บรรดาพ่อค้าก็แอบวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือว่านี่จะเป็นวิธีเรียกเงินทุกคน หรือว่าจะต้องส่งเงินเพิ่ม ใต้เท้าหวังจึงจะไม่มาเดินตรวจตราไปมาเช่นนี้
แต่เป็นเช่นนี้อยู่ได้เพียงห้าวัน ต่อจากนั้นนอกจากตอนเช้าเห็นแต่หวังทงผ่านไปแล้ว หลังจากรายงานตัวเสร็จ สองคนนั้นเดินกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปทำอะไรกัน นี่ก็ใกล้จะเดือนสิบเอ็ดแล้ว อากาศก็เหน็บหนาว ในฤดูกาลนี้ที่ไม่ควรทำที่สุดก็คือการซ่อมแซมสร้างบ้าน แต่ช่างปูนช่าง ช่างอิฐ และแรงงานก่อสร้างล้วนไปรวมตัวกันที่บ้านองครักษ์เสื้อแพรหวังทง
ข่าวของบรรดาร้านค้าต่างๆ บนถนนสายนี้ค่อนข้างแม่นยำ กล่าวกันว่าใต้เท้าน้อยผู้นี้สองสามวันนี้เข้าออกร้านค้าร้านขายมากมาย ซื้ออิฐซื้อไม้ไปไม่น้อย ดูท่าแล้วคงจะซ่อมแซมต่อเติมบ้าน บางคนที่จิตใจดีอยู่บ้างก็คิดจะไปตักเตือน บ้างก็รู้สึกเคืองจางซื่อเฉียงอยู่มาก ในใจคิดว่าหวังทงอายุยังน้อยไม่รู้เรื่อง เจ้าเป็นผู้ติดตามทำไมไม่ตักเตือน นี่เพิ่งจะรับตำแหน่ง ก็คิดจะซ่อมแซมต่อเติมบ้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฤดูนี้ที่จะซ่อมแซมต่อเติมบ้านไม่เหมาะสมนัก หากผู้ใหญ่หรือองครักษ์เสื้อแพรร่วมสังกัดได้เห็น ก็คงไม่ดีนัก
หากจางซื่อเฉียงก็ยุ่งจนอยู่ไม่เป็นที่ ใครก็หาไม่เจอ ภาพการเริ่มลงมือทำงานก็น่าแปลก ที่เห็นก็น่าจะรื้อบ้านตระกูลหวังหลังเก่าออกทั้งหลัง
หากแต่ทำสิ่งใดนั้น พวกเขาก็มองไม่ออก ก่อนเริ่มงาน รอบบ้านเต็มไปด้วยนั่งร้านไม้ไผ่หยาบๆ ใช้ผ้าใบปิดเอาไว้ข้างนอกดูแล้วก็เป็นผ้าใบธรรมดาแต่ข้างในทำอะไรก็ถูกผ้าใบปิดไว้สนิท ทุกวันได้ยินเสียงตึงตังอยู่ภายใน ก็ยิ่งทำให้ผู้คนอยากรู้มากขึ้น
นางหม่าข้างบ้านตระกูลหวังนั้น ระยะนี้ก็เข้าออกซอกซอยต่างๆ ไปทั่ว ไปมาหาสู่กับบรรดาพวกยากจนไร้ที่พึ่ง แม้แต่งานซ่อมแซมปะชุนผ้าก็ไม่ทำแล้ว นี่ก็นับเป็นเรื่องน่าประหลาด
มีคนอยากรู้คิดจะสอบถามดู แต่หวังทงได้กำชับกับทุกฝ่ายไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้าใกล้มิฉะนั้นจะไม่เกรงใจ ที่อยู่ของบรรดาคนงานหวังทงก็เช่าบ้านฝั่งตรงข้ามให้อยู่ นางหม่าผู้นั้นและบรรดาผู้ยากไร้เหล่านั้นก็ยิ่งปิดปากสนิท
ยิ่งลึกลับเช่นนี้ ทุกคนก็ยิ่งอยากรู้ แม้แต่คนเดินผ่านไปมา พอเดินมาถึงที่นั่นก็ล้วนแต่ชี้ดู เดากันว่าทำอะไรกันแน่วันที่ 30 เดือนสิบวันนั้นเป็นวันเก็บส่วยรายเดือน หวังทงกับจางซื่อเฉียงจำเป็นต้องปรากฏตัว ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนเดิม ทั้งสองไปรออยู่ในห้องเงียบสงบของร้านน้ำชา
ไม่นานเถ้าแก่ร้านค้าแต่ละร้านก็มาด้วยตนเอง บ้างก็เป็นหัวหน้าการเงินยิ้มร่าเข้ามาส่งมอบเงิน การที่สามารถทำการค้าที่เมืองหลวง ใครๆ ก็ต่างมีสายสัมพันธ์หรือมีผู้ใหญ่ให้พึ่งพา การส่งส่วยนั้นก็เพื่อซื้อความสะดวก ทุกคนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินยอม
ไม่ว่าเจตนาหรือไม่ หากเงินที่ทุกคนส่งมอบนั้นก็มีเศษเกินกว่าที่กำหนดไว้นิดๆ หน่อยๆ แน่นอนว่าไม่ต้องทอน เมื่อรวมแล้วก็ได้ราวสองตำลึง
หวังทงพลันนึกรู้ในใจว่า นี่คือส่วนที่มอบให้ตนเป็นพิเศษ หากก็มิได้ละเลยกล่าววาจาเกรงอกเกรงใจ รอจนจ่ายเงินครบ หวังทงก็ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ข้าน้อยเป็นเพื่อนบ้านกับทุกท่านบนถนนสายนี้มาหลายปี บัดนี้ได้มาประจำการอยู่ที่นี่ ได้รับการดูแลจากทุกท่านมากมาย เที่ยงพรุ่งนี้ข้าขอเป็นเจ้าภาพที่หอรุ่งเรือง เรียนเชิญเถ้าแก่และพวกท่านทุกคนมาเป็นเกียรติ”
พอพูดจบก็ประสานมือคารวะรอบทิศ และยังควักเงินออกมาห้าตำลึงมอบให้จางซื่อเฉียงไปจัดการจองที่หอรุ่งเรือง
ทุกคนมองหน้ากันแปลกใจ เดิมคิดว่าองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้คิดจะให้ทุกคนเลี้ยง กำลังเตรียมจะกัดฟันตอบตกลง ใครจะคิดว่าจะควักเงินออกมา ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการสิ่งใด
จวนใต้เท้าเถียนยามปกติไม่อนุญาตให้บรรดาพลทหารชั้นล่างเข้าออก แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม หวังทงพูดกับคนรับใช้ที่มาเปิดประตูว่ามาส่งของเดือนสิบ พอรายงานจบก็รีบปล่อยให้เข้าไป ในจวนกว้างใหญ่ หวังทงเดิมคิดว่าจะได้พบกับชายชรากวาดพื้นยามเช้าผู้นั้น แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ตอนบ่ายนายกองร้อยเถียนกลับมาจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร กำลังรออยู่ที่เรือนด้านข้าง เมื่อถือเงินก้าวเข้าประตูมา หวังทงที่ชำนาญในการตรวจสอบผู้คนก็สังเกตอย่างว่องไว ตอนที่ตนเข้าประตูมา เถียนหรงหาวขมวดคิ้ว หน้าตาบึ้งตึง
โขกศีรษะคารวะตามธรรมเนียม ส่งมอบกล่องเงินแล้วหวังทงก็พูดขึ้นอย่างสุภาพว่า
“ใต้เท้าเถียนขอรับ นี่คือส่วนของเดือนสิบทั้งหมด 51 ตำลึง ใต้เท้าโปรดตรวจสอบ”
ก่อนมานั้นจางซื่อเฉียงยังเตือนหวังทง เพราะว่าเงินส่วยตามธรรมเนียมแล้วจะต้องเหลือให้ตัวเองก่อน จากนั้นส่วนที่เหลือมอบให้กับนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง จากนั้นจึงค่อยนำขึ้นมอบให้แก่ใต้เท้าเถียน
แต่หวังทงกลับไม่สนในธรรมเนียมปฏิบัตินี้ นำเงินตรงมามอบด้วยตนเอง ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ผู้บังคับบัญชาจะรังเกียจผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียม นายกองร้อยเถียนเรียกหวังทงเข้ามาใกล้ กำลังจะสั่งสอนให้เขารู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ
นายกองร้อยเถียนขมวดคิ้วขึ้น กำลังจะสั่งสอน แต่พอได้ยินจำนวนที่หวังทงรายงานก็ตกตะลึงไป เปลี่ยนคำถามว่า
“แค่ของเดือนสิบหรือ? หลิวซินหย่งรับไปหรือยัง?”
“เรียนใต้เท้า นี่คือส่วยของเดือนสิบของบรรดาร้านค้าบนถนนทักษิณ ข้าน้อยนำมามอบให้ใต้เท้าทั้งหมด ขอให้ใต้เท้าแบ่งสรร”
นายกองร้อยเถียนเห็นหวังทงที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ก็เปิดกล่องเหล็กบนโต๊ะออก มี 51 ตำลึงจริง คิดตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็หยิบเงินเศษๆ ออกมาราว 6 ตำลึง กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“นี่คือส่วนของเดือนนี้ที่เจ้าควรจะได้ นำกลับไป”
หวังทงยื่นมือไปรับพลางกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม เถียนหรงหาวตบโต๊ะเบาๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่งว่า
“จากนี้ไปรายเดือนก็ปฏิบัติเช่นนี้ ให้เจ้าส่งมาที่นี่ ข้าจะเป็นคนจัดสรรเอง”
แน่นอนย่อมต้องตอบรับอย่างสุภาพ พอได้ยินคำสั่งเช่นนี้ หวังทงก็ลอบยิ้ม ตนเองวางเดิมพันถูกทางแล้ว เขาเดิมพันว่าปกติส่วยรายเดือนที่หลิวซินหย่งนำมามอบให้นายกองร้อยเถียน หลิวซินหย่งคงจะอมไว้ไม่น้อย
การกระทำของตนเองครั้งนี้แน่นอนย่อมทำให้ใต้เท้าเถียนรู้สึกระแวงขึ้น
หลิวซินหย่งวางแผนฮุบสมบัติหวังทง หวังทงแย่งงานของเจ้ากั๋วต้งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามา ความสัมพันธ์สองฝ่ายไม่มีทางดีได้อีก หลิวซินหย่งในฐานะนายกองธงใหญ่ตำแหน่งสูงกว่า ลับหลังก็ไม่รู้ว่าจะมีอุบายมากมายเท่าไรที่จะเล่นงานตน หวังทงเองแต่ไรมาก็ไม่มีนิสัยนั่งรอคอยภัยมาถึงตัว เขาก็ต้องทำอะไรเสียบ้าง
นายกองร้อยเถียนสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจโกรธมาก คิดเหมือนกันกับหวังทง หลิวซินหย่งแอบอมไปแน่ๆ ตามธรรมเนียมแล้ว เถียนหรงหาวจะได้ส่วยรายเดือนประมาณ 30 ตำลึง แต่ในความเป็นจริงนั้น หลิวซินหย่งส่งขึ้นมาไม่ถึง 20 นี่เพียงแค่ส่วนของถนนทักษิณแห่งเดียว หากนับที่อื่นๆ ด้วย ไม่รู้ว่าแอบอมไปเท่าไร
“ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยยังมีเรื่องรายงาน!”
หวังทงเอ่ยขึ้น เถียนหรงหาวสูดลมหายใจเข้าได้สติขึ้นมา พยักหน้าอนุญาต หวังทงรายงานอย่างสุภาพว่า
“ใต้เท้าขอรับ มีคนเช่าบ้านข้าน้อยสร้างร้านคิดจะเปิดร้านอาหาร..”
“พวกเราองครักษ์เสื้อแพรต้องกินต้องใช้ เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงาน…มิน่าหลิวซินหย่งรายงานว่าเจ้าไม่ตั้งใจทำงาน เอาแต่ซ่อมบ้าน…”
นายกองร้อยเถียนโบกมือตัดบท หากสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นทำให้หวังทงตกตะลึง ตามคาด หลิวซินหย่งมีใจไม่ซื่อ ประสงค์ร้ายกับตน