Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 152

ตอนที่ 152 หญิงอุปนิสัยแข็งกร้าว

“นายท่าน หอเลิศรสเกิดเรื่องแล้ว ท่านรีบไปดูเถิด!”

ตอนพักกลางวันเป็นเวลาที่เด็กๆ มากินกันที่หอเลิศรส บางทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็เสด็จมาร่วมด้วย ร้านอาหารนี้พอจัดสำรับเสร็จก็จะให้ทุกคนออกไป

แต่ตอนเก็บล้างจาน หรือว่ามาดูว่าอาหารเพียงพอหรือไม่ ก็มักจะให้คนผู้หนึ่งคอยเดินตรวจดู จากนั้นด้านนอกยังมีอีกคนรออยู่ สองคนต้องเป็นคนแคล่วคล่องว่องไวอยู่สักหน่อย

พ่อครัวและคนงานหอเลิศรสตอนนี้มีถึง 20 คน และยังมีคนทำงานอื่นๆ อยู่อีกเกือบ 50 คน การจัดการคนเหล่านี้ หวังทงมอบให้นางหม่าดูแลนานแล้ว และนางหม่าก็ไม่เคยจัดการอะไรผิดพลาดมาก่อน

ด้านนอกที่มารายงานก็คือเจ้าก้อนหินที่เคยนำรถไปส่งมอบของให้หลี่เหวินหย่วนในตอนนั้น ตอนนี้เป็นหัวหน้าคนงานแล้ว เป็นผู้ที่รู้จักกาละเทศะ เด็กในหอเลิศรสทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นหากหวังทงไม่อยู่จะกำชับเป็นพิเศษว่า ต้องจับดูให้ดี หากในหอเลิศรสมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้รีบมารายงานทันที

เด็กๆ ตอนนี้แม้จะสามัคคีกัน ความสัมพันธ์ดีมาก แต่สามกลุ่มจากเมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจวและเมืองหลวง ตอนนี้ยังมีพวกเฉินซือเป่ามาเพิ่มอีก สี่กลุ่มนี้ยังมีมีกระทบกระทั่งกันบ้าง หากรวมหลี่หู่โถว ว่านลี่และตนเอง ก็เหมือนว่ามีกันถึง 5 กลุ่มอำนาจ เด็กๆ อารมณ์ไม่แน่นอน ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะมีเรื่องกันขึ้นมาได้ตอนไหน

พอได้ยินรายงานของเจ้าก้อนหิน หวังทงก็หันไปกล่าวกับคนในห้องก่อนจะก้าวออกไปทางหอเลิศรสทันที ตอนใกล้จะถึง ก็ได้ยินเสียงสูงของหญิงสาวผู้หนึ่งอย่างชัดเจน เหมือนว่าเป็นหญิงสาวอายุยังน้อย

หวังทงขมวดคิ้วทันที ใครบังอาจ เขาหันไปถามเจ้าก้อนหินว่า

“วันนี้ใครคอยดูแลในร้าน?”

“เรียนนายท่าน จางหงอิงขอรับ!”

“เหลวไหล แม่นางน้อยนี้ดูเหมือนกับคนรู้กาลเทศะ ตะโกนเสียงดังใส่ผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร”

เขาเรียกจางหงอิงเป็นแม่นางน้อย กลับลืมคิดว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าตน 2 – 3 ปี ตอนสร้างหอเลิศรสยังคิดเผื่อเรื่องเก็บเสียง ดังนั้นข้างในตะโกนอะไร ข้างนอกจึงได้ยินไม่ชัด

หวังทงคิดไปคิดมา ก็หันหน้าออกจากบ้านไป คิดจะเดินเข้าทางประตูใหญ่ ตอนออกมายังคิดว่าโชคดี ที่เช้าวันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้มา ไม่เช่นนั้นคงยุ่งยากเป็นแน่

นี่นับเป็นหนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อฮ่องเต้น้อยมา หวังทงก็มักจะต้องมากินข้าวกลางวันเป็นเพื่อน เพื่อให้สัมพันธ์ใกล้ชิด พอออกจากบ้านมา เดินไปทางตรอกข้างๆ ก็ถึงประตูใหญ่หอเลิศรส

เหมือนเช่นปกติ หากฮ่องเต้น้อยมากินที่หอเลิศรส นอกประตูปกติจะมี ‘องครักษ์อยู่นอกเวลาปฏิบัติงาน’ 4 นาย ‘เดินเล่น’ อยู่ หากฮ่องเต้ไม่มา ก็จะมีเพียง 2 นาย

พวกคนจากสำนักบูรพานี้ดูไม่มีอะไร แต่แฝงกำลังไว้ไม่น้อย หวังทงย่อมรู้ว่าคนพวกนี้มาทำอะไร ทุกคนรู้ดีหากไม่กล่าวออกมา

ตามหลักแล้วเมื่อข้างในเกิดเรื่อง คนข้างนอกนี่ก็ต้องเข้าไปดูกัน แต่วันนี้สองนายนี้กลับคุยกันอย่างไม่รู้สึกอะไร พอเห็นหวังทงมา ก็เพียงแค่พยักหน้ายิ้มทักทายเท่านั้น สีหน้าไม่มีทีท่าตระหนกตกใจอันใด

แต่เบื้องหน้านี้ เพราะห้องครัวต้องการหันหน้าออกและให้ลมถ่ายเท ดังนั้นเสียงโมโหคุกรุ่นของจางหงอิงจึงได้ยินชัดเจน เพียงแต่ฟังไม่ชัดว่าเป็นเรื่องใดเท่านั้น

หวังทงพยักหน้ารับ ในใจก็รู้สึกแปลกใจ แหวกม่านเดินเข้าไป ก็ได้ยินชัดเจน

“อาหารพวกนี้คนข้างนอกได้กินกันก็แค่ตอนปีใหม่ พวกเจ้าฟุ่มเฟือยกันเช่นนี้ ทิ้งขว้างอาหาร เจ้ารู้ไหมว่าทำอะไรผิด!”

จางหงอิงที่ปกติเป็นคนเงียบๆ มือหนึ่งกำลังเท้าสะเอวอีกมือหนึ่งชี้ตำหนิไปที่คนผู้หนึ่งตรงโต๊ะด้านหน้า คนรอบโต๊ะต่างพากันเงียบงัน

คนสี่คนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวที่โดนด่านั้นเป็นพวกซุนซิง สีหน้าแดงก่ำ ลี่เทาข้างๆ ก็หยิบแผ่นขนมเปี๊ยะอบครึ่งแผ่นก้มหน้าก้มตายัดเข้าปาก

จางหงอิงได้ยินเสียงแหวกม่านออก หันกลับไปมอง พอเห็นหวังทง ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปเก็บมือทั้งสองลงไขว้ไว้ด้านหลัง กล่าวเสียงแหลมว่า

“ทิ้งขว้างของกิน จะตัองถูกฟ้าผ่าลงโทษ พรุ่งนี้ข้ามาเก็บชาม หากเห็นอาหารเหลือทิ้งอีก ของที่เหลือไว้กินต่ออีกวัน เหลือสามครั้ง ก็จะให้พวกเจ้าหิวตายไปเลย!”

กล่าวจบก็ฮึดฮัดจากไป หันหน้าได้ก็รีบก้าวออกไปทันที เดินผ่านหวังทงก็ก้มศีรษะให้เล็กน้อย ไม่ได้คำนับกล่าวคำทักทายอันใด

พอเด็กสาวออกไป เด็กๆ ก็พากันโล่งใจ หลี่หู่โถวกวักมือเรียกหวังทงให้กไปนั่งด้วยกัน ที่โต๊ะยังมีอาหารของเขาวางอยู่ พอหวังทงนั่งลง หลี่หู่โถวก็เขยิบเข้ามาใกล้ท่าทางลับๆ ล่อๆ กล่าวว่า

“เมื่อกี้จางหงอิงผู้นั้นเข้ามาถึงก็โมโหใหญ่ โต๊ะลี่เทามีแผ่นเปี๊ยะวางอยู่หลายชิ้น ล้วนกินครึ่งเดียวก็วางทิ้งไว้ข้างๆ จางหงอิงยกเนื้อนึ่งร้อนๆ เข้ามา พอเห็นก็โมโหใหญ่ ลี่เทายังโต้กลับ ปรากฏว่าพอเสียงจางหงอิงตวาดดังมา ลี่เทาก็หน้าแดงก่ำ ก้มหน้าไม่กล้าพูดต่อ ดีที่ข้าไวพอ กวาดอาหารที่เหลือลงท้องทัน เฉินซือเป่าพวกนั้นก็กินกันจนสะอาด”

เล่าถึงตรงนี้ หวังทงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจางหงอิงจึงโมโหมาก อาหารของหอเลิศรสมีให้กินกันเต็มที่ รับรองคุณภาพและปริมาณ เด็กๆ ลานฝึกล้วนมาจากตระกูลไม่ขาดเหลือ ไม่มีใครเคยลำบาก จึงล้วนขาดจิตสำนึกในเรื่องการเห็นคุณค่าของอาหารอะไรพวกนี้ไปบ้าง

อาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็นล้วนมีแผ่นเปี๊ยะอบที่เหลือทิ้งครึ่งแผ่น กัดไปได้ครึ่งหนึ่งก็ทิ้ง ตอนแรกๆ คนในหอเลิศรสตั้งแต่นางหม่าจนถึงคนงานระดับล่าง ทุกคนก็ล้วนเสียดายกันแทบตาย หลายคนคิดจะเอาของพวกนี้กลับบ้านไปอุ่นกินกันใหม่

แต่หวังทงก็ทนเห็นคนกินของเหลือไม่ได้ และเขาก็มาจากยุคสมัยที่อาหารการกินอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุด และยังกลัวเชื้อโรคแพร่ติดกันอะไรพวกนั้น ดังนั้นอาหารที่เหลือหวังทงจึงอนุญาตแค่ให้เอาไว้เลี้ยงหมู ไม่ให้พวกเขาเอาไปทำอย่างอื่นต่อ ปรากฏว่าหมูในละแวกหอเลิศรสนั้นกินกันหูตูบเลยทีเดียว

ต่อมาเมื่อเงินทองของหอเลิศรสยิ่งมากขึ้น พวกคนงานในร้านก็กินดีไม่แพ้พวกเด็กๆ ทุกคนก็ค่อยๆ เคยชินกับพฤติกรรม ‘ฟุ่มเฟือย’ พวกนี้

แต่ความเคยชินนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีเหตุผล จางหงอิงโมโหใหญ่ในวันนี้ ในใจหวังทงก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างมาก หอเลิศรสอาหารดีเกินไป ทำให้คนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนผิดพลาดไปได้ ต้องรู้ว่าของที่หวังทงกินที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นย่อมไม่ได้ดีเหมือนอย่างเช่นตอนนี้

หวังทงกัดแผ่นเปี๊ยะเย็นชืดไปพลางรู้สึกว่าเรื่องวันนี้ตลกมาก ตอนตนเดินเข้ามา จางหงอิงกำลังเหมือนกับแมวคลั่ง ออกอาการดุร้ายเช่นนั้น

พี่สาวเถ้าแก่เซี่ยไม่ได้ร่ำรวยอะไร จางหงอิงช่วยที่บ้านทำงานมานานแล้ว ว่ากันว่านางอายุ 11 ก็ให้นางขึ้นมาดูแลครอบครัวแล้ว

ไม่ดูแลครอบครัวย่อมไม่รู้ว่าข้าวและฟืนนั้นราคาแพง เด็กหญิงที่เคยดูแลครอบครัวมา เด็กๆ กินทิ้งขว้างกันทุกวันย่อมทำให้นางขัดตาเป็นพิเศษอยู่บ้าง

บางทีวันหน้ามื้อกลางวันและมื้อเย็นคงต้องจัดให้จางหงอิงมาจัดการ เพื่อจะได้กำราบเด็กๆ พวกนี้ไว้ด้วย

เด็กๆ กินกันเร็วมาก เมื่อครู่จางหงอิงระเบิดโทสะ ทำเอาพวกเขาตกใจ เศษข้าวที่ตกหล่นบนโต๊ะ เด็กๆ ก็ขมวดคิ้วมองแล้วเก็บขึ้นมากินกันต่อ

พอกินเสร็จ ยังมีเวลาพักผ่อนอีกราวครึ่งชั่วยาม เด็กๆ ปกติก็จะไปคุยเล่นกันที่สนามลานฝึก หรือไม่ก็จะไปรวมกันที่ห้องโถงเพื่อดูกะบะทรายและแบบโมเดลการทหาร

หวังทงกลับมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ พอกินเสร็จก็รีบกลับไปที่บ้าน คนในห้องยังคงนั่งคุยกันอยู่ หวังทงกล่าวขอโทษก่อนจะดันหีบไม้บนพื้นออกมา เอ่ยว่า

“พี่หลี่ว์ นี่ 700 ตำลึง เจ้าของร้านชามงคลจะกลับไปซานตงบ้านเกิด วันก่อนบอกว่าจะขายร้าน เถ้าแก่ร้านกับข้ารู้จักกันดี จึงมาถามว่าข้าสนใจไหม ตอนนี้ที่หอเลิศรสทางนี้มีหลายอย่างไม่สะดวกนัก ร้านชานี้เหมาะสมพอดี บ่ายนี้ข้ายังต้องไปลานฝึก รบกวนพี่หลี่ว์นำเงินนี้ไปให้สักหน่อย”

หลี่ว์วั่นไฉหุบพัดลง ลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า

“กล่าววาจารบกวนอันใด ข้าไปให้เอง!”

ยิ่งใช้งานกันเหมือนลูกน้อง ก็ยิ่งทำให้ผู้ช่วยหลี่ว์รู้สึกดี เพราะหวังทงไม่ได้เห็นตนเป็นคนนอก ข้างนอกเขามีผู้ติดตามมา จึงตะโกนเรียกให้มายกออกไป หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกำชับไปว่า

“วาจาต่อไปนี้พี่หลี่ว์ฟังแล้วอย่าได้โกรธไป เจ้าของร้านน้ำชามงคลต้องการ 600 ตำลึง ให้คนส่งไปที่บ้านเดิมเขา ข้าก็รับปากว่าจะเพิ่มให้อีก 100 ตำลึง ขอให้พี่หลี่ว์จำไว้ว่าตอนเซ็นสัญญาซื้อขาย ให้ทางการเป็นพยานถึงจะดี…ตอนนี้ไม่รู้ว่าสายตาจับต้องเราอยู่มากมายเท่าไร ยอมเสียเงินมากหน่อยจัดการเรื่องราวให้เหมาะสม จะได้ไม่มีเรื่องให้ผู้ใดจับผิดเอาได้”

วาจากล่าวอ้อมค้อม คิดไปถึงว่าเผื่อหลี่ว์วั่นไฉอาจจะอยากจะกดราคาเอาใจเขาอะไรพวกนี้ แต่ก็เห็นแก่หน้าจึงกล่าววาจาอ้อมค้อมเช่นนี้ หลี่ว์วั่นไฉยกพัดขึ้นเคาะหน้าผาก ยิ้มกล่าวว่า

“น้องหวัง เจ้าอายุยังน้อย อายุ 40 ปีของพี่ที่ผ่านมานี่ช่างไร้ความหมาย!”

ก่อนจะเดินหัวเราะเสียงดังออกไป หลี่ว์วั่นไฉที่อยู่ในวงราชการมานานคิดไม่ถึงว่าจะกล่าววาจาที่กล่าวได้ยากเช่นนี้ออกมาได้ แต่เพื่อแสดงการยอมลงให้จึงได้กล่าวออกมา แสดงให้เห็นเรื่องหนึ่งว่า เขายกให้หวังทงเป็นหัวหน้า ทุกเรื่องยอมปฏิบัติตามคำสั่ง

*****

“บ่ายมะรืนนี้ ขุนพลอวี๋ต้าโหยวจะมาสอนทุกคนที่ลานฝึกนี่ หวงหยางกงกงมหาขันทีตรวจการจากสำนักอาชาหลวงก็จะมาสอนพวกเจ้าที่นี่ จากนั้นพวกเจ้าก็ต้องยิ่งยุ่งกันจนไม่มีเวลาพัก เราครูฝึกปรึกษากันแล้ว ทุกคนหลายวันนี้ฝึกฝนกันหนักมา พรุ่งนี้ให้พักสักวัน ให้ทุกคนไปเดินเล่นกันที่ตรอกม้าหินผ่อนคลายจิตใจกัน”

เจ้าใหญ่กล่าวไม่ทันจบ ก็มีเสียงร้องดีใจของเด็กๆ ดังขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งตื่นเต้นวาดหมัดไปมา ใจหวังทงไม่ได้คิดเรื่องนี้ เขากำลังคิดถึงว่าอวี๋ต้าโหยวเป็นใครกันแน่ มาแล้วจะสอนความสามารถใดให้กับเด็กๆ เหล่านี้กัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version