ตอนที่ 157 ไม่อาจล่วงเกิน
หอวาสนาที่ตรอกม้าหินถือเป็นหอสุรามีชื่ออันดับสามบนถนนสายนี้ ปกติก็มีคนเข้าออกมาก มีแขกไปมาตลอด หากวันนี้กลับครึกครื้นกว่าทุกวัน
เพราะที่ประตูมีคนที่ดูเหมือนบ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่ถูกจับใส่กุญแจมือ จับตัวไว้ไม่ให้ขยับ และตรงขั้นบันไดหน้าประตูนั้นก็มีพวกเสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตาบวมปูดนั่งร้องโอดโอยระเกะระกะกันอยู่ที่พื้น เถ้าแก่หอวาสนากับคนงานในร้านกำลังร้องขอขมาอย่างสุดกำลัง
ไม่เพียงแต่คนผ่านทางไปมา แม้แต่พวกร้านค้าใกล้ๆ กันยังมามุงดูด้วย หอวาสนาว่ากันเป็นของหลานห่างๆ ของมหาขันทีท่านหนึ่งในวัง ปกติไม่มีใครกล้ามาตอแยด้วย
คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับมีเรื่องเช่นนี้ได้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คนทำการค้าที่ตรอกม้าหินนี้เห็นชนชั้นสูงมามาก มีคนจำคุณชายของจวนอันผิงโหวได้
ระบบชนชั้นสูงในราชวงศ์หมิง นอกจากเชื้อพระวงศ์ตำแหน่งอ๋องแต่ละลำดับลงมาแล้ว ระบบบรรดาศักดิ์ระดับกง โหว ป๋อ ที่ได้รบชิงแผ่นดินเคียงบ่าเคียงไหล่มากับปฐมฮ่องเต้ สร้างคุณงามความดีไว้มากมาย จึงได้รับพระราชทานยศเช่นนี้ได้ นี่เป็นที่มาของชนชั้นระดับสูงที่สุดในราชวงศ์หมิง
ต่อมาพวกได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จึงค่อยลดน้อยลง ช่วงรัชสมัยเจียจิ้ง 45 ปีนั้นก็มีระดับโหวเพียงแค่สอง เป็นตำแหน่งที่มีน้อยมาก พวกก่อนหน้านี้ บางทีก็เพราะทำผิด หรือมีลูกหลานไม่รักดี หรือไร้ทายาท ภายหลังจึงมีค่อนข้างน้อย บุคคลที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์เช่นนี้ ก็ย่อมมีความสูงศักดิ์เป็นพิเศษจริงๆ
พวกคนของอันผิงโหวกับคนของชนชั้นสูงถูกจัดการไปแล้ว ผู้ติดตามถูกจับใส่กุญแจมือ พอคนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนจับคนมัดไว้เสร็จ ก็ให้พวกเด็กๆ สวมชุดน้ำเงินจากไป ทิ้งคนไว้นั้นแล้วพากันไปเลย เห็นเช่นนี้ คนโง่ยังรู้ว่านี่ไม่ใช่คนของศาลซุ่นเทียนแล้ว
เถ้าแก่และคนงานในร้านรีบร้อนเข้าไปช่วยเหลือ แต่กุญแจมือปลดออกไม่ง่าย พวกลูกหลานคนชั้นสูงที่ถูกตีจนมึนกันไปนั้นก็เดินกันตุปัดตุเป๋
เถ้าแก่หอวาสนาไปแจ้งข่าวเจ้าของร้านและไปแจ้งให้คนทางการมาตรวจสอบ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลายร้านก็เริ่มปิดร้าน คนที่มุงก็มีคนมาร่วมวงคุยเพิ่มอีกไม่น้อย คืนนี้กลับไปคงต้องมีเรื่องคุยกับคนที่บ้านไม่น้อย
ที่นี่สนุกกว่า คุณชายสามจวนอันผิงโหวถูกตี นี่เป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย พวกคนที่ร่วงหล่นมาจากหลังคาถูกจับมัดนั้นเจ็บปวดจนไม่อาจขยับตัวได้ จึงมัดไว้ง่ายๆ พอคนจากไปก็ดิ้นรนคลานกันลุกขึ้น ให้คนงานในร้านประคองตนเองกลับไปแจ้งข่าวที่จวน
เถ้าแก่หอวาสนาส่งคนไปแจ้งที่ศาลซุ่นเทียน เจ้าหน้าที่ทางนั้นก็รีบร้อนกันมาอย่างรวดเร็ว ทางศาลอาญาใหญ่ก็ส่งคนมา พากันตรวจสอบอย่างละเอียด
พ่อบ้านจวนอันผิงโหวปีนี้อายุ 51 ตามธรรมเนียมแล้วก็ย่อมแซ่ฟางตามเจ้านาย คนทั่วไปเรียกเขาว่า ฟางต้า ฟางต้าผู้นี้ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดมองหมอที่เชิญมารักษาคุณชายของตนที่กำลังร้องครางอย่างเจ็บปวด พลางสบถด่าไปด้วยอารมณ์โกรธว่า
“ราชวงศ์หมิงเล่าจ่ายเงินเลี้ยงเศษสวะอย่างพวกเจ้าไว้ทำไมกัน กลางวันแสกๆ ก็มีโจรบุกเข้ามาได้ ยังจับคนของเราใส่กุญแจมือไว้ด้วย พวกเจ้าทำงานกันยังไง!!?”
คนของศาลซุ่นเทียนและคนของศาลอาญาใหญ่เหลือบขึ้นมองแล้วก้มหน้าก้มตากันต่อไป ในใจย่อมกรุ่นโกรธอยู่บ้าง แต่คนพวกนี้ก็ล่วงเกินไม่ได้ อย่างไรก็เรื่องรองรับอารมณ์พวกนี้ก็มีมากอยู่แล้ว
“บุตรชายรองจวนเซียงเฉิงป๋อลงมือไม่รู้จักหนักเบา ดูใบหน้านายน้อยเราสิ ทำไมลงมือได้ลงคอ”
ต้นเหตุจากที่คุณชายตนลอบโจมตีคุณชายรองเซียงเฉิงป๋อ เรื่องนี้พ่อบ้านก็รู้ดี ดังนั้นวาจาแต่ละประโยคจึงชี้ไปที่พวกคนทางการและพวกเด็กๆ ที่สวมชุดน้ำเงินเหมือนกัน
“คนของจวนเซียงเฉิงป๋อก็ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกันเลย ครั้งนี้ต้องให้พวกเขาส่งมอบคนออกมา อย่างน้อยก็ตีมือตีเท้าให้หักต่อหน้านายน้อยเรา!”
คนของศาลซุ่นเทียนก้มตัวเอี้ยวมา ประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านฟาง พวกข้าน้อยขอตรวจบาดแผลนายน้อยสักหน่อย ท่านเห็นว่า?”
ฟางต้าพยักหน้าอย่างรำคาญ เจ้าหน้าที่คนอื่นก็พยักหน้าโค้งกายเดินมา ร้านที่เละเทะอย่างมากเก็บกวาดได้พอสมควรแล้ว ตะเกียงก็จุดแล้ว สว่างไสวมาก
คุณชายฟางผู้นั้นนั่งอยู่ที่นั่น คิดจะกัดฟันกรอด แต่พอขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระทบถูกบาดแผล ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าขยับตัวอีก
“คำว่า ‘เงินทองไหลมา’ สี่คำนี้ ยังมีลวดลายพวกนี้ที่เหมือนกับลายเมฆนี่ รอยพวกนี้เหมือนว่าเป็นเครื่องไม้ที่ตระกูลเฉาขายอยู่!”
มือปราบสองนายจ้องมองซีกแก้มด้านหนึ่งของคุณชายฟาง สำรวจและวิเคราะห์อย่างละเอียด หัวหน้าคนหนึ่งของศาลอาญาใหญ่ก็สอดขึ้นว่า
“ได้ถามร้านค้าข้างทางหลายร้านตามทางแล้ว ต่างบอกว่าเด็กๆ ที่สวมชุดน้ำเงินพวกนั้นถือเงินมาซื้อ ของที่เอาไว้เป็นอาวุธได้ก็กวาดไปหมด ให้ราคาสูง ได้กำไรมาก้อนหนึ่ง”
มือปราบศาลซุ่นเทียนสองคนหันหน้ามามองกัน สีหน้าไร้อารมณ์ หันไปมองหัวหน้าศาลอาญาใหญ่ สองฝ่ายสบตากันก่อนจะก้มหน้าทำงานกันต่อ แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเลยจริงๆ
สามารถมีเงินไปซื้อเครื่องไม้ร้านตระกูลเฉามาเป็นเครื่องมือก่อการวิวาทได้ เด็กพวกนี้ย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจวนเซียงเฉิงป๋อลึกซึ้งไม่น้อย ใช้จ่ายเงินก้อนโตเช่นนี้ เหมือนว่าจวนเซียงเฉิงป๋อก็ไม่ได้มีเงินมากมายเช่นนี้
ลูกหลานขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงมีเรื่องวิวาทกัน กลับต้องให้กำลังทางการมาตรวจสอบ เด็กๆ ที่ชุมชนเถียนสุ่ยกับขูสุ่ยบนถนนทักษิณตีกัน มีวันไหนที่ไม่เลือดตกยางออก ก็ไม่เห็นว่าพ่อแม่บ้านไหนจะไปแจ้งเอาเรื่อง
ใบหน้ามีรอยแดงเป็นปื้นคำว่า ‘เงินทองไหลมา’ สี่คำ แดงบวมเป่งขึ้นมา พวกเจ้าหน้าที่ตรวจบาดแผลก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ฟางจงผิงเดิมที่มองเจ้าหน้าที่ที่ดูเกียจคร้านพวกนี้ขัดหูขัดตาอยู่แล้วจึงตบโต๊ะอย่างแรง คิดจะอ้าปากด่า สองข้างแก้มก็เจ็บปวดอย่างมาก ได้แต่หุบลงต่อ
ฟางต้าผู้นั้นกลับโมโหขึ้นแทน มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“หลี่ว์วั่นไฉล่ะ เรื่องใหญ่เช่นนี้ มีหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สืบคดี ทำไมไม่มาด้วย?”
“ท่านฟาง ใต้เท้าหลี่ว์เราตอนนี้เป็นผู้ช่วยแล้ว!”
“ผู้ช่วยแล้วไง พรุ่งนี้นายท่านของเราเขียนสารไป ชาตินี้เขาอย่าได้คิดจะเป็นขุนนางอีกต่อไปเลย”
พวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังไขกุญแจมือให้ผู้ติดตามและคนรับใช้พวกนั้นอยู่ พอไขออกก็มีคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาดึงหัวหน้าของคนศาลซุ่นเทียนและศาลอาญาใหญ่ไปอีกทาง
ศาลซุ่นเทียนทางนี้ก็คือหัวหน้ามือปราบ คนของศาลอาญาใหญ่ก็คือนายกองใหญ่ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนที่เรียกพวกเขาไปอีกทางก็ท่าทางลับล่ออย่างมาก กระซิบเบาๆ ว่า
“ใต้เท้าทั้งสอง กุญแจมือที่จองจำพวกนี้ไว้ ลูกกุญแจเราสามารถไขออกได้ นี่มัน…นี่มัน…”
“หากข้าจำไม่ผิด กุญแจมือศาลซุ่นเทียนล้วนเป็นแบบเดียวกันนี่นา!?”
“อืม ทำโดยหน่วยงานทางการ ไม่ใช่สินค้าของชาวบ้านทั่วไป”
ถามไปถามมา สีหน้าทุกคนก็แปลกประหลาด นายกองใหญ่ศาลอาญาใหญ่ถูมือกันไปมา แค่นยิ้มกล่าวว่า
“เราสองหน่วยงานล้วนปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหลวง ไม่คิดว่าศาลซุ่นเทียนช่วงนี้จะเล่นหนักแบบนี้ เรื่องนี้ศาลอาญาใหญ่เราถอนกำลังกลับดีกว่า ใครไม่รู้ว่าอันผิงโหวนั้นขึ้นชื่อว่ารักและเอาใจลูกมากขนาดไหน”
นายกองใหญ่ผู้นี้จึงประสานมือ หันกลับไปกล่าวว่า
“พี่น้องเรา งานลาดตระเวนเราสำคัญมาก ใต้เท้าศาลซุ่นเทียนเมื่อครู่บอกว่า งานพวกนี้พวกเขารับไว้เอง พวกเรากลับก็แล้วกัน!”
ใครอยากจะอยู่รองรับอารมณ์ที่นี่กัน ได้ยินหัวหน้าออกคำสั่ง ก็รีบพากันลุกออกไปทันที คนของจวนอันผิงโหวพากันมองตาค้าง รอจนคนจากไปแล้วยังคงค้างอยู่เช่นเดิม
พวกศาลซุ่นเทียนก็หันไปมองหัวหน้ามือปราบ ก็ถูกมือโบกใส่อย่างรำคาญ จากนั้นก็ตรวจบาดแผลกันต่อ ไขกุญแจมือออก คนเมื่อครู่นั้นเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบอีกว่า
“หัวหน้า เช้านี้ใต้เท้าหลี่ว์มาที่ศาลเลือกคนไปไม่น้อย เรื่องนี้…”
ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้ามือปราบก็หัวไวทันที กระแอมไอสองสามที่ก่อนจะหันไปตะโกนออกคำสั่งว่า
“พี่น้อง ได้เรื่องพอสมควรแล้ว ไขกุญแจแก้มัดเสร็จ ทุกคนรีบกลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องออกประจำการอีกนะ!”
กล่าวจบก็ยิ้มเดินไปตรงหน้าฟางต้าผู้นั้นส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านฟาง เรื่องต่อจากนี้พวกเราช่วยอะไรไม่ได้แล้ว บันทึกเรื่องไว้ก่อน พรุ่งนี้จะตรวจทีละบ้าน หากได้ผลคืบหน้าก็จะส่งรายงานให้ท่าน คุณชายน้อยและคุณชายทุกท่านก็บาดเจ็บไม่หนักอะไร รีบกลับไปหาหมอกันเถอะ ใส่ยาให้ดี ขออำลาก่อน”
กล่าวจบ ก็ก้มหน้าคำนับ นำคนจากไปทันที เหลือไว้แต่พวกจวนอันผิงโหวที่มองหน้ากันไปมา พวกเขาล้วนเป็นคนของตระกูลใหญ่ ชนชั้นสูงหลายชั่วอายุคน ถึงตอนนี้ ก็เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ถูกต้องนัก คนของจวนอันผิงโหวรีบตามกันมา ขนย้ายพวกบาดเจ็บกลับไป
เมื่อกลับถึงจวน เห็นบุตรชายตนเอน็จอนาถเช่นนี้ มองไปทางผู้ติดตามและคนรับใช้ที่สภาพทุลักทุเลกันไม่น้อย อันผิงโหว ฟางรุ่ยสิงก็ระเบิดลงทันที ได้ยินรายงานของฟางต้าแล้วจึงสงบลง ในใจคิดว่ามีอะไรไม่ถูกต้องนัก เรียกคนมาเขียนสาร เตรียมส่งไปศาลซุ่นเทียนถามให้รู้ความ
*****
เรื่องมาถึงทันทีในวันรุ่งขึ้น ที่จวนนี้ทานอาหารเช้ากันอยู่ ประตูใหญ่ก็มีเสียงทุบเรียกดังมา สถานที่เช่นจวนอันผิงโหวนี้ ประตูใหญ่นอกจากมีราชโองการแล้ว ยามอื่นย่อมไม่เปิด
คนในบ้านเข้าออกล้วนใช้ประตูด้านข้าง คนด้านในหน้าตาโมโหเดินไปเปิดประตู พอโผล่หน้าออกไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ประตูก็ถูกคนสองคนผลักกระเด็น หนึ่งในนั้นคือชายชราร่างอ้วน เดินก้าวเข้ามา
ชายชราสวมชุดยาวสีม่วงแบบขุนนางนอกราชการ ใบหน้าเหลี่ยม ไม่พูดจาสีหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความโมโห คนเปิดประตูกะจะด่า แต่พอเห็นชายฉกรรจ์สองคนที่หน้าตาถมึงทึงข้างหลัง คนที่กล้าเดินอาดเข้ามาในจวนได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป คิดจะด่าก็ได้แต่กลืนกลับลงไป
ชายชราร่างอ้วนกลับไม่ปล่อยเขา เข้ามาถึงก็ตบหน้าซ้ายขวาไปสองที ตวาดด่าอย่างโมโหว่า
“หูหนวกหรือไง ให้ข้าต้องเคาะอยู่ตั้งนาน”
โดนตบไปสองที ตามมาด้วยถีบอีกที ถีบเอาคนเปิดประตูผู้นั้นเด้งกลับเข้าไปด้านใน องครักษ์ของจวนและคนในบ้านต่างพากันตกใจ แต่เห็นท่าทางมากบารมีเช่นนี้ ใครก็ไม่กล้าทำอะไร ชายชราผู้นั้นจ้องมองไปรอบๆ อย่างดุดัน ก่อนจะเสียงดังว่า
“ข้าหลี่เหว่ย เรียกฟางรุ่ยหังออกมาพบข้า รีบไปสิ ไม่งั้นจะรื้อจวนพังๆ ของเจ้าทิ้งเลย!!”