ตอนที่ 158 หลี่เหว่ย อวี๋ต้าโหยว
หากไม่เห็นบารมีของชายชราแล้ว เกรงว่าคนจวนอันผิงโหวก็คงลงมือไปแล้ว รอจนฟางต้าวิ่งกระหืดกระหอบมาถึง
พอเห็นชราที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดประตู ฟางต้าก็ขยี้ตาผลักคนงานหลายคนที่ยืนบังอยู่ด้านหน้าออก สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มรีบเดินเข้ามาเบื้องหน้า มาถึงก็คุกเข่าลงกล่าวว่า
“นี่เป็นท่านอู่ชิงโหวมิใช่หรือ เหตุใดจึงให้เกียรติมาเยือน!”
บ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่แม้ไม่เคยพบ แต่ก็มักต้องรู้ว่าใครเป็นใคร คนจวนอันผิงโหวรีบคุกเข่าลงได้ก็คุกเข่า ถอยหลังกลับได้ก็ถอยหลังกลับทันที
อันผิงโหวได้บรรดาศักดิ์เป็นโหวก็เพราะตระกูลรุ่นก่อนมีลูกสาวมีวาสนาได้เป็นฮองเฮา พี่สาวแท้ๆ ของอันผิงโหวก็คือฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้เจียจิ้ง
อู่ชิงโหวได้บรรดาศักดิ์เป็นโหวก็เพราะบุตรสาวของอู่ชิงโหวหลี่เหว่ยได้แต่งเข้าจวนอ๋องอวี้เป็นพระชายา พออ๋องอวี้ได้เป็นฮ่องเต้หลงชิ่ง บุตรสาวหลี่เหว่ยก็ย่อมเป็นฮองเฮา ก็คือไทเฮาฉือเซิ่งในตอนนี้นั่นเอง
ขุนนางสมัยใดก็สมัยนั้น เวลาที่มากบารมีที่สุดของอันผิงโหวได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ผู้ที่มากบารมีที่สุดก็คือพระอัยยาของฮ่องเต้ว่านลี่ อู่ชิงโหวหลี่เหว่ยผู้นี้
สองฝ่ายล้วนเป็นโหว แต่สถานะต่างกันมาก หลี่เหว่ยบุกมาแต่เช้าเช่นนี้ คนในจวนอันผิงโหวต่างก็ตื่นตระหนก
อันผิงโหวฟางลุ่ยหังคลุมเสื้อตัวนอกเสร็จ ก็โยนผ้าเช็ดปากทิ้ง รีบตามมา พอมาถึงประตู ก็เผยรอยยิ้มคิดจะเข้าไปทักทาย แต่อู่ชิงโหวหลี่เหว่ายกลับชี้หน้าด่าว่า
“ฟางรุ่ยหัง เจ้าสอนบุตรชายยังไง เด็กๆ ทะเลาะกันเสียเปรียบเข้าหน่อย คนของเจ้าก็คว้าดาบกันออกมาลุย เมืองหลวงนี้บุตรชายเจ้าใหญ่สุดหรืออย่างไร!?”
อันผิงโหวยิ้มค้าง เมื่อคืนได้ยินพ่อบ้านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหอวาสนา ก็รู้สึกแปลกๆ คิดไม่ถึงว่ากลับไปล่วงเกินเอาคนของอู่ชิงโหวเข้า
“ก็แค่แข่งม้าแพ้ บุตรชายไม่เอาไหนของเจ้ากลับเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ก็สู้ซือเป่าไม่ได้ จึงคิดวิธีชั่วร้ายขึ้นมาก ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าคนของเจ้าฟันซือเป่าเข้าจริง ฟางรุ่ยหังเจ้าคิดว่าส่งมอบคนลงมือก็จบเรื่องงั้นหรือ!?”
เสียงเสียดสีเย็นชาพร้อมกับเสียงด่ายกใหญ่ ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย ฟางรุ่ยหังสีหน้าดำคล้ำ ในใจคิดว่าเซียงเฉิงป๋อไปเกี่ยวสัมพันธ์กับอู่ชิงโหวเมื่อไรกัน
ในสายตาเขา เซียงเฉิงป๋อเป็นพวกอาศัยความดีความชอบจากการศึกได้บรรดาศักดิ์มานั้นล้วนเป็นพวกคนหยาบกระด้าง อำนาจวาสนาย่อมไม่อาจยาวนาน อู่ชิงโหวที่มีสายโลหิตเกี่ยวเนื่องกับฮ่องเต้ว่านลี่จึงเป็นผู้สูงศักดิ์ตัวจริง ล่วงเกินเซียงเฉิงป๋อก็แล้วไป แต่อู่ชิงโหวผู้นี้ไม่อาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย
บุตรชายทั้งสามของเขายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากในวังมีข่าวเล็ดรอดเข้าไป ไม่ยอมเตรียมการพระราชทานยศโหวให้ หรืออาจลดระดับอีกขั้นให้เป็นป๋อแทน อันผิงโหวกำลังส่งคนไปฝากฝังอยู่ กำลังหัวเลี้ยวหัวต่อ ยิ่งไม่อาจล่วงเกินอู่ชิงโหวได้
ดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งดำคล้ำ แต่ยังคงมีรอยยิ้ม ตำหนิตนเองไม่หยุดว่า
“ท่านโหวอย่าได้โมโห ข้าดูแลคนไม่เข้มงวด เดี๋ยวจะต้องสั่งสอนให้หนัก จะไม่ให้พวกมันออกไปทำเรื่องเหลวไหลกันอีก ขอท่านโหวโปรดวางใจได้”
เป็นโหวเหมือนกัน แต่อันผิงโหวมีท่าทีเช่นนี้ก็เหมือนได้โขกศีรษะรับไปแล้ว อู่ชิงโหวสีหน้าโมโหค่อยๆ คลายลง แค่นเสียงเย็นใส่ว่า
“เจ้าและข้ามีสถานะสูงศักดิ์ แต่ที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง ทำอะไรต้องรอบคอบจะได้ปกป้องวงศ์ตระกูลให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ รบกวนแล้ว ขอลา!”
กล่าวจบ ไม่มีท่าทีอันใด ก็หันหน้าจากไป ผิงอันโหวสีหน้าบัดเดี๋ยวดำบัดเดี๋ยวขาว คิดจะกล่าววาจาแสดงความนอบน้อมเกรงใจ กลับคิดคำพูดไม่ออก
รอจนอู่ชิงโหวฮึดฮัดจากไป บรรดาคนที่คุกเข่ากันอยู่ก็ลุกขึ้นมาด้วยความแตกตื่นตกใจ พ่อบ้านฟางก้มตัวเดินมาเบื้องหน้าฟางรุ่ยหัง ถามอย่างระแวดระวังว่า
“นายท่าน…”
ฟางรุ่ยหังหันหน้ามา ก็สะบัดมือตบไปหนึ่งฉาดทันที คำรามเสียงต่ำว่า
“จากนี้ไป ทุกคนในจวนห้ามออกไปข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว ใครออกไปล่ะก็ ข้าจะหักขามันด้วยตัวเอง!!”
*****
“น้องหวัง ความคิดของเจ้านี้ใช้ได้เลย เช้าวันนี้อู่ชิงโหวไปเอาเรื่องอันผิงโหวถึงที่ ตระกูลฟางรีบยกธงเก็บเรียบ ตอนนี้ปิดประตูไม่รับแขก คิดว่าคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมดแล้ว!”
ในห้องหวังทง โจวอี้หัวเราะกล่าวขึ้น เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ และยังล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูง ทำจนเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา พอฮ่องเต้ว่านลี่เย็นลงก็เริ่มกลัวว่ากลับถึงวังจะถูกไทเฮาทรงตำหนิ จึงรบเร้าให้หวังทงช่วยคิดหาทาง
“ฝ่าบาทมีคนที่พอใช้การได้นอกวังหรือไม่ เรื่องพวกนี้ต้องปิดปากเจ้าทุกข์ไว้ ไม่มีคนร้องทุกข์ สำนักบูรพาและศาลซุ่นเทียนก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย เรื่องวิวาทในหมู่ชนชั้นสูง หากเข้ามาข้องเกี่ยวย่อมเป็นการหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวก็เท่านั้น”
วาจานี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่คิดออก จึงแอบเขียนจดหมายฝากโจวอี้ไปส่งอย่างรวดเร็ว ไปหาอู่ชิงโหว หลี่เหว่ย
ได้ฟังคำชมของโจวอี้ หวังทงก็ส่ายหน้ายิ้มตอบไปว่า
“จะว่าไปก็เป็นถึงหลานตาของอู่ชิงโหว ได้ยินเรื่องนี้เข้า จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร ย่อมต้องไปหาอันผิงโหวระบายสักหน่อยเป็นแน่!”
โจวอี้หัวเราะฮาดัง ทำให้หวังทงรู้สึกงงไปไม่ถูก โจวอี้หยุดหัวเราะ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า
“อู่ชิงโหวหลี่เหว่ยเคยมีเรื่องตอนไปแจกจ่ายเสื้อหนาวให้ทหารชายแดน โดนไทเฮาตำหนิไปมาก ตอนนี้กำลังห่างเหินกับคนในวังพอดี ฮ่องเต้ทรงให้โอกาสเช่นนี้ เป็นโอกาสที่จะชดเชย ไยเขาจะไม่รีบเล่า รออยู่เลยล่ะ”
หวังทงยามนี้จึงได้อึ้งไปจริงๆ เรื่องในครอบครัวฮ่องเต้ ย่อมไม่อาจพบเห็นน้ำใจกันได้จริง เห็นประโยชน์จึงออกมาต่อสู้สิเป็นเรื่องจริง
****
ลานฝึกหู่เวยช่วงบ่าย บรรดาเด็กไม่ได้แบ่งกลุ่มประลองกองกำลังกันเหมือนเคย แต่กำลังเคลื่อนไหวพร้อมกันด้วยท่าทางต่างๆ ตามคำสั่งของครูฝึก
ท่าทางพวกนี้ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ เป็นการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน เด็กๆ ตั้งแต่มาที่ลานฝึกหู่เวย ไม่รู้ฝึกท่าทางเคลื่อนไหวเหล่านี้กันมากมายเท่าไร ฝึกจนชำนาญได้มาตรฐานกันแล้ว
เด็กทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจอย่างเต็มที่ เคลื่อนไหวแต่ละท่าอย่างไม่ให้ผิดพลาด เพราะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาชมอยู่ข้างๆ
อวี๋ต้าโหยวที่มีตำแหน่งทางการทหารลอยๆ ทั้งชีวิตออกรบชนะมานับไม่ถ้วน ได้ขึ้นตำแหน่งสูงสุดถึงผู้บัญชาการมณฑล แต่เพราะพ่ายแพ้เล็กหลายครั้งและสาเหตุแปลกประหลาดต่างๆ นานาทำให้ถูกลงโทษถอดตำแหน่ง มีคนกล่าวว่า เขาสามารถมีชีวิตรอดอยู่ถึงตอนนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะถานจื่อหลี่ หรือ ถานกวนที่คอยให้ความช่วยเหลือ หลายครั้งที่เกือบจะถูกจำคุก ก็เป็นกรมทหารที่ออกหน้าช่วยอย่างที่สุด จึงได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ อวี๋ต้าโหยวก็ยังคงเป็นตำนานของขุนศึกราชวงศ์หมิง ในสายตาลูกหลานทหารพวกนี้ เขาเป็นดังบุคคลที่ออกมาจากตำนานเทพนิยาย
แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กับหลี่หู่โถวก็กำลังแสดงอย่างตั้งอกตั้งใจที่สุด แม้ว่านลี่จะไม่รู้สึกว่าอวี๋ต้าโหยวจะสักเท่าไร หลี่หู่โถวก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ก็ทนกับการบรรยายอย่างออกรสออกชาติของบรรดาลูกหลานทหารที่คุยกันในลานฝึกไม่ไหว ฟังนานวันเข้า ภาพลักษณ์ยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้นในใจขึ้นมา
หวังทงเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย อวี๋ต้าโหยวเป็นคนที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเขาเคยได้ยินชื่อมาในยุคสมัยนี้ จะว่าไป คนสมัยนี้คุยเรื่องการต่อสู้ออกรบ ก็ต้องคุยถึงสามคน ‘หลี่เฉิงเหลียง ชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว’ นับได้ว่าเป็นบุคคลระดับซุปเปอร์สตาร์ในวงการทหารยุคนี้เลย
ไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กๆ ลานฝึก เพราะแม้แต่เจ้าใหญ่และครูฝึกคนอื่นๆ ก็รู้สึกเลื่อมใสอย่างที่สุด เช่นเดียวกับนักเรียนทุกคน ทุกคนพากันยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“พวกเจ้าฝึกได้ไม่เลว เด็กพวกนี้โตอีกปีสองปี ก็คงเป็นทหารกองกำลังส่วนตัวได้แล้ว หากเป็นผู้มีความสามารถ อนาคตไกลแน่!”
พอเด็กๆ ฝึกกันจบลง ก็มายืนเรียงแถวอยู่หน้าครูฝึกเพื่อฟังคำวิจารณ์ของอวี๋ต้าโหยว สีหน้าครูฝึกฉายแววยินดีอย่างยิ่ง ระบบการทหารราชวงศ์หมิงย่ำแย่ลง มีการแอบหักเบี้ยกันตั้งแต่หัวยันหาง พลหทารก็ราวกับทหารบ่าวรับใช้ กำลังเพียงหนึ่งเดียวในมือของบรรดาขุนพลก็คือ ‘ทหารกองกำลังส่วนตัว’ เท่านั้น
หักเบี้ยหวัดพลทหารประทวนธรรมดามาเลี้ยงดูทหารกองกำลังส่วนตัวของตนได้จำนวนมาก ทหารกองกำลังส่วนตัวไม่ต้องทำไร่ทำนาใช้แรงงาน ทุกวันฝึกฝนร่างกาย เป็นทหารอาชีพที่มีเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ชั้นดี
ทุกครั้งที่ออกศึก ก็จะอยู่แนวหน้า การตัดสินว่าจะรบแพ้หรือชนะนั้นก็ขึ้นอยู่กับทหารพวกนี้ เด็กๆ ที่ฝึกฝนมาหลายเดือนนี้ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้ ก็สูงมาแล้ว ครูฝึกต่างมีสีหน้าภาคภูมิใจอย่างมาก
เพื่อให้ทุกคนได้เห็นอวี๋ต้าโหยว การเข้าแถวครั้งนี้จึงให้คนตัวเตี้ยอยู่ด้านหน้า ตัวสูงอยู่ด้านหลัง ทุกคนต่างชื่นชมขุนพลมีชื่อผู้นี้อย่างละเอียด หวังทงก็เช่นกัน
อวี๋ต้าโหยวสูงกว่าครูฝึกคนอื่นเพียงเล็กน้อย แต่รูปร่างกำยำกว่ามาก หากไม่ใช้เพราะผมขาวและหนวดเคราขาว ใครก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นชายชรา ใบหน้าเรียวยาว ผิวดำเข้มทำให้อวี๋ต้าโหยวเหมือนกับชาวประมง เพราะว่าเบื้องหน้าเป็นเด็ก ขุนพลชราผู้นี้ตอนที่หันมาพูดกับครูฝึกจึงมีน้ำเสียงสนุกสนานและไม่เข้มงวดมากนักว่า
“พลทหารทุกคน รู้ใช่ไหมว่าข้ามีฝีมือเก่งกล้า?”
เด็กๆ พากันพยักหน้าหงึกๆ อย่างแรง แน่นอนย่อมรู้ ยังรู้อีกว่า มีคนว่าท่านเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า อวี๋ต้าโหยวรู้สึกภาคภูมิใจ ยิ้มพยักหน้า หันไปกล่าวกับครูฝึกทั้งหกคนว่า
“พวกเราใช้ไม้พลองกัน พวกเจ้าหกคนรุมข้าคนเดียว เต็มที่เลย!!”
บรรดาครูฝึกสบตากัน เห็นสายตาของฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมสยบ ครูฝึกแข็งแรงหกคนจะสู้กับตาแก่คนเดียวไม่ได้หรือ ตลกจริง
เด็กๆ ต่างก็ตื่นเต้น คิดไม่ถึงว่ายังจะมีการประลองอาวุธจริงกันอีก คุ้มค่าจริงๆ
หกคนรุมเข้าใส่ อวี๋ต้าโหยวเอาแต่ถอย พอซุนสามก้าวเข้ามา อวี๋ต้าโหยวอยู่ๆ ก็ก้าวเข้าใส่ ตวัดไม้ในมือซุนสามกระเด็นไปก่อนจะแทงใส่จนล้มลง พอค่ายกลหกคนแตก ก็ลุยเข้าใส่ทีละคน แทงล้มไปทีละคน หลี่เหวินหย่วนยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย แต่ผลแพ้ชนะก็ชัดเจนแล้ว เขาโยนไม้พลองในมือทิ้งยอมแพ้อย่างเศร้าใจ
“ข้าร้ายกาจไหมเล่า!”
อวี๋ต้าโหยวยังหอบหายใจอยู่ แต่ก็ยังหันไปตามเด็กๆ
“ร้ายกาจ!!”
เด็กๆ ตอบรับพร้อมกันอย่างยอมรับทั้งใจ อวี๋ต้าโหยวยิ้มกว้าง ก่อนจะโยนไม้ในมือทิ้ง กล่าวเสียงดังวานว่า
“เรียนรู้เรื่องพวกนี้ อาจไปเป็นมือปราบ เป็นโจรปล้นบ้าน ไม่งั้นก็ไปแสดงหากิน หากจะใช้ในการทหารนั้น ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย!!”