Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 159

ตอนที่ 159 ขุนพลเฒ่าเล่าการต่อสู้ ไม่ถือสาวาจาเด็กน้อย

เริ่มด้วยการแสดงความสามารถขั้นสูงเช่นนั้น ทำเอาเด็กๆ ตื่นตาตื่นใจกันสุดขีด อยู่ๆ กลับบอกว่าสิ่งเหล่านั้นไร้ประโยชน์ ช่างเป็นเรื่องหักมุมที่น่าสนใจอย่างที่สุด

แน่นอนเป็นการหักมุมที่ทำให้คนรู้สึกคาดเดาผิด แม้แต่หวังทงยังตาค้าง พวกเก็บอาการไม่ทันก็เบิกตาโพลงอ้าปากค้าง

อวี๋ต้าโหยวหัวเราะกวาดตามองไปรอบๆ รอบหนึ่ง คำพูดเมื่อสักครู่นั้นได้ผลตามคาด อวี๋ต้าโหยวกล่าวต่อว่า

“หากเมื่อครู่ครูฝึกหกคนยังสามารถรักษาขบวนไว้ได้ ข้าจะมีโอกาสไหม?”

เด็กๆ ส่ายหน้า อวี๋ต้าโหยวกล่าวต่อว่า

“หากมี 10 คน 100 คนตั้งขบวนโจมตีเข้ามาเช่นนี้ ข้าสู้สุดแรงก็คงล้มไปได้แค่สองคน คมอาวุธที่เหลือก็คงมาถึงตัวเป็นแน่ ไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่”

คำพูดของอวี๋ต้าโหยวเต็มสองหูของหวังทง ทำให้หวังทงคิดได้ทันทีว่า ชุดการฝึกขบวนของการพลศึกษาในยุคปัจจุบันชาติก่อนของเขานั้น มิใช่ว่าไร้สาเหตุ เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของทุกคนไว้ได้ อวี๋ต้าโหยวก็กล่าวต่อไปว่า

“ตั้งแต่เล็กข้ามีครูฝึกมีชื่อ ข้าเองเรียนรู้ไว ฝึกฝนอย่างหนัก พอถึงอายุ 40 ก็รู้สึกได้ว่าเก่งกล้าสามารถ ใต้หล้านี้หาใครมาตัวต่อตัวก็หาไม่ได้แล้ว ตอนวัดเส้าหลินที่เหอหนานส่งพระมาร่วมต้านโจรสลัด พระที่รู้ยุทธ์พวกนั้นยังใช้การไม่ได้ ยังต้องเรียนรู้จากข้ากลับไปถ่ายทอดต่อด้วย”

เรื่องเล่าตำนานพวกนี้ แม้แต่หวังทงก็ยังฟังจนเคลิ้มตาม นี่เป็นความเก่งกาจระดับไหนกัน วิทยายุทธวัดเส้าหลินได้รับการกล่าวขานกันในหมู่ชาวบ้าน เล่ากันมาอย่างขั้นเทพ เมื่อกลับตาลปัตรเช่นนี้ อวี๋ต้าโหยวก็ดูเก่งกาจ เด็กๆ ตั้งใจฟังกันจนแทบลืมหายใจ

“แต่หากจะฝึกให้ได้อย่างข้านี้ อย่างน้อยก็ต้อง 20 ปี ออกสนามรบก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม หอกยาวดาบคมแทงมา ลูกธนูพุ่งมา พริบตาเดียว ที่ฝึกมา 20 ปีสูญเปล่าหมด ในการรบต้องใช้ทักษะอะไร ที่พลทหารทุกคนมีอยู่ตอนนี้นับว่าพอแล้ว”

บรรดาครูฝึกที่ลานฝึกก็ล้วนสอนยุทธวิธีการรบแบบง่ายๆ สิ่งที่จะกล่าวตามทฤษฏีนั้นก็มีไม่มาก เด็กๆ ล้วนไม่ชัดเจนในหลายประเด็น ครั้งนี้กล่าวได้อย่างละเอียดชัดเจน สีหน้าเด็กๆ เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ หลงใหลกันในทันที ล้วนตั้งอกตั้งใจฟัง ด้วยเกรงว่าจะหลุดประเด็นอะไรไป

“ก่อนรบ ทัพนับพันนับหมื่นต้องตั้งแถวขบวนให้เรียบร้อย การเคลื่อนไหวต้องเป็นไปโดยพร้อมเพรียงกัน เดินไปข้าวหน้า ก็อย่าได้เสียรูปขบวน เช่นนี้ก็จะสามารถรบชนะได้ วิทยายุทธอะไรพวกนั้น รวมทั้งท่าทางสวยงามต่างๆ ยามต่อสู้กันเองก็สวยดี แต่บนสนามรบก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้น”

หลักการก็เป็นหลักการเช่นนี้ อวี๋ต้าโหยวกล่าวออกมาเองก็ยิ่งทำให้คนเชื่อ อวี๋ต้าโหยวรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ที่นี่ด้วย พอเห็นเด็กอ้วนที่อยู่เหนือปวงประชาเข้าแถวอยู่หน้าสุด กำลังมองมาที่ตนเองด้วยความตั้งใจเรียนรู้ ขุนพลเฒ่าผู้นี้ก็รู้สึกเก้กัง จึงเดินออกห่างไปอีกสองก้าวก่อนจะกล่าวต่อว่า

“พลทหารทุกท่านวันหน้าหากออกสนามรบฟาดฟันศัตรู โอกาสจะได้ฟาดฟันคมดาบคิดว่าคงไม่มาก พวกเรามาคุยเรื่องยุทธวิธีรบกันว่าคนเป็นแม่ทัพควรทำการใดบ้าง ไปคุยกันใต้หลังคานั้นเถอะ ข้าอายุมากแล้ว ทนพระอาทิตย์แผดเผากลางกระหม่อมเช่นนี้ไม่ไหว!!”

บรรยากาศดีขึ้นไปน้อยเมื่อหยอกล้อเล่นกันตนเองเช่นนี้ เด็กๆ ก็พลอยหัวเราะตามกันไปด้วย อวี๋ต้าโหยวเดินไปที่ใต้หลังคา เด็กๆ ก็เคลื่อนขบวนไปตามคำสั่งของครูฝึก แต่หลายคนที่คิดมาก็ระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ แย่งกันยื่นหน้ายื่นตาออกมา ในนี้รวมทั้งลี่เทาและซุนซิงที่สุขุมเป็นปกติอยู่เสมอด้วย

“คาดไว้ไม่ผิด นี่ไม่ใช่ลานฝึกทั่วไป แต่เป็นลานฝึกกองทัพ พวกเราออกจากที่นี่ไปย่อมได้รับใช้ราชสำนักเป็นแน่”

ถึงตอนนี้หากยังเดาไม่ออกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ตามคนระดับอวี๋ต้าโหยวมาสอนเช่นนี้ นอกจากราชสำนักเปิดลานฝึกเองแล้ว ยังจะเป็นใครไปได้

****

ในพระราชวังตอนบ่าย

หากไทเฮาฉือเซิ่งไม่ได้ให้เฝิงเป่าและพวกฝ่ายในเข้าเฝ้า ไม่ได้อ่านรายงาน ส่วนใหญ่ก็จะมีอ๋องลู่ จูอี้หลิว คอยเข้าเฝ้าใกล้ชิด ฮ่องเต้ว่านลี่พระชนมายุ 10 ชันษาก็ขึ้นครองราชย์ แม้ว่าทรงพระเยาว์ แต่ก็ยังต้องไปร่วมงานต่างๆ ในราชสำนักและพิธีการสำคัญต่างๆ ไม่อาจจะอยู่ข้างกายพระมารดาได้ทั้งวัน

อ๋องลู่ จูอี้หลิวที่เพิ่งจะพระชนมายุ 10 ชันษาก็กลายเป็นที่โปรดปรานเอ็นดูของไทเฮาดังโอรสของพระองค์เอง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพิการตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงค่อนข้างคิดมากแม้ว่าจะกตัญญูแต่ก็เหมือนมีกำแพงบางๆ กั้นอยู่ อ๋องลู่ จูอี้หลิว สุขภาพแข็งแรง เชื่อฟังน่ารัก ทำให้ไทเฮาฉือเซิ่งทรงอยู่ด้วยแล้วก็ทรงแย้มพระสรวลได้ทั้งวัน

ห้องทรงอักษรเล็กๆ นางกำนัลผู้หนึ่งกำลังอ่านรายงานทางการทหารของแต่ละพื้นที่ ไทเฮากำลังทรงก้มพระพักตร์ปักลายดอกอยู่ อ๋องลู่ก็ถือหนังสือท่องกลอนเสียงดังเสนาะอยู่

ไม่นานนัก ไทเฮาฉือเซิ่งก็ทรงรู้สึกเหน็ดเหนี่อยพระวรกาย ขยี้พระเนตรและวางแป้นปักในพระหัตถ์ลง นางกำนัลที่กำลังอ่านรายงานก็รีบเข้ามารับ ไทเฮาฉือเซิ่งทรงแย้มพระสรวลตรัสกับอ๋องลู่ว่า

“หลิวเอ๋อร์ หยุดอ่านก่อน ให้คนไปจุดเทียนมาก่อน อ่านจนสายตาเสียไปจะไม่ดี”

อ๋องลู่อ่านจบไปหนึ่งหน้า จากนั้นก็พับมุมไว้ก่อนจะปิดหนังสือ ก้าวลงจากพระแท่นปักลายกล่าววาจาอ่อนน้อมเชื่อฟังว่า

“หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงสอนสั่ง!”

วาจาเด็กน้อยน้ำเสียงไร้เดียงสาและท่าทางที่พยายามแสดงให้เห็นว่ารู้ธรรมเนียมนั้นทำให้ไทเฮาทรงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระสรวลออกมา

“เด็กน้อย คนในครอบครัวกันไยต้องมากพิธีรีตองเช่นนี้ รีบมาหาข้ามา”

อ๋องลู่จึงได้ลุกขึ้นยืนก่อนจะยิ้มวิ่งเข้ามาอยู่ข้างๆ ไทเฮาฉือเซิ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิดถึงโอรสน้อยของพระองค์เอง ตรัสขึ้นว่า

“เสด็จพี่เจ้าชอบออกไปวิ่งเล่นที่นั่นที่นี่ เจ้ากลับมีนิสัยเรียบร้อยเกินไป อายุแค่เท่าไรเองก็เอาแต่ขลุกอยู่ข้างใน รู้จักแต่อ่านหนังสือ”

อ๋องลู่บิดพระองค์ไปมา เงยหน้ามองไทเฮากล่าวว่า

“เสด็จแม่ หม่อมฉันก็อยากออกไปเที่ยวเล่น เมื่อวานเสด็จพี่ฮ่องเต้ก็ทรงไปเที่ยวตรอกม้าหินมา ได้ยินว่าที่นั่นสนุกมาก หม่อมฉันอยากไปด้วยได้ไหมพะยะค่ะ?”

ไทเฮาเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบศีรษะอ๋องลู่ตรัสว่า

“ได้สิ วันหลังเสด็จแม่จะส่งคนพาเจ้าไป ไปเที่ยวให้สนุกเลย!”

“ตรอกม้าหินมีของอร่อยมากมาย ได้ยินว่าในวังไม่มี อืมๆ ได้ยินว่าเสด็จพี่ฮ่องเต้เมื่อวานยังทรงมีเรื่องวิวาทกับคนของผิงอันโหวด้วย หอสุราพังหมดเลย ยังมีมีดดาบด้วย…เสด็จพี่ฮ่องเต้ทรงนำคนสู้ชนะด้วย เสด็จพี่ฮ่องเต้ทรงยอดเยี่ยมมากเลย เสด็จแม่พะยะค่ะ หม่อมฉันอยากไปลานฝึกนั่นด้วย…”

ดูเหมือนวาจาไม่ตั้งใจ แต่กลับทำให้สีพระพักตร์ไทเฮาเปลี่ยนไปทันที รอยแย้มสรวลชะงักกึก ก้มพระพักตร์ลงตรัสถามอย่างจริงจังว่า

“หลิวเอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าฟังใครเล่ามา?”

อ๋องลู่เงยพระพักตร์ ใช้สายพระเนตรไร้เดียงสามองไทเฮา น้ำเสียงไร้เดียงสาแบบเด็กน้อยกล่าวว่า

“ได้ยินคนในวังวิจารณ์กันพะยะค่ะ หม่อมฉันว่าสนุกดี เสด็จแม่ หม่อมฉันจะไปลานฝึกนั่นด้วยพะยะค่ะ”

ไทเฮาตบศีรษะอ๋องลู่เบาๆ ก่อนจะตรัสอย่างอ่อนโยนว่า

“หลิวเอ๋อร์ ออกไปเล่นกับบ่าวในวังก่อนดีไหม เสด็จแม่มีเรื่องสำคัญต้องทำ”

อ๋องลู่กระโดดลงมาถวายคำนับ กระโดดโลดเต้นออกไป ไทเฮามองเห็นอ๋องลู่ออกไปแล้ว รอยแย้มสรวลก็พลันจางหายไปด้วย หยิบกระดิ่งข้างเตียงมาสั่น

เสียงกระดิ่งดังขึ้น นางกำนัลสองคนก็รีบมาที่หน้าประตู ไทเฮาตรัสด้วยสุรเสียงเฉียบขาดว่า

“ตามเฝิงเป่า จางเฉิงมา ให้พวกเขารีบมาที่นี่ เร็ว!”

*****

“…ฝ่าบาทเสด็จมาที่ลานฝึก หนึ่งเพื่อนมีพระสหาย สองเพื่อให้ออกกำลังพระวรกาย ไม่ใช่ให้พวกเจ้าทั้งหลายพาออกไปก่อเรื่องก่อราว…เห็นแก่พวกเจ้าที่จงรักภักดี สละชีพเพื่อนาย ความคิดนับว่าดี ครั้งนี้จดไว้ก่อน…วันหน้า เด็กๆ ในลานฝึกไม่ให้ออกจากลานฝึก นอกจากได้รับอนุญาตจากในวัง…หากผิดซ้ำอีก จะต้องลงโทษอย่างหนักไม่อาจละเว้น…”

วันที่ 5 เดือนเจ็ด เช้าวันหนึ่ง โจวอี้ก็นำราชโองการมาที่ลานฝึก ครูฝึกหกคน หวังทง เซวียจานเยี่ย เติ้งจิ้น หูฉี ล้วนคุกเข่ารับราชโองการ

พออ่านพระราชโองการจบ คำนับรับราชโองการเสร็จ โจวอี้ก็เอ่ยอย่างจริงจังเข้มงวดว่า

“ทุกท่าน พระราชโองการไทเฮาได้ยินชัดกันแล้วใช่ไหม เฝิงกงกงและจางกงกงมีคำพูดฝากมาถึงทุกท่านว่า ลานฝึกนี้ถือเป็นโอกาสใหญ่ของทุกคน ทุกคนต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าได้ทำให้อำนาจวาสนาต้องกลายเป็นภัยร้าย”

ทุกคนกล่าวขอบคุณแล้ว โจวอี้จึงได้ให้ทุกคนออกไป เหลือแต่หวังทง หวังทงสีหน้าไม่สบายใจนัก จนถึงวันที่ได้รับราชโองการนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้มาที่ลานฝึกสามวันแล้ว นอกจากขันทีในหอเลิศรสแล้ว โจวอี้กับไช่หนานและคนอื่นๆ ก็ล้วนไม่ปรากฏตัว

ลงมือกับบุตรชายผิงอันโหว มีเรื่องวิวาทกันที่หอสุราใหญ่ของตรอกม้าหินที่เป็นสถานที่คึกคักที่สุด เกือบจะลงมือกันด้วยมีดดาบ สุดท้ายคนของสำนักบูรพายังปรากฏตัวขึ้นจับคนใส่กุญแจมือตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ จากนั้นยังเชิญอู่ชิงโหวมาออกหน้า ไปด่าถึงจวนผิงอันโหว

เรื่องถึงขั้นนี้ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กกำลังเล่นซน แต่เป็นเหลวไหล เริ่มจากฮ่องเต้ว่านลี่ไปขอร้องอู่ชิงโหว ขอร้องเฝิงเป่าและจางเฉิง จึงได้ทำให้เรื่องเงียบลงได้ คิดไม่ถึงว่าไทเฮายังทรงทราบได้ หากใช้อาวุธกันเกิดเรื่องมาจะทำเช่นไร หากทำร้ายบุตรชายผิงอันโหวเป็นไรไป มีเรื่องกันในหมู่ชนชั้นสูงจะทำเช่นไร ไทเฮาทั้งหวั่นเกรงทั้งกริ้วโกรธ

แต่พระราชโองการในวันนี้ กลับทำให้หวังทงสบายใจขึ้น พระราชโองการเพียงแค่ตำหนิเท่านั้น เพราะหากจะเรียนกันแต่ในลานฝึกนี้ ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในความควบคุม วันหน้าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

อันตรายมากๆ หวังทงรู้จักพิจารณาตัวเอง ระยะนี้ลืมตัวไปอยู่บ้าง มีบ้างที่ลืมไปว่าฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ราชวงศ์หมิงตอนนี้ผู้ปกครองที่แท้จริงคือไทเฮา เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้ง

ทุกคนไปกันแล้ว โจวอี้ก็ถอนหายใจเฮือกก่อนจะนั่งลงข้างหวังทง เอ่ยขึ้นว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องเลย แม้แต่เฝิงกงกงและท่านพ่อบุญธรรมก็ยังต้องคุกเข่าหน้าพระพักตร์ไทเฮา ถูกตำหนิไปถึงครึ่งชั่วยาม จากนั้นเฝิงกงกงและท่านพ่อบุญธรรมยังเรียกข้าไปดุด่ายกใหญ่เลย พ่อบุญธรรมยังฝากข้ามาบอกน้องหวังเจ้าว่า โชคและภัยพร้อมจะพลิกผัน ต้องรอบคอบให้มาก!”

หวังทงรับการสั่งสอนไปก็กระแอมไอไป ก่อนจะเอ่ยว่า

“วันหน้าไม่ออกจากลานฝึกแล้ว ขอบคุณกงกงทุกท่านที่สอนสั่ง ขอพี่โจวนำวาจากลับไปว่า ข้าทางนี้วันหน้าจะต้องทำการอย่างรอบคอบ”

โจวอี้พยักหน้ารับ อยู่ๆ ก็หันมากระซิบว่า

“ข้าก็งง เรื่องนี้คนรู้มาก แต่ก็ปิดมิด ทำไมไทเฮายังทรงทราบได้ คนรายงานนี่จงใจมีเรื่องกับฝ่าบาทหรือไง?”

หวังทงทางนี้ย่อมไม่มีคำตอบ โจวอี้ก็ถามเองตอบเอง สองคนยังคงงงกันต่อไป เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ทำไมจึงได้ถูกลงโทษเบาเช่นนี้

****

วันที่ 3 เดือนเจ็ด มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกำลังถวายงานต่อไทเฮา วาจาและกิริยาแม้จะเป็นกันเองมาก แต่ยังคงรักษาธรรมเนียมระหว่างเจ้านายและขุนนาง ไม่ให้เสื่อมพระเกียรติเจ้านาย

เขากล่าวชมเชยอย่างน่าแปลกใจ แต่ก็คือสาเหตุของการลงโทษสถานเบา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version