ตอนที่ 166 เล่นหมากรุกสนทนา เจตนาเหมือนไม่เจตนา
คืนวันที่ 12 เดือนสิบ ในเมืองหลวงยังคงรื่นเริงกันไปตามปกติ ราวกับว่าไม่มีผู้ใดรู้ข่าวการจากไปของบิดามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง
จางฮั่นเสนาบดีกรมปกครองคนใหม่ตั้งแต่รับตำแหน่งมาก็ค่อนข้างเก็บตัว บรรดาสหายเชิญมาก็ปฏิเสธไปหมด ยามว่างก็อยู่แต่ในจวน ปิดประตูไม่ยอมออกไปไหน
ในเมืองหลวงนี้คนที่คุ้นเคยกับจางฮั่นล้วนรู้ว่าเสนาบดีกรมปกครองผู้นี้ชื่นชอบการเล่นหมากล้อม ผู้มอบของกำนัลมีค่าอะไรให้ก็ไม่ต้องการ แต่หากเป็นกระดานหมากล้อมไม้จันทร์ลงเส้นไหมโลหะ หรือหมากล้อมที่ทำจากหินหยกพวกนี้ก็จะรับไว้อย่างยินดี
ฟ้ามืดแล้ว พ่อบ้านของจางฮั่นยังเดินไปมาอยู่บริเวณหน้าห้องหนังสือของเจ้านายตน ไล่บรรดาคนงานระดับล่างให้ออกไปจากบริเวณนี้ เพราะว่ายามเจ้านายเล่นหมากล้อมนั้นต้องการความสงบ ไม่ชอบให้มีผู้ใดผ่านไปมา
ในห้องหนังสือจุดโคมไฟและจุดกำยานไม้จันทร์หอมชั้นยอดไว้แล้ว กระดานหมากล้อมจัดวางเรียบร้อย จางฮั่นกำลังอ่านตำราหมากล้อมที่อยู่ในมือ จัดหมากบนกระดานดูเป็นระยะๆ ค่อนข้างหลงใหลเอาการ
“ตงเวิง ให้ท่านรอนานแล้ว!”
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะกังวานขึ้น บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา จากชุดที่สวมน่าจะมีสถานะเป็นบัณฑิตระดับจวี่เหริน เขาไม่เพียงแต่ท่าทางดูสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน การเคลื่อนไหวยังแสดงให้เห็นถึงความเหนือธรรมดาต่างจากสามัญชนทั่วไป
เสนาบดีจางฮั่นระดับไหน แต่พอเห็นคนผู้นี้กลับลุกขึ้นยืนพยักหน้ายิ้มตอบว่า
“ท่านเฉียนมาถึงแล้ว ทานข้าวมาแล้วใช่ไหม ห้าวันก่อนแพ้ไปแค่สามหมาก วันนี้ต้องชนะสักตาให้ได้”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกางพัดจีบในมือขึ้นโบกพัดไปมาครู่หนึ่ง บนพัดมีอักษรเขียนด้วยลายพู่กันสะบัดราวหงส์มังกรเริงระบำว่า ‘อันดับห้าในใต้หล้า’ เพียงมองก็รู้ว่าเขียนโดยผู้มีชื่อเสียง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือสหายเล่นหมากรุกของจางฮั่น แซ่เฉียน ชื่อว่าชุนผิง ตั้งฉายาตนเองว่าว่า บุรุษขาวดำ รุ่นบิดาของเฉียนชุนผิงนั้นเป็นขุนนางดูแลการค้าเกลืออยู่ที่อำเภอฉางหลู เมืองเทียนจิน หาเงินหาทองมาได้มากมาย เฉียนชุนผิงไม่ใช่ผู้มากสามารถพอจะสอบจอหงวนได้ อายุ 35 ถึงได้สอบติดแค่ระดับจวี่เหริน จากนั้นก็ไม่ได้ก้าวหน้าไปอีก
ร่ำเรียนไม่สำเร็จ แต่เฉียนชุนผิงมีความเชี่ยวชาญอันหนึ่ง นั่นก็คือการเล่นหมากล้อม อายุ 30 ปีก็ได้ฉายาว่าอันดับหนึ่งในภาคเหนือ บังเอิญว่าหลายคนที่เล่นหมากล้อมได้ดีมากที่สุดในใต้หล้านี้ หากไม่อยู่ที่เมืองหังโจว ก็จะอยู่ที่เขตซงเจียงทางใต้ ดังนั้นเหนือแม่น้ำนี้ก็มีแต่เฉียนชุนผิงผู้นี้แล้ว เขาเคยไปแดนใต้เล่นกับบรรดาคนเหล่านี้ ล้วนพ่ายแพ้เล็กน้อย ดังนั้นจึงขอให้นักพู่กันเขียนหลังพัดว่า ‘อันดับห้าในใต้หล้า’ ถือเอาไว้ทุกวัน
ที่บ้านมีเงินทองพร้อมมีเกียรติยศระดับจวี่เหริน วันๆ จึงได้แต่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี และมักจะคบค้ากับพวกขุนนางและชนชั้นสูงเพื่อร่วมประลองหมากล้อม จะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เฉียนชุนผิงผู้นี้เป็นหนึ่งในมือระดับพระกาฬแห่งเมืองหลวง
จางฮั่นชอบเล่นหมากล้อม ไปๆ มาๆ สองคนก็กลายเป็นสหายกัน เฉียนชุนผิงผู้นี้ไม่เคยต้องการอะไร ก็แค่เล่นหมากล้อมกันไป หรือไม่ก็ร่ำสุราสนุกสนาน เขาหวังเพียงชีวิตสุขสบายและอิสระเสรีเท่านั้น
สิ่งที่เสนาบดีกรมปกครองคนใหม่กลัวก็คือคนใกล้ชิดขอตำแหน่ง หากไม่ไว้หน้าหรือหลุดรับปากไปย่อมไม่ดี เฉียนชุนผิงมองออกจึงไม่ร้องขอสิ่งใด เล่นหมากล้อมให้ดีก็ย่อมไม่ต้องกล่าวอันใด จางฮั่นจึงยิ่งนิยมชมชอบคนผู้นี้ยิ่งนัก พ่อบ้านในจวนจางฮั่นหากพบกับพวกขุนนางอื่นทั่วไปก็แค่ประสานมือคำนับ แต่เห็นเฉียนชุนผิงผู้นี้กลับต้องคำนับอย่างเป็นทางการ และยังต้องเรียกว่า “ท่านเฉียน”
หมากทำจากหยกพอค่อยๆ บรรจงวางลงบนกระดานไม้จันทร์ เสียงกระทบดังเสนาะหูยิ่ง สร้างความสุนทรีย์ยิ่งนัก เฉียนชุนผิงเล่นหมากล้อมก็วางหมากได้ดี ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังจะถึงจุดสำคัญที่สุด สองฝ่ายฝีมือห่างกันไม่ไกลนัก ทำให้ตั้งแต่เริ่มเล่นจนจบก็ล้วนน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ทั้งสองเล่นหมากรุก ก็มักจะคุยเรื่องสัพเพเหระในเมืองหลวงกัน เฉียนชุนผิงผู้นี้แม้ว่าเป็นแค่บัณฑิตระดับ จวี่เหริน แต่ประสบการณ์มาก คิดการณ์ฉับไว แม้สถานะไม่สูงนัก แต่ก็มักจะเสนอแนวคิดที่ไม่เลวแก่เสนาบดีจางฮั่น
หลังจากลงหมากกันไป 20 กว่าตา จางฮั่นก็นึกรู้กลหมากที่แยบยลหนึ่งขึ้นมาได้ พอวางหมากลงไปและเฉียนชุนผิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกดีใจ อดยิ้มเอ่ยถามไม่ได้ว่า
“ณ เวลานี้ในเมืองหลวงมีข่าวอันใด ท่านเฉียนลองเล่าสู่กันฟัง”
เฉียนชุนผิงเหมือนจะคิดวิธีรับมือออกแล้ว จึงวางหมากลงไปตัวหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ณ เวลานี้ในเมืองหลวงสงบมาก ก็มีแต่เรื่องสำนักคณิกามีหญิงสาวมาใหม่คนไหนบ้าง ใครเล่นได้มากในบ่อนพนัน ใช่แล้ว มีเรื่องหนึ่ง เถ้าแก่ร้านขายของเล่นในเขตบูรพาและเขตปัจจิมหลายคนดื่มสุรากัน กล่าวว่าแผนผังเลื่อนตำแหน่งต้องแก้ไขแล้ว ไม่เช่นนั้นเล่นแล้วไม่สมเหตุสมผล”
แผนผังเลื่อนตำแหน่งก็คือเกมส์ทอยลูกเต๋าให้ได้ตัวเลขมาตัดสินเลื่อนตำแหน่งและเส้นทางเลื่อนตำแหน่ง ในภาพรวมก็จะกำหนดเส้นทางตามกฎระเบียบวงราชการ แรกเริ่มมีหลายทางเลือก เช่น สอบจอหงวน บวชพระ แพทย์ อะไรพวกนี้ การสอบจอหงวนก็แบ่งเป็นระดับจิ้นซื่อ ระดับจวี่เหริน ระดับหลันเซิง เป็นต้น
มีแผนผังเลื่อนตำแหน่งชุดนี้ ตอนเด็กๆ เล่นกันก็จะได้เข้าใจภาพรวมของวงราชการ ของเล่นชุดนี้ก็แค่กระดาษแผนผัง แผ่นป้ายตำแหน่งและลูกเต๋าสองสามลูก คนที่พอมีฐานะสักหน่อยก็จะซื้อไปเล่นกัน
ได้ยินดังนี้ จางฮั่นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ยิ้มถามว่า
“นี่เพิ่งเคยได้ยิน จะแก้ไขอย่างไร ระบบขุนนางราชวงศ์หมิงไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ!?”
เฉียนชุนผิงหดตัวลีบเล็กน้อยกล่าวว่า
“พูดออกมาแล้วใต้เท้าจางอย่าได้ตำหนิ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของใต้เท้าด้วย?”
การกล่าวเช่นนี้ยิ่งทำให้จางฮั่นสนใจอยากรู้ จึงเร่งถามว่า
“เล่าได้เลย ก็แค่การละเล่นของเด็กน้อย ในนั้นมีมหาอำมาตย์ไหมเล่า ก็ไม่เห็นว่าท่านจางจะถือสาของพวกนี้”
“ตงเวิง เดิมแผนผังเลื่อนตำแหน่ง ต้องทอยให้ได้แต้มที่ถูกต้องจึงจะค่อยๆ ก้าวขึ้นไป พอถึงระดับรองเจ้ากรมก็จะมีทางแยกไปเป็นเสนาบดีหรือว่าเป็นเจ้ากรมตรวจสอบ หรือว่าเข้าสู่คณะเสนาบดี”
จางฮั่นนั่งยกจอกชาค้างอยู่ข้างกาน้ำชา ยิ้มเบ้ปากว่า
“ของเล่นเด็กๆ ก็มีความจริงอยู่บ้าง”
“ทุกเส้นทางเมื่อเดินไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ที่จุดสูงสุดนี้ก็แยกสูงต่ำ อันดับหนึ่งย่อมเป็นมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ อันดับสองย่อมเป็นรองอำมาตย์ แต่เสนาบดีกรมปกครองดูแลบริหารงานและขุนนางใต้หล้าก็มักจะจัดให้อยู่ระดับเดียวกันกับรองอำมาตย์ รองเจ้ากรมปกครองนี้ก็มีสถานะเท่ากับเสนาบดีกรมอื่น”
จางฮั่นส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“จำได้ว่าตอนข้ายังเด็กก็เคยเล่น ก็เป็นกฎเช่นนี้ ทำให้รำลึกถึงความหลังไม่น้อยเลย ท่านเฉียนเชิญเล่าต่อ”
เฉียนชุนผิงมีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยขึ้นว่า
“เถ้าแก่ร้านขายของเล่นเหล่านั้นกล่าวว่าตอนนี้มหาอำมาตย์จางกุมอำนาจปกครอง ไม่ว่าราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่หรือบรรดาเสนาบดีกรมต่างๆ ทั้งหก ก็ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านจางเท่านั้น ไม่สู้แก้ไขทางแยก ให้เสมอกันให้หมด…”
เสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นได้ยินถึงกับยิ้มค้าง มองสีหน้าจางฮั่นที่เปลี่ยนไปแล้ว เฉียนชุนผิงก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ประสานมือขอโทษกล่าวว่า
“ข้ากล่าววาจามากความ ขอท่านเสนาโปรดอภัย!”
จางฮั่นโบกมือ กล่าวเสียงเรียบว่า
“จะว่าไปก็เป็นเรื่องจริง มีอะไรตำหนิกันเล่า มาๆๆ เดินหมากกันต่อ”
หมากขาววางลงไปก็รู้สึกไม่ถูกต้อง แม้ว่าจะลงหมากไปได้แค่ 20 กว่าตา แต่หมากกระดานนี้ของจางฮั่นกลับผิดพลาดอย่างมาก จากนั้นก็ไม่ต้องลงหมากต่อแล้ว ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย หากชนะได้ก็ย่อมเป็นเฉียนชุนผิงที่ยอมให้ด้วยฝีมือที่ไม่ธรรมดา จางฮั่นถอนหายใจพลางยื่นมือไปปัดหมากบนกระดานใหม่ทั้งหมด
เฉียนชุนผิงลุกขึ้นอีกครั้ง ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมยิ่ง ก่อนจะเอ่ยตำหนิตนเองว่า
“เป็นเพราะข้าน้อยกล่าววาจามากความ ใต้เท้าจิตใจสับสนแล้ว คืนนี้หมากนี้ไม่เล่นแล้วดีกว่ากระมัง!”
จางฮั่นพยักหน้า หยิบตำราหมากขึ้นมาพลิกอ่าน ถอนหายใจกล่าวเสียงเบาๆ ว่า
“ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปล่อยวางเรื่องแบบนี้ได้….ท่านเฉียน จำไว้คำหนึ่ง ‘ระวังวาจา’!”
วาจาของจางฮั่นแฝงนัยตักเตือน เฉียนชุนผิงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างสบายๆ ว่า
“ข้าน้อยไม่สนใจวงราชการนานแล้ว ที่บ้านก็ไม่ขัดสน ไม่มีอะไรต้องกังวล ย่อมไม่กล่าววาจาเหลวไหลข้างนอก ข้าน้อยเล่นหมากล้อมกับท่านมาได้ปีหนึ่ง ที่ใต้เท้ากล่าวกับข้าน้อยเคยแพร่ออกไปข้างนอกหรือ?”
“ท่านเฉียนอย่าได้คิดมาก ข้าเพียงแต่กำชับเท่านั้น จิ่งเหวิน ส่งท่านเฉียนแล้วมาพบข้าหน่อย”
จางฮั่นตะโกนบอกพ่อบ้านให้เข้ามา เพื่อไปส่งท่านเฉียน พอคนออกจากห้องหนังสือไป จางฮั่นก็ลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาส่องกับแสงตะเกียงอ่านไปได้หน้าหนึ่งก็โยนทิ้งไปด้านหนึ่งด้วยความร้อนใจ ลุกเดินเข้าไปในห้องหนังสือได้สองสามก้าว พ่อบ้านก็กลับมา จางฮั่นกล่าวเสียงไม่ดังนักว่า
“ต้าเฉวียนที่กลับมาเมื่อสามวันก่อน ให้เขาอยู่แต่ในบ้าน อย่าออกไปพูดอะไรกับใคร ไม่ให้ออกจากบ้าน เจ้านำเงิน 100 ตำลึงกับคนอีกคนหนึ่งที่ไว้ใจได้ไปด้วย เงินให้เขาไว้ใช้จ่าย จบเรื่องนี้ยังมีรางวัลให้ คนที่ส่งไปก็ให้จับตาเฝ้าต้าเฉวียนเอาไว้ให้ดี!”
พ่อบ้านรีบโค้งคำนับรับคำ จางฮั่นเคาะชั้นหนังสือ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบต่อว่า
“เขียนสารให้ซ่งฉานฉานว่า ‘ระวังวาจา’”
พ่อบ้านรับคำเสร็จก็รีบก้าวออกจากห้องไป
******
กลางเดือนสิบ ณ เมืองหลวง สามารถใช้คำว่า ‘คลื่นใต้น้ำถูกซัดสาด’ มาบรรยายสภาพตอนนี้ ภายนอกเงียบสงบกว่าปกติ ทุกคนล้วนรู้สึกว่าสงบเงียบ
หวังทงใช้ชีวิตอยู่ในลานฝึกก็ใช้คำว่า ‘น่าเบื่อ’ มาบรรยายได้ เรื่องที่น่าจดจำมีเพียงเรื่องเดียว ก็คือฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวกับเขาอย่างอัดอั้นว่า ไทเฮาเหรินเซิ่งแห่งตระกูลเฉินจับมือเขาแล้วกล่าวกับเขาในวันหนึ่งที่ไปเข้าเฝ้าถวายพระพรว่า
“ฝ่าบาท แผ่นดินราชวงศ์หมิงนี้เป็นของตระกูลจูเรา…”
ไทเฮาเหรินเซิ่งแห่งตระกูลเฉินเป็นฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้หลงชิ่ง เป็นชายาเอกในสมัยยังที่อยู่จวนอ๋องอวี้ แม้ว่าไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ก็ดีกับฮ่องเต้ว่านลี่มาก ฮ่องเต้น้อยก็กตัญญูอย่างมากมาโดยตลอด
หวังทงฟังแล้วก็งง ในใจคิดว่าแผ่นดินนี้ก็เป็นของตระกูลจูของพวกเจ้า จำเป็นต้องมาแอบเน้นย้ำกันส่วนตัวเช่นนี้หรือ แต่ประเด็นเช่นนี้หวังทงก็ไม่อยากเข้ายุ่งเกี่ยวมาก จะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
ความสนใจตอนนี้ของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่ร้านตีเหล็ก วันที่ 16 เดือนสิบวันนั้น คหบดีผู้นั้นพาเขาไปส่งมอบร้าน
ร้านตีเหล็กนี้หวังทงคิดจะย้ายมาที่โรงบ้านตนก่อน จากนั้นค่อยวางแผนต่อ พอไปถึงร้านตีเหล็ก สิ่งที่ทำอันดับแรกก็คือให้จางซื่อเฉียงจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าไปหนึ่งเดือน สาเหตุเพราะคหบดีผู้นั้นมีคดี บรรดาคนงานและช่างในร้านต่างขวัญหนีดีฝ่อ พอมีขุนนางออกหน้ารับทำต่อ ยังมอบเงินให้อีก ทุกคนก็รู้สึกวางใจ
พอส่งมอบเสร็จ หวังทงยังกล่าวรายละเอียดกับถานเจียงว่า ร้านตีเหล็กนี้จะย้ายไปโรงบ้านอย่างไร จากนั้นก็เรียกช่างตีเหล็กที่ชำนาญงานมารวมตัวกัน
หวังทงแก้ห่อผ้าที่ผูกติดตัวมา วางปืนสั้นลงบนโต๊ะ เอ่ยถามว่า
“สิ่งนี้ ร้านเราเคยตีไหม?”
*****
บ่ายวันที่ 16 เดือนสิบ มณฑลหูกว่างก็ส่งข่าวมารายงานยังเมืองหลวง บิดามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งได้ล้มป่วยจากไปแล้วเมื่อวันที่ 16 เดือนเก้า