ตอนที่ 167 คลื่นใต้น้ำ ปิดประตูปิดวาจา
“นายท่าน นี่มันปืนของพวกตะวันตกนี่นา!?”
พอหวังทงวางปืนสั้นลงบนโต๊ะ ช่างสองสามคนก็หยิบขึ้นมาพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะถามคำถามนี้ หวังทงอึ้งไป สามารถถามเช่นนี้ได้ แสดงว่าพวกช่างรู้จักสินะ!
“ใช่ ตอนข้าไปกวางตุ้งมีช่างตีเหล็กฟะรังคีผู้หนึ่งมอบให้”
ช่างตีเหล็กอายุ 40 กว่าผู้หนึ่งก้าวขึ้นหน้ามากล่าวเสียงดังว่า
“ไม่อาจปิดบังใต้เท้า พวกข้าน้อยเมื่อก่อนอาศัยข้าวจากทางการเลี้ยงชีพ…นายท่านไม่รู้ หน่วยงานที่ผลิตอาวุธแต่ละแห่งงานยุ่งกันจนไม่มีเวลาพัก หากมีงานด่วน ขุนนางที่มีหน้าที่ดูแลก็จะจ่ายเงินจ้างพวกเรามาทำ มีดดาบอะไรก็เคยทำ ปืนไฟก็ทำได้…”
หวังทงยิ้ม การแอบผลิตอาวุธเป็นการผิดกฎหมายร้ายแรง พอพวกช่างตีเหล็กรู้ว่าตนเป็นองครักษ์เสื้อแพรก็รู้สึกเครียด ช่างผู้นี้อธิบายนอกเรื่องไปรอบหนึ่ง เกรงว่าคงเป็นเพราะระวังตัวไว้ก่อน
“ว่ากันมาตามตรงได้ พวกเจ้าเมื่อก่อนเคยทำอะไรมาข้าไม่สน วันนี้ขอเพียงทำตามที่ข้าสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้า บอกมาก่อนว่า ปืนสั้นนี่ทำได้หรือไม่!”
ได้ยินหวังทงรับประกัน บรรดาช่างตีเหล็กก็เผยสีหน้าผ่อนคลายวางใจ ช่างที่ตอบเสียงดังเมื่อครู่รับปืนสั้นจากเพื่อนช่างมาพลิกไปมาอย่างละเอียด
“แบบนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน พวกเราสามารถทำได้ การตีอาวุธปืนสำคัญที่ต้องใส่ใจรายละเอียด ไม่อาจละเลยแม้แต่น้อย ยังมีอีก เหล็กตีปืนสั้นนี้ต้องเป็นเหล็กชั้นดี ต้องใช้เงินไม่น้อย”
ได้ยินว่า ‘สามารถทำได้’ หวังทงก็ตื่นเต้นยินดี ยิ้มกล่าวว่า
“เรื่องเงินทองไม่ต้องเป็นห่วง เขียนใบรายการมา ให้ถานเจียงหรือไม่ก็จางซื่อเฉียงไปซื้อ!”
ดีใจส่วนดีใจ แต่เงินยังคงต้องรอบคอบใช้จ่าย พอเขียนรายการมา หวังทงยังต้องให้คนที่รู้เรื่องไปอ่านก่อน อย่างไรก็ไม่ให้พวกเขาไปหาซื้อกันเอง
การเป็นสหายฮ่องเต้นั้นไม่อาจละเลย หวังทงจัดการงานที่ร้านตีเหล็กเสร็จก็รีบขี่ม้ากลับเข้าเมือง
พอเข้ามาในเมืองก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เปลี่ยนเป็นชุดน้ำเงินเสร็จก็เดินไปที่ประตูบ้าน พลันได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าตะโกนด่ากันไปมาดังมาจากทางหอเลิศรส
เวลาอาหารกลางวันทุกวัน เด็กๆ จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพียงแต่พอหวังทงออกจากประตูมา หลี่ว์วั่นไฉก็ลงจากหลังม้ามาพอดี ยกชายเสื้อชุดยาวรีบวิ่งเข้ามา พอมาถึงตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ ว่า
“น้องหวัง ตอนเช้าที่จวนมหาอำมาตย์มีข่าวออกมา บิดาท่านมหาอำมาตย์จางได้ล้มป่วยจากไปแล้ว จากไปราววันที่ 25 เดือนเก้า”
หวังทงอึ้งไปครู่หนึ่ง ดูท่าแล้วข่าวนี้น่าจะแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ทุกอย่างต้องทำให้เปิดเผย ข่าวนี้หวังทงเองรู้แล้ว จึงไม่ต้องทำท่าทางตกอกตกใจอันใด ได้แต่พยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”
เห็นหวังทงมีทีท่าไม่สนใจ หลี่ว์วั่นไฉก็ลังเลครู่หนึ่ง ดึงหวังทงเข้ามากระซิบว่า
“น้องหวัง เรื่องนี้พวกเราก็ต้องเตรียมพร้อม หากท่านจางต้องไว้ทุกข์ เฝิงกงกงก็ย่อมเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นพวกเราก็ย่อมพลอยโดนไปด้วย”
ในความคิดหลี่ว์วั่นไฉ ที่พึ่งพิงเบื้องหลังหวังทงที่ใหญ่ที่สุดก็คือมหาขันทีเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์ หากจางจวีเจิ้งต้องไว้ทุกข์จริง เกรงว่าอำนาจบารมีของเฝิงเป่าก็ย่อมสั่นคลอนไปด้วย หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉระยะนี้ขายป้ายสงบสุข ดูเหมือนล่วงเกินบรรดาหอคณิกาและบ่อนพนันในเมืองไปหมด คิดว่าพวกตระกูลใหญ่ที่หนุนหลังพวกนั้นก็คงไม่พอใจนัก หากที่พึ่งพิงล้มลง เกรงว่าก็คงเป็นดังกำแพงให้มหาชนพังเป็นแน่ กว่าจะร่ำรวยถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย เบื้องหน้ากลับมีมหันตภัยที่จะพัดพาทุกอย่างไป ทำให้หลี่ว์วั่นไฉรู้สึกเป็นกังวลเช่นนี้นี่เอง
หวังทงมองหลี่ว์วั่นไฉแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า
“พวกเราทำอะไรได้ จากนี้ก็คงเป็นคลื่นใหญ่กระหน่ำ หากหลงเข้าไปก็คงได้แหลกสลายเป็นผุยผง พวกเราจะกล้าทำอะไรได้ นั่งชมเงียบๆ ดีกว่า!”
ได้ยินวาจาหวังทง หลี่ว์วั่นไฉก็ร้อนใจใหญ่ ในใจคิดว่าใต้เท้าน้อยผู้นี้บางทีอาจไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งผลลัพท์อันใดบ้าง จึงไม่สนใจอะไร เขาดึงแขนหวังทงไว้กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ใต้เท้าหวัง หากท่านจางไว้ทุกข์ ตำแหน่งเฝิงกงกงจะมั่นคงได้อย่างไร ต้นไม้ใหญ่เช่นเฝิงกงกงนี้หากไม่มั่นคง เช่นนั้นพวกเราจะมั่นคงได้อย่างไร จากนั้นทุกอย่างคงได้แหลกสลายเป็นผุยผงเหมือนกัน ใต้เท้าหวัง เงินก่อนหน้านี้ที่เก็บได้มาหลายหมื่นตำลึง ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยากจะบดพวกเราพี่น้องให้เป็นผุยผง พวกเราต้องเตรียมการให้พร้อม!!”
หวังทงเห็นหลี่ว์วั่นไฉหวาดหวั่นเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ยื่นมือไปตบบ่าหลี่ว์วั่นไฉ สีหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้เขียวคล้ำขึ้นแล้ว หวังทงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า
“ใครกล่าวกับพี่หลี่ว์ว่า เบื้องหลังข้าน้อยคือเฝิงกงกงกัน ท่านจางไว้ทุกข์หรือไม่ ย่อมเป็นคลื่นลูกใหญ่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา มีใครไม่มีตามาหาเรื่องเรา ก็จัดการให้เด็ดขาดไปเช่นเดิม พี่หลี่ว์ ไม่พูดมากแล้ว ท่านวางใจได้ก็พอ ข้าไปกินข้าวที่หอเลิศรสก่อน”
ได้ยินวาจาหวังทง หลี่ว์วั่นไฉก็อึ้งอยู่ตรงนั้น สีหน้าม่วงคล้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นดำแดงตามปกติ หวังทงเดินไปไกลแล้ว หากเขายังคงอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ในเมื่อแม้แต่มหาขันทีเฝิงเป่าไม่มั่นคงยังไม่เป็นไร เช่นนี้เบื้องหลังที่พึ่งพิงของน้องหวังคือผู้ใดกัน หลี่ว์วั่นไฉไม่กล้าคิดต่อ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกสับสนไปหมด
ก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อครู่หอเลิศรสที่ยังเสียงดังวุ่นวายกลับเงียบลง พอหวังทงเข้าไปก็เห็นจางหงอิงกำลังเข็นรถไม้บรรทุกจานอาหารเข้ามาเติมอาหาร
ที่ๆ จางหงอิงเดินผ่าน เด็กทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว หวังทงนั่งลงอย่างงงๆ เห็นหลี่หู่โถวก้มหน้ากินข้าว ไม่ทักไม่ทายเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง รอจนจางหงอิงเก็บเรียบร้อย เข็นรถอาหารออกไป ในหอเลิศรสก็เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง พอเห็นหวังทงประหลาดใจ หลี่หู่โถวก็ยู่ปากกล่าวว่า
“พี่หงอิงร้ายกาจมาก ตอนนี้ทุกคนกลัวนาง กินข้าวไม่กล้าเหลือทิ้ง ไม่งั้นก็จะด่ากันต่อหน้าเลย…”
ขณะพูดยังทำหัวหด จางหงอิงเดิมก็โตกว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่อยู่สองปี เด็กผู้หญิงรู้ความเร็วกว่าเด็กผู้ชาย นอกจากความคิดเป็นผู้ใหญ่เช่นหวังทงแล้ว การมีอยู่ของนางเกือบเหมือนกับพี่สาวของบรรดาเด็กๆ ในลานฝึกนี้ ทุกคนให้ทั้งความเคารพและยำเกรง
เห็นท่าทางของบรรดาเด็กๆ ในร้านแล้ว หวังทงก็อดหลุดเสียงหัวเราะกึกออกมาไม่ได้ จึงต้องรีบกินเพื่อกลบเกลื่อนอาการ ความเครียดกังวลในหลายวันนี้ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
*****
วันนี้ต่างจากสภาพคลื่นใต้น้ำถูกกระทบเมื่อหลายวันก่อน เมื่อทางการประกาศข่าวบิดาของท่านจางจากไปแล้ว ทั้งเมืองหลวงก็เงียบสลัดลงทั้งเมือง
ทั้งเจ้ากรมและเสนาบดีทั้งจากหกกรมและจากสำนักตรวจสอบ เจ้ากรมตรวจสอบสองคนจากสำนักตรวจสอบและรองเจ้ากรมอีกสองคน รวมทั้งบรรดาราชบัณฑิตประจำคณะเสนาบดีใหญ่ นอกจากไปกล่าวแสดงความเสียใจที่จวนจางจวีเจิ้งตามธรรมเนียมวงราชการแล้ว ทุกวันก็ยังทำงานกันปกติ เมื่อก่อนตอนเลิกประชุมท้องพระโรงก็จะไปสังสรรค์กัน แต่หลายวันนี้ล้วนแต่ต้องเก็บเนื้อเก็บตัว ปิดประตูบ้านไม่ออกมากัน และทุกคนยังไม่รับแขกมาเยือน บรรดาขุนนางผู้ใหญ่เป็นกันเช่นนี้ แต่ขุนนางผู้น้อยกลับมีกิจกรรมไปมาหาสู่กันให้วุ่นวาย
พวกเขาล้วนรู้ข่าวช่วงนี้ ต่างหาข่าวจากกันและกัน แอบวิจารณ์กัน ขุนนางผู้ใหญ่ตอนนี้กำลังเดิมพัน หากพวกเขายืนถูกข้าง วันหน้าก็คงได้โบยบินไปไกล หากผิดข้าง อนาคตราชการคงต้องมืดมนเป็นแน่
การค้าของหอคณิกาและหอสุราคึกคักเป็นพิเศษ บรรดาห้องพิเศษอะไรพวกนั้น ทุกกลางวันจะมีขุนนางมาแอบสนทนาและวางแผนกัน
สำหรับนอกเมืองหลวงก็ไม่ต้องพูดถึง ทั้งขุนนางที่จางจวีเจิ้งแต่งตั้งไปประจำการ รวมทั้งพวกที่ถูกสกัดเส้นทางราชการจากเหตุโชคร้ายต้องคดีในเรื่องการจัดการตรวจสอบที่ดินทำนาก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างคิดกันไปหลากหลาย
วงราชการส่วนนอกเป็นเช่นนี้ ในวังหลวงกลับต่างกัน หน่วยงานสำคัญต่างๆ อย่างสำนักส่วนพระองค์ สำนักอาชาหลวงหรือสำนักส่วนใน เทียบกับเมื่อก่อน ทุกคนล้วนประนีประนอมกันอยู่หลายส่วน
ในสำนักส่วนพระองค์ ไม่ว่าจางเฉิงหรือขันทีในห้องทรงงานอีกสามสี่คน เมื่อก่อนฎีกาที่เคยจัดการได้เอง แต่ตอนนี้ขอเพียงสำคัญเล็กน้อยก็จะส่งให้เฝิงเป่าตัดสินใจ
เฝิงเป่าก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเขาคิดอย่างไรกับพันธมิตรนอกวังอย่างจางจวีเจิ้งที่กำลังจะสูญเสียตำแหน่งไป ทุกอย่างยังคงเหมือนเช่นปกติ
กลางวันทำงานด้วยกัน บรรดาขันทีก็จะมีท่าทีเกรงใจกันมาก แต่พอตกค่ำ พอเจ้านายที่ตนรับใช้เข้านอนกันหมดแล้ว สถานการณ์ก็คล้ายกับนอกวัง
พวกที่มีตำแหน่งมหาขันทีในวังหลวงก็เหมือนกับมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่และเสนาบดีทั้งหกกรม พอกลับไปที่พักตนแล้ว ต่างก็ไม่เอ่ยเรื่องจางจวีเจิ้งที่ใกล้จะต้องไว้ทุกข์
กลับเป็นคนระดับล่างที่เคลื่อนไหวกันรุนแรง ทุกคนล้วนมองออกว่า หากสถานะเฝิงกงกงไม่มั่นคง คนที่จะมาแทนเฝิงกงกงจะเป็นผู้ใด จางเฉิงกงกงเป็นขันทีใกล้ชิดฮ่องเต้ และยังเป็นอันดับสองในสำนักส่วนพระองค์ ทดแทนขึ้นไปก็มีความเป็นไปได้มากที่สุด
ตอนนี้ไปหาจางเฉิงกงกงไม่ค่อยเหมาะ แต่โจวอี้กงกงที่เป็นหัวหน้ากองกำลังมังกรรักษาพระองค์แห่งสำนักอาชาหลวงเป็นบุตรบุญธรรมที่ใกล้ชิดกับจางเฉิงกงกงที่สุด เป็นคนอัธยาศัยดี ไปเคลื่อนไหวทางสายนั้นเหมาะที่สุด
แต่โจวกงกงก็ปิดประตูไม่รับแขก ตอนเช้าออกไปปฏิบัติภารกิจ กลางวันก็ปฏิบัติภารกิจข้างนอก กว่าจะรอเขากลับมา เรือนที่เขาพักก็ปิดประตูแน่นไปแล้ว
คนเฝ้าประตูเป็นขันทีน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบ ชื่อว่าเจ้าจินเลี่ยง อายุน้อยกลับรู้จักคิด ให้เงินก็แล้ว โมโหใส่ก็แล้ว เจ้าเด็กน้อยก็ยังกัดฟันยืนยันไม่ให้เข้าไป
แม้แต่รองขันทีสำนักดูแลพระราชฐานยังถูกสกัดกลับไป ว่ากันว่าตอนนั้นโมโหตบหน้าขันทีน้อยผู้นั้นไปหลายที ที่มุมปากเจ้าจินเลี่ยงมีโลหิตไหลซึม แต่ก็ไม่ยอมให้เข้าไป
******
ทั้งระดับบนและระดับล่างต่างวิเคราะห์ลึกซึ้งหรือไม่ก็แกล้งทำเป็นเป็นไปรู้ไม่ชี้ บิดาพระอาจารย์ของพระองค์จากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รู้จะทำเช่นไร
พระองค์ทราบดีว่าขุนนางหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ต้องไว้ทุกข์ ต้องออกจากตำแหน่งไปสองปีกว่า แต่หากจางจวีเจิ้งไปแล้วจะทำเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกร้อนใจและสับสน ตามปกติเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมให้ความเห็นกับพระองค์บ้าง เฝิงต้าปั้นก็ย่อมเอ่ยอันใดบ้าง
แต่ครั้งนี้ไม่ว่าไทเฮาหรือเฝิงเป่าล้วนรักษาท่าทีนิ่งเงียบ แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะจงใจเอ่ยถึง ประเด็นสนทนาก็จะถูกเบี่ยงไปอย่างดูเหมือนไม่ตั้งใจ