ตอนที่ 173 หมากกระดานใหญ่ยิ่ง
หอคณิกายามเช้าส่วนใหญ่ไม่เปิด ส่งแขกที่ค้างคืนกลับไปหมด ในหอก็ปิดพักหลายชั่วยาม ตอนบ่ายจึงค่อยเปิด
หอรับวสันต์ก็เช่นกัน แต่เช้าวันนี้ต่างจากปกติเล็กน้อย ทุกคนในหอรับวสันต์สีหน้าตื่นเต้น สาเหตุไม่มีอื่น ก็เพราะนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้น ใต้เท้าหวังจะมา
ตอนที่หวังทงนำคนมาพังร้าน ทุกคนในร้านยังจำได้ดี แต่นั้นมาก็ได้ยินเรื่องราวนักเลงโตของหวังทงในเมืองไม่น้อย ก็ยิ่งหวาดหวั่น
แต่ที่เสียเปรียบไปตอนนั้น ต่อมาก็ได้ประโยชน์คืนมา พวกเขาเป็นคนทำการค้าคนแรกสุดที่แขวนป้ายสงบสุข หลังจากแขวนป้ายแล้ว ร้านและซ่องรอบๆ ก็ถูกกวาดล้างไปหมด ยังมีอีกสองร้านที่ไม่นับว่าชั้นสูงแต่ก็ไม่นับว่าชั้นล่างนักต่างมาอาศัยชื่อของหอรับวสันต์
ไปๆ มาๆ การค้าดีขึ้นมาก ตอนนี้หวังทงชื่อเสียงโด่งดังใหญ่ กับหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนก็สนิทกันดี หอรับวสันต์จึงยิ่งนอบน้อมและเกรงหวังทง
หวังทงมาแต่เช้า แม่เล้าเจียงเดิมพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ก็รีบมาทันที ได้ยินหวังทงเรียกหาชุ่ยหง แม่แล้วเจียงก็ถามด้วยหวังดีว่า
“ใต้เท้าหวัง หญิงที่แค่ระดับสองยังไม่ถึงขั้นจะไปน่าสนใจอะไร ใต้เท้าสนใจ ก็ให้อวี้ผินมารับใช้ท่าน”
อวี้ผินเป็นเบอร์หนึ่งหอรับวสันต์ ได้ยินเช่นนี้ ซุนต้าไห่ที่ตามหวังทงก็อดหัวเราะไม่ได้ จางซื่อเฉียงรีบก้มหน้าลงทันที
หวังทงจะร้องไห้ก็ไม่ออก จะยิ้มก็ไม่ออก แค่มาสอบถาม ไยจึงเข้าใจผิดไปได้ว่ามาหาความสำราญ เขาคร้านจะอธิบาย จึงเอ่ยขึ้นว่า
“หาห้องเงียบๆ ให้ข้า ข้าจะรอชุ่ยหงที่นั่น อย่ากระโตกกระตากไป”
แม่เล้าเจียงรับคำอย่างตระหนกตกใจ ในใจคิดว่าใต้เท้าหวังผู้กล้าระดับนี้ความชอบย่อมต่างจากคนทั่วไป อย่างไรก็ถามให้น้อยจะดีกว่า
ชุ่ยหงอายุใกล้จะ 30 แล้ว แต่งตัวพอกหน้าเข้มจัด ร่างอวบอัด ยังพอมีความเย้ายวนอยู่หลายส่วน ตอนถูกนำทางเข้ามาในห้อง ยังเดินนวยนาดส่ายไปมา หวังทงโบกมืออย่างรำคาญกล่าวว่า
“ถามเจ้าสองสามเรื่อง ตอบมาตามตรง”
ชุ่ยหงจึงได้สงบเสงี่ยมขึ้น หวังทงเอ่ยถามว่า
“หลัวเต้าผู้นั้นมาหาเจ้าที่นี่บ่อยไหม?”
เห็นชุ่ยหงลังเล หวังทงก็ควักเงิน 10 ตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า
“หากพูดมา เงินนี่เป็นของเจ้า แม่เล้าเจียงก็ไม่อาจหักได้ หากไม่พูด พรุ่งนี้เจ้าก็จะไม่ได้อยู่เมืองหลวงต่อ จะจับเอาไปโยนให้สุนัขป่ากิน!”
เงินก้อนขาววาววับ คำข่มขู่คุกคาม ทำเอาชุ่ยหงตัวสั่น สองตาฉายแววละโมบจ้องมองเงินไม่กระพริบ พรั่งพรูออกมาว่า
“หลัวเต้ากับข้าน้อยสนิทกันมาได้สองปี สองสามวันมาครั้ง เขาเป็นผู้ติดตามท่านอิ๋วชี คนอื่นๆ ไม่กล้าขวางทาง ทำเอาข้ารับงานได้น้อยลงไปมาก!”
“เขามาบ่นเรื่องงานยุ่งกับเจ้าที่นี่ พูดเรื่องอะไรบ้าง?”
“พูดว่า จะจัดเตรียมงานศพให้บิดาท่านจาง ยุ่งวุ่นวายกันจนออกจากจวนมาไม่ได้ เลือกซื้อของก็ต้องระมัดระวังไปซื้อกันนอกเมือง ยังต้องอาศัยชื่อคนอื่นไปจัดการด้วย ปรากฏว่ายุ่งกันไปสองสามวัน พ่อบ้านรองที่จัดการเรื่องนี้ก็ถูกท่านอิ๋วชีด่าไปยกใหญ่ การเตรียมงานศพก็หยุดลง”
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หวังทงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า
“ยุ่งวุ่นวายกันเมื่อไร?”
“หลัวเต้าไม่ได้บอกว่าตอนไหน แต่วันที่ 6 เดือนสิบวันนั้นเดิมบอกว่าจะมาหาข้าน้อย จะซื้อกำไลเงินมาให้ แต่รอมาจนเมื่อวานซืนจึงได้มาได้ เรื่องกำไลอะไรนั่นก็ไม่เอ่ยถึง แล้งน้ำใจยิ่ง เสียแรงที่…”
ชุ่ยหงกล่าวต่อ หวังทงไม่สนใจ ลองกะเวลาคร่าวๆ ก็คิดความเป็นไปได้เรื่องหนึ่ง เขาพยักหน้า ชุ่ยหงก็รีบยื่นมือออกมาคว้าเงินไป หวังทงรีบยกมือกันไว้ เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบว่า
“วันนี้ข้ามาที่นี่ หากมีขุนนางมาถาม เจ้าอย่าได้กล่าวสิ่งใดออกไป”
ชุ่ยหงกรอกตาไปมา หัวเราะกระบิดกระบวนกล่าวว่า
“ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ ใต้เท้าหวังวันนี้ไม่ได้มา”
ก็พอรู้การรู้งานอยู่บ้าง หวังทงพยักหน้ายกมือออก พอออกจากห้องไป แม่เล้าเจียงก็ปรี่เข้ามารับ เห็นเสื้อผ้าและท่าทางหวังทงแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องไม่ใช่อย่างที่นางคาดคิด ยังไม่รอให้นางถาม หวังทงก็เอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงไม่ดังนักว่า
“จากวันนี้ไป ชุ่ยหงรับแต่หลัวเต้า เจ้าหาสาวใช้ที่ไว้ใจได้จับตาไว้ กล่าวเรื่องใดข้าต้องรู้ทุกเรื่อง แขกที่เรียกตัวชุ่ยหง เจ้าต้องจดไว้ให้ดี เงินทองข้าจะเพิ่มให้เจ้า!”
แม่เล้าเจียงอยู่ในวงการมานาน รู้งานยิ่ง รีบกล่าวอย่างใจกว้างว่า
“ใต้เท้าใช่ดูถูกข้าหรือไม่ เรื่องแค่นี้ หอรับวสันต์รับมือไหว”
หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“ข้าจะจดจำวาจานี้ของเจ้าไว้ ขอลาก่อน!”
คนทั้งหมดพากันขึ้นม้าจากไป ตอนอยู่บนหลังม้า หวังทงก็คิดถึงเรื่องที่ตนเองได้ฟังมาจากหอฉินก่วน วันนั้นวันที่ 10 เดือนสิบ ว่ากันว่าเป็นการข่าวที่ไวที่สุดในเมืองหลวง แม้ว่าจะไม่ไวที่สุด แต่ก็ต้องห่างกันไม่นานนัก
แต่จวนจางจวีเจิ้งวันที่ 6 เดือนสิบก็เริ่มเตรียมงานศพแล้ว แม้ว่าต่อมาจะหยุด แต่ก็แสดงให้เห็นชัดว่า จางจวีเจิ้งอย่างน้อยก่อนวันที่ 6 เดือนสิบก็รู้ข่าวการจากไปของบิดาแล้ว
หากเพื่อปิดข่าวไว้ เพื่อชะลอการไว้ทุกข์ก็ไม่น่าใช่ เวลามากอีกเดือนเดียว ไม่มีความหมายอันใด ทำไมจึงแกล้งทำปฏิกิริยาชักช้าเช่นนี้ ด้วยความสามารถและบารมีของจางจวีเจิ้งและเฝิงเป่า ต้องการทำสิ่งใดกันแน่
แต่ก็ช่างบังเอิญ พอหวังทงกลับมาถึงบ้านอยากพบโจวอี้ โจวอี้กลับไม่อยู่ ขันทีที่ปกติจะอยู่ประจำการกันก็ไม่อยู่ว่ากันว่าจางกงกงมีเรื่องให้ไปจัดการ
เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไร ก็ได้แต่รอตอนบ่ายไปลานฝึกแล้ว ช่วงพักกลาง ฮ่องเต้ว่านลี่แจกขนมหมดแล้ว หวังทงก็พาฮ่องเต้ว่านลี่ไปอีกทาง กระซิบว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงมุ่น พยักพระพักตร์รับ หวังทงรีบกราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ถึงเรื่องที่วิเคราะห์ออกมาได้เมื่อตอนเช้าจากการที่ได้ยินได้ฟังมา และยังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า
“กระหม่อมขอเสี่ยงชีวิตกล่าวสักประโยค ฝ่าบาทพรุ่งนี้ควรจะมีราชโองการยับยั้งการไว้ทุกข์”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้น้อยมีแววกริ้วโกรธ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ตรัสว่า
“หวังทง เจ้าต้องรู้จักประมาณตนและธรรมเนียม เจ้าเตือนให้เราอดทนรอดูก็แล้วไป แต่ยังกลับมาให้เราต้องออกราชโองการยับยั้งอีก เหลวไหลหรือไม่”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าจางกำลังใช้อุบายแกล้งปล่อยแล้วคอยรวบอยู่ ท่านจางชะลอข่าวบิดา แต่ไม่ห้ามให้คนอื่นสอบถามส่วนตัวกัน แสดงให้เห็นว่าจงใจปล่อยให้ทุกคนได้เตรียมการสานสัมพันธ์กัน ให้ทุกคนคัดค้านการดำรงตำแหน่งของเขา อาศัยจังหวะนี้กวาดล้างบรรดาพวกขุนนางที่มีใจไม่ซื่อกับเขา กระหม่อมขอบังอาจเดาว่า เรื่องนี้ไทเฮาก็ทรงทราบ เฝิงกงกงก็รู้ ท่านจางมากความสามารถเช่นนี้ หากไม่มีความมั่นใจเกินร้อย จะกล้าเดิมพันเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร”
ได้ยินหวังทงวิเคราะห์อย่างจริงจัง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มมีท่าทีอ่อนลง พึมพัมกับพระองค์เองว่า
“ทำไมไม่บอกเรา ตอนเราห้าขวบก็เป็นศิษย์ท่านจางแล้ว หวังทง เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า การไว้ทุกข์หรือยับยั้ง เราก็รอฎีกาจากขุนนางเบื้องล่างอยู่ ถึงตอนนั้นตัดสินไปก็พอ”
หวังทงมองซ้ายมองขวา กัดฟันกราบทูลว่า
“กระหม่อมขอพระราชทานอภัยโทษตายไว้ก่อน ค่อยขอให้ฝ่าบาทอนุญาตให้กระหม่อมกล่าววาจาไร้ความเคารพสักประโยคหนึ่ง”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้านิ่งๆ หวังทงกดน้ำเสียงให้เบาอย่างที่สุด เขยิบเข้าไปกระซิบว่า
“บางทีท่านจางอาจจะอาศัยเรื่องนี้ลองใจฝ่าบาท ไทเฮาและเฝิงกงกงก็เห็นด้วย ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ หากว่า…”
วาจาไม่อาจกล่าวต่อไปได้แล้วจริงๆ ฮ่องเต้ว่านลี่สีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีดเผือด เริ่มจากโกรธก่อน จากนั้นเหมือนคิดไรได้ สุดท่ายก็สงบใจลง มองหวังทงตรัสว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า วาจาเมื่อครู่ เราสามารถประหารเจ้า 10 ชั่วโคตร เราว่าเจ้าก็รู้ แต่เจ้าก็ยังกล่าวเช่นนี้กับเรา ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็ล้วนเป็นความจงรักภักดี วาจานี้กล่าวแค่นี้พอ วันหน้าอย่าได้เอ่ยถึงอีก เราคิดเองได้แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรจะกล่าวต่อ บ่ายวันนี้วิชาต่อมาหลังพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้อยู่ลำพังกับหวังทงอีกเลย เอาแต่ไปร่วมวงเฮฮารวมกลุ่มกับทุกคนอยู่ทางนั้น
วิชาตอนบ่ายจบลง โจวอี้ก็เสร็จงานในวังพอดี พอมารับฮ่องเต้ที่ลานฝึกและพาไปส่งในวังแล้ว ก็กลับมาอีกรอบเพราะหวังทงเรียกไว้
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็เรียบง่ายยิ่ง หวังทงเองยังเล่าเรื่องที่ตนได้ยินได้พบมาและการวิเคราะห์ของตนไม่จบ โจวอี้ก็เข้าใจเรื่องคร่าวๆ ได้ทันที สีหน้าจริงจังขึ้น เอ่ยขึ้นว่า
“ข่าวของน้องหวังมาทันเวลาพอดี ข้าจะเข้าวังไปเล่าให้ท่านพ่อบุญธรรมฟัง เด็กดี นี่ไม่ใช่แค่จางจวีเจิ้งกำลังลองใจทุกคนเพียงคนเดียว เกรงว่าเฝิงกงกงก็คิดเช่นเดียวกัน ขอตัวก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาคุยหารือกันใหม่”
จางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าเป็นพันธมิตรกัน ในวังนอกวังประสานกัน คนในวังที่หวังให้จางจวีเจิ้งไปไว้ทุกข์ ก็ย่อมเพราะคาดหวังให้เฝิงเป่าสั่นคลอน
พอคิดได้เช่นนี้ จางจวีเจิ้งก็ถือจังหวะที่บิดาจากไป ลงเดิมพันใหญ่เช่นนี้ คนที่อยู่คนละขั้วกับพวกเขาทั้งในและนอกวังเกรงว่าก็คงถูกทอดแหกวาดล้างสิ้น จากนี้ในวังนอกวังก็จะไม่มีใครกล้าขัดเขาทั้งสองคนอีกต่อไป
********
พระกระยาหารค่ำของฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไปเสวยที่ตำหนักไทเฮาฉือเซิ่งเหมือนปกติ และก็เหมือนเช่นเคย อ๋องลู่ร่วมโต๊ะเสวยด้วย
ไทเฮาทรงชอบที่จะได้เสวยพระกระยาหารร่วมกับโอรสทั้งสอง อาจเพราะได้แสดงถึงความเป็นแม่ ไทเฮาเองเสวยได้ไม่มาก เอาแต่คีบกับให้คนหนึ่ง ถามอีกคนหนึ่ง ทรงพระเกษมสำราญยิ่ง
“ฝ่าบาท วันนี้ที่ประชุมมีใครเอ่ยถึงเรื่องของท่านจางหรือไม่?”
“กราบทูลเสด็จแม่ เสนาบดีกรมอาญาเซินสือหังยืนยันให้หม่อมฉันมีราชโองการยับยั้ง เสนาบดีกรมพิธีการว่านซื่อเหอกลับกล่าวว่าการไว้ทุกข์เป็นคุณธรรมตามหลักจารีตโบราณ ไม่อาจล่วงละเมิด ท่านอื่นๆ ก็ล้วนไม่กล่าววาจาอันใด”
“หลิวเอ๋อร์ วันนี้อ่านหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง”
“กราบทูลเสด็จแม่ วันนี้หม่อมฉันอ่านเรื่อง ‘จารีต’ แต่ไม่ค่อยเข้าใจ หม่อมฉันรู้สึกตนเองช่างโง่นัก”
ไทเฮาทรงปิดพระโอษฐ์และสรวลขึ้นเบาๆ ทรงปลอบไปว่า
“หลิวเอ๋อร์ไม่ต้องใจร้อนไป เจ้าอายุเท่าไรเอง ไว้จะค่อยๆ เข้าใจได้เอง”
“เสด็จแม่ ลูกได้ยินว่า ผู้ที่มีความรู้ที่สุดในราชวงศ์หมิงเราก็คือท่านจาง ลูกขอไปเรียนกับเสด็จพี่ได้หรือไม่ ให้ท่านจางได้สอนสั่งวิชาความรู้!”
ไทเฮาฉือเซิ่งทรงแย้มสรวลและพยักหน้าอนุญาต ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังประคองชามข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย พอได้ยิน การเคลื่อนไหวก็มิได้หยุดลง มีเพียงหางตาที่กระตุกอย่างไม่ทันรู้พระองค์