Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 174

ตอนที่ 174 การโต้แย้งในการประชุมขุนนาง

“เฝิงกงกง เหล่าเจี่ย[ 1 ]เขตทางใต้หลายวันก่อนมีจดหมายมาบอกว่า ทนร้อนที่เมืองนานกิงไม่ไหวแล้ว กอปรกับอายุก็มากแล้ว อาการปวดเอวปวดขาก็กำเริบได้ทั้งวัน ดังนั้นจึงเขียนจดหมายมา ขอย้ายไปสำนักวัดหลวง”

จางเฉิงฉีกยิ้มส่งฎีกาให้เฝิงเป่าที่ห้องทำงาน สำนักวัดหลวงกับหน่วยซักล้างเป็นสองหน่วยงานพิเศษในราชสำนักฝ่ายใน สำนักวัดหลวงรับหน้าที่จัดหาเครื่องเซ่นบวงสรวงธูปเทียนและดูแลทำความสะอาด เป็นหน่วยงานที่สบายที่สุด ส่วนใหญ่เป็นที่ทำงานในวัยเกษียณของขันทีนางกำนัลในวัง หน่วยซักล้างกลับเป็นที่ๆ ลำบากที่สุด และยังไม่ได้อยู่ในวัง ขันทีนางกำนัลที่ทำผิดจะถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่

เฝิงเป่าถอนหายใจ รับฎีกามามองผ่านๆ ไปสองสามที ก็เอ่ยขึ้นว่า

“เหล่าเจี่ยไร้วาสนา เป็นหน่วยอารักขาที่แถบยูนนานกุ้ยโจวทางใต้นั้นมาหลายปี กว่าจะปราบพวกชนกลุ่มน้อยทางนั้นได้ผลงานมาบ้าง ไปประจำเมืองนานกิงไม่กี่ปี ก็ทนไม่ไหวแล้ว อนุญาตละกัน พรุ่งนี้ถวายฎีกาให้ฝ่าบาทมีราชโองการไป”

ส่งฎีกาคืนมา จางเฉิงรับมา พู่กันชาดแดงก็เขียนลงไปสองสามประโยค ก็ยิ้มกล่าวว่า

“คนที่จะไปแทนเหล่าเจี่ย เฝิงกงกงชี้แนะอย่างไร”

“เหล่าเหมยผู้ช่วยสำนักอาชาหลวง บ้านเกิดอยู่ที่เขตอิ้งเทียนแถบทางใต้ มักจะบ่นว่าอยากกลับไปเยี่ยมบ้าน รอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว ก็ให้เขาส่งมอบงาน ย้ายไปสำนักส่วนพระองค์หน่วยตรวจงานนอกพื้นที่ ไปรักษาการทัพที่นานกิงละกัน”

จางเฉิงเขียนลงในฎีกาอีกฉบับหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนี้ ผู้สำนักอาชาอาชาหลวงก็ขาดไป โจวอี้หน่วยอารักขาแห่งกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายประจำพระองค์เป็นคนรอบคอบแคล่วคล่อง เฝิงกงกงเห็นอย่างไร?”

สีหน้าเฝิงกงกงเผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม กล่าวด้วยท่าทางสบายๆ ว่า

“นี่เป็นบุตรบุญธรรมจางกงกงกระมัง อายุแค่นี้ ไม่ต้องรีบแย่งตำแหน่งกับพวกเราหรอก เหล่าเจี่ยเป็นผู้รู้การทหารที่หาได้ยาก อายุแค่ 53 จะรีบร้อนเกษียณไปทำไม กลับมาให้แทนตำแหน่งเหล่าเหมยก็แล้วกัน”

จางเฉิงสีหน้ายังคงเดิม ยิ้มบันทึกคำพูดของเฝิงเป่าลงไป 12 สำนักขันที 4 ส่วนงาน และ 8 หน่วยงานย่อย รวม 24 แผนก ผู้ที่จะได้รับคำเรียกขานว่าเป็นไท่เจี้ยนหรือมหาขันทีนั้น จางเฉิงคนเดียวก็ลำดับได้ไม่หมด

แต่รอยยิ้มบนใบหน้าจางเฉิงก็ดูเหมือนจะยิ่งมากขึ้น มองไม่ออกถึงความไม่พอใจอันใด แต่บรรยากาศในห้องก็เริ่มอึดอัด ตกอยู่ในความเงียบงัน

เงียบได้ไม่นาน จางเฉิงก็ถอนหายใจ กล่าวอย่างอึดอัดว่า

“พวกเราทำงานในวัง ตั้งแต่ร่างกายพิการมาวันนั้น ชีวิตนี้ก็มอบให้แก่ฝ่าบาทและราชสำนักฝ่ายใน ถึงตายก็ไม่ได้พัก ท่านดูพวกข้าราชสำนักฝ่ายนอก ยังลาออกตำแหน่งได้ ขอกล่าววาจาที่ฟ้าดินพิโรธสักคำ การไว้ทุกข์ยังได้กลับไปพักได้ตั้งสามปี แต่พวกเราจะไปพักที่ไหนได้”

เฝิงเป่าเอนกายพิงพนัก หรี่ตาจ้องมองจางเฉิงเบื้องหน้า ด้วยประสบการณ์และความรอบรู้ของเฝิงเป่า เขาไม่คิดว่าจางเฉิงเบื้องหน้าที่จะมีสติปัญญาและแผนการด้อยไปกว่าตน แต่กลับกล่าววาจาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมาได้ คำพูดเช่นนี้น่าจะเป็นตัวเปิดประเด็น เฝิงเป่ากำลังรออยู่

“ข่าวหลายวันนี้ คาดว่าเฝิงกงกงย่อมรู้กระจ่างแจ้ง เรื่องการไว้ทุกข์ของท่านจางเป็นที่กล่าวขานเซ็งแซ่ไปทั่ว แม้แต่ท่านจางเองก็ถวายฎีกาขอลากลับบ้านเกิดไปรักษาจารีต เรื่องทั้งในและนอกวัง ก็มีแต่เฝิงกงกงดูแลเพียงคนเดียวเป็นแน่ แต่จางไท่เยวี่ยจะกลับไปไว้ทุกข์ ภาระงานหนักของราชวงศ์หมิง มิใช้ต้องให้เฝิงกงกงต้องแบกรับเพียงผู้เดียวหรือ เรื่องราวมากมายนับแสนเรื่องไม่ขอกล่าวถึง หากต้องถูกคนระแวงอย่างไร้เหตุผลนี่สิ”

เฝิงเป่ายืดตัวขึ้น หรี่ตามองไปที่จางเฉิง สีหน้าจางเฉิงยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวสัพยอกต่อว่า

“พวกชาวบ้านตัวเล็ก บิดามารดาจากไป ก็ต้องให้ลูกหลานไว้ทุกข์ แต่ก็แค่ไม่กี่วันก็กลับไปทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพกันต่อ ความกตัญญูของจางไท่เยวี่ยรักษาในเมืองหลวงก็ได้ ตอนกลับจวนไปก็จุดธูปกราบไหว้ก็พอ ไยต้องไปไกลถึงเจียง หลิงบ้านเกิดนั่น อยู่เมืองหลวงอย่างไรก็จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพวกเรา”

จางเฉิงกล่าวอ้อมวกไปวนมา เฝิงเป่าฟังเข้าใจแล้ว สีหน้าเผยรอยยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า

“วาจานี้หากให้บรรดาขุนนางในราชสำนักได้ฟังกัน ยังไม่รู้ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากเพียงใด พวกจารีตคำสอนปราชญ์บรรพชน หลักการจารีตคุณธรรมอะไรพวกนั้น ก็ต้องลากออกมากรอกหูให้เจ้าได้ฟังเป็นแน่”

“ไปสนใจพวกขุนนางที่เรียนตำรากันมาจนสมองพิการไปทำไม เฝิงกงกง ข้าคิดว่าท่านควรจะทูลฝ่าบาทให้ยับยั้งเรื่องนี้ จะได้ไม่ต้องรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้น”

เฝิงเป่ายิ้มโบกมือกล่าวว่า

“เรื่องนี้ไว้ค่อยคิดให้รอบคอบ เจ้ากลับไปก่อน!”

จางเฉิงลุกขึ้นกล่าวอำลา เดินไปถึงแค่ประตู เฝิงเป่าก็สำทับตามมาด้านหลังว่า

“ให้บุตรบุญธรรมเจ้าคนนั้นตั้งใจทำงานให้ดี ปีหน้าหากมีตำแหน่งว่างก็ถึงเวลาของเขาแล้ว อายุยังน้อยเร่งร้อนไปไย ตอนเราอายุเท่านี้ ทุกวันยังต้องยกน้ำชาคอยรับใช้เจ้านายอยู่เลย!”

จางเฉิงรับคำด้วยความนอบน้อม ในใจกระจ่างแจ้ง สิ่งที่กล่าววันนี้ถูกต้องแล้ว

******

“หลายวันนี้เราไม่เห็นท่านจางเลย รู้สึกหวาดหวั่น ไม่สงบอย่างยิ่ง เรายังได้ยินว่าตั้งแต่ท่านจางกลับจวนไปรอรับราชโองการ เรื่องการจัดการตรวจสอบที่ดินทำนาทางใต้ก็ล่าช้า เห็นได้ว่าไม่ว่าส่วนตัวหรือส่วนรวม เราขาดท่านจางไปไม่ได้!”

การประชุมในวันที่ 8 เดือนสิบเอ็ดวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มาถึงที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อแต่เช้า บรรดาราชบัณทิตและขุนนางหกกรมและกรมงานอื่นๆ ต่างก็อยู่ที่นั่น ฮ่องเต้ตรัสพระดำรัสนี้ออกมาพร้อมกับทรงทอดถอนใจ

พอตรัสจบ ในห้องก็เงียบงันลงทันที เซินสือหังเสนาบดีกรมอาญาที่สถานะท้ายสุดในบรรดาราชบัณฑิตสำนักเสนาบดีใหญ่ก็ลุกขึ้นมาและคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที พร้อมกับร่ำไห้สรรเสริญว่า

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง ฝ่าบาททรงพระเจริญ ฝ่าบาทพระปรีชายิ่ง นี่เป็นโชควาสนาของประชาใต้หล้าโดยแท้!”

เซินสือหังแสดงท่าทีเกินเลยไปมากเช่นนี้กลับมิได้นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด ขุนนางใหญ่ในห้องประชุมสบตากัน จากนั้นก็มองไปทางเสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นอย่างไม่ได้นัดหมาย

แต่ผู้ที่ยืนขึ้นเป็นคนแรกก็คือเสนาบดีกรมพิธีการว่านซื่อเหอ ขุนนางชราลงคุกเข่าด้วยอาการสั่นเทา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“ฝ่าบาท การไว้ทุกข์เป็นจารีตหลัก ท่านจางเองก็แสดงท่าทีขอลาชัดเจน ต้องการกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญู ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ หลักจารีตคำสอนจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร หากราชโองการยับยั้งออกไป ฝ่าบาทย่อมถูกใต้หล้าติเตียน โดนตำหนิโดยไม่สมเหตุอันควร พระดำรัสเมื่อสักครู่ของพระองค์ว่าพระทัยหวาดหวั่นนั้น ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์หมิง ไม่ใช่โอรสสวรรค์ที่ใด วาจานี้เช่นมิใช่เป็นที่น่าละอายต่ออดีตฮ่องเต้หรือ บรรดาเสนาบดีในคณะเสนาบดีใหญ่ยังคงอยู่ บรรดาขุนนางหกกรมกองก็ยังคงอยู่ การปกครองประเทศในหลายวันนี้ก็ยังคงดำเนินไปได้ ใช่ว่าขาดไปผู้หนึ่งแล้วจะต้องหยุดชะงัก…”

กล่าวถึงตรงนี้ ว่านซื่อเหอก็โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้าผากเต็มไปด้วยรอยห้อโลหิต ว่านซื่อเหอกล่าวเสียงดังโหยหวนว่า

“ฝ่าบาท อย่าได้ทำลายจารีตคำสอนด้วยเหตุผลส่วนพระองค์ ทำให้จารีตคำสอนต้องสั่นคลอนเลยพะยะค่ะ!”

หากฮ่องเต้เจียจิ้งยังมีพระชนม์อยู่ ว่านซื่อเหอคงได้ถูกถอดจากตำแหน่งและสั่งจำคุกต่อหน้าที่ประชุมนี้เป็นแน่ หากว่าฮ่องเต้หลงชิ่งยังอยู่ ก็คงไม่สนใจไปเลย แล้วค่อยมาลงโทษภายหลัง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็เป็นแค่ฮ่องเต้เด็กน้อย มีแต่เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งประคองไว้ ไหนเลยจะเคยพบพานสถานการณ์เช่นนี้

เห็นเสนาบดีกรมพิธีการผมขาวโพลนโขกศีรษะห้อโลหิตเช่นนี้ ยังทักท้วงน้ำเสียงดังรันทดเช่นนี้ หลุดการควบคุมไปบ้าง พระองค์จึงทอดพระเนตรไปทางตำแหน่งที่ยืนของมหาอำมาตย์อย่างไม่ทันรู้พระองค์ ในการประชุมนี้หากเจอสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งแรกที่ฮ่องเต้ว่านลี่จะทำก็คือหันไปหาจางจวีเจิ้ง อาจารย์ของตน แต่ตำแหน่งที่ยืนของมหาอำมาตย์ยามนี้ว่างเปล่า

ฮ่องเต้น้อยว่านลี่หันหน้ากลับมา นิ่งงันไป ทรงรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมเช่นนี้ของพระองค์เองเช่นกัน ในใจรู้สึกสับสนขึ้นมาในบัดดล มองไปทางว่านซื่อเหอที่โขกศีรษะลงไปอีกที สถานการณ์เลือดตกยางออกเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งวุ่นวายพระทัย ท่านจางไม่อยู่ ผู้ที่ฮ่องเต้น้อยพึ่งพาได้ก็มีแต่เฝิงต้าปั้นแล้ว

พระองค์ผินพระพักตร์ไป ส่งสายตาไปที่เฝิงเป่าที่อยู่ข้างๆ เฝิงเป่าก็กล่าวด้วยอาการนอบน้อมสำรวมว่า

“ฝ่าบาท ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา การยับยั้งควรให้เสนาบดีกรมปกครองเป็นผู้นำทูลเกล้า จากนั้นฝ่าบาทค่อยมีราชโองการ”

ฮ่องเต้น้อยไม่สนใจว่านซื่อเหอ หันไปทางจางฮั่นเสนาบดีกรมปกครอง ตรัสว่า

“ขุนนางจาง…”

ยังไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ เสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสงบนิ่ง ถวายคำนับ คุกเข่าลงกล่าวว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าความประสงค์ของท่านจางที่จะลาไว้ทุกข์นั้นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เรื่องนี้เป็นความกตัญญูที่ฟ้าดินซาบซึ้งยิ่ง หากทรงดึงดันยับยั้งไว้ จักต้องเป็นที่ตำหนิติเตียนทั่วหล้า เพื่อฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมมิกล้าทูลเกล้าเสนอการยับยั้งนี้”

เสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นไม่ได้รุนแรงดังเช่นว่านซื่อเหอ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นกลับแน่วแน่ยิ่งนัก

ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ เริ่มทรงกริ้วแล้ว ยามที่คณะเสนาบดีใหญ่มีจางจวีเจิ้ง ไม่มีใครกล้าบังอาจเช่นนี้ แต่ยามนี้ทรงถามแค่ไม่กี่ประโยค กลับไม่มีใครเห็นด้วยเลยสักคน

ทรงกวาดสายพระเนตรไปยังขุนนางรอบๆ รองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยางแต่ไรก็ขี้ขลาดตาขาว ยามนี้เอาแต่ก้มหน้าหลบตา เสนาบดีกรมทหารจางซือเหวยไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่นั่งลงร่ำไห้กล่าวไม่หยุดว่า

“ไยต้องเป็นเช่นนี้ด้วยๆ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้สึกแปลกพระทัยอยู่บ้าง จางซือเหวยปกติก็ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดได้ด้วยตัวเอง ไยยามนี้จึงได้ไร้หนทางเช่นนี้ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่คร้านจะสนใจ ทรงลุกขึ้นยืนสีหน้าเคร่งเครียด ตรัสว่า

“เลิกประชุม!”

ผินพระพักตร์เสด็จออกไปทันที เฝิงเป่าและจางเฉิงรีบตามไป เฝิงเป่าไม่ได้หันกลับมามองสิ่งใด มีแต่จางเฉิงที่เผยรอยยิ้มหันกลับมากวาดตามองไปรอบหนึ่ง

*******

“มันช่างน่าโมโหเสียจริง ตอนท่านจางอยู่ ดำเนินนโยบายว่าอย่างไรก็อย่างนั้น แต่ไรก็ไม่เห็นขุนนางพวกนี้โต้แย้งสักคำ เราแค่บอกว่าจะยับยั้ง ตาแก่ว่านซื่อเหอนั้นก็โขกศีรษะจนเลือดตกยางออก คนอื่นๆ ก็เอาแต่เงียบ เห็นเราเป็นเด็กน้อยหรือไง?”

การแสดงออกเช่นนี้ก็คือเด็กน้อย หวังทงคิดในใจ แต่ย่อมไม่กล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ สองคนปรึกษากันอยู่นาน หวังทงก็เข้าใจแล้วว่า ว่านลี่รู้สึกถูกรังแกมาจากที่ประชุม จึงมาบ่นระบายที่นี่ แต่หวังทงจับสังเกตได้สิ่งหนึ่ง

“ฝ่าบาท เฝิงกงกงได้เตือนฝ่าบาทให้ทรงทราบว่าการทูลยับยั้งนั้นเป็นเรื่องที่เสนาบดีกรมปกครองต้องนำทูลเกล้าเช่นนั้นหรือ?”

ว่านลี่พยักหน้า หวังทงเขยิบเข้าใกล้กระซิบว่า

“ฝ่าบาท ความหมายของเฝิงกงกงก็ชัดเจนแล้ว หากมิใช่ว่าเห็นด้วยกับการยับยั้ง ย่อมไม่มีท่าทีเช่นนี้ ฝ่าบาท พระราชโองการยับยั้งนั้นต้องทรงยืนหยัดต่อไป!”

ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกเซ็ง กำทรายปาออกไป ทอดถอนพระทัยตรัสว่า

“เราขาดท่านจางไม่ได้จริงๆ แค่วันนี้ขุนนางก็เหลวไหลกันเช่นนี้แล้ว วันหน้าเรามิใช่ต้องเสียหน้าหรอกหรือ”

“ฝ่าบาทอย่าได้ร้อนพระทัยไป กระหม่อมคิดว่า ฎีกาที่พอจะมีน้ำหนักยามนี้ก็น่าจะมีมาแล้ว”

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

[ 1 ] ตามธรรมเนียมจีน จะเรียกขานคนคุ้นเคยกันและมักมีอายุมากกว่าหรือใกล้เคียงกันด้วยการเติมคำว่า เหล่า ไว้ หน้านามสกุล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version