ตอนที่ 196 ศัตรูแกร่งใช่ว่ายากจะส่งสายฟ้าฟาดหัวหน้า
เส้นทางหลวงสองข้างทางมองไป นอกจากคลองส่งน้ำที่น้ำแข็งตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว ก็เป็นที่นา ต้นไม้เตี้ยๆ และทางเล็กๆ หิมะหลายวันก่อนละลายลงไปมาก พื้นเบื้องหน้าราวกับผ้าขี้ริ้วสกปรก เหลืองๆ ขาวๆ ไปทั่ว แลดูน่าเกลียดยิ่งนัก
หวังทงกับถานปิงอยู่ด้านหลังพุ่มไม้เตี้ย ชุดสีน้ำเงินเข้มบนตัวเขาสองคนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองด้วยคราบดินเรียบร้อย พรมขนสัตว์คลุมตักยามนั่งบนร่างกายก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเช่นกัน
จากที่ไกลๆ มองมา น่าตกใจที่มองไม่เห็นผู้ใด ผลลัพท์เช่นนี้ก็ง่ายมาก ก็แค่กลิ้งไปบนพื้นดินเท่านั้น
พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ม้าที่ผูกอยู่เบื้องหลังทั้งสองกำลังยื่นปากลงเคี้ยวอาหารแข็งๆ ในถุงใบหนึ่ง หวังทงกับถานปิงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
“ขอเพียงส่งสารไปถึงที่ว่าการอำเภอเซียงเหอได้ นายอำเภอหากไม่รับสารก็ได้ถูกปลดแน่ ย่อมต้องส่งทหารมาช่วย แต่เดือนสิบสองด่านจะปิดเร็ว ดูเอาละกันว่าจะมาทันไหม”
ถานปิงมองไปบนเส้นทางที่ไม่ไกลนัก เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบกับหวังทง
หวังทงพยักหน้า หากไม่ตอบรับ พวกเขากำลังอยู่บนเส้นทางหลวงที่ห่างจากขบวนรถอยู่ราวสามลี้ เกือบจะแน่ใจแล้วว่าพวกพยัคฆ์คำรามจะมาทางนี้แน่นอน จึงได้แต่งตัวเป็นสายสืบบนหลังม้ามาซุ่มดูกันเองก่อน
แสงอาทิตย์อัสดงส่องประกาย ผืนแผ่นดินราวกับทาบทาด้วยสีเหลืองทองอีกชั้นหนึ่ง ในยามนี้เอง ทางตะวันออกของเส้นทางก็มีขบวนทัพหนึ่งปรากฏขึ้น
เรียกได้ว่าเป็นขบวนทัพจริงๆ ขบวนนี้ขี่ม้ามาไม่เหมือนกับโจรก่อนหน้านี้ มากันแค่ราว 50 แต่เรียงแถวกันได้เรียบร้อย ไม่ขี่กันกระจัดกระจาย พวกเดินเท้าวิ่งเหยาะอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าเดินหรือขี่ม้าล้วนสวมชุดบุฝ้ายหนากลางเก่ากลางใหม่สีดำหรือสีน้ำตาล ยังมีที่น่าแปลกอยู่สิ่งหนึ่งก็คือ ปิดหน้า
พวกเดินตามมาด้านหลัง ด้านนอกเป็นพวกถือดาบและโล่ ด้านในเป็นพวกถืออาวุธยาว แม้ว่าขบวนจะไม่ค่อยเรียบร้อย แต่เมื่อวิ่งเหยาะๆ มา ยังสามารถรักษารูปขบวนไว้ได้เช่นนี้ มองจากที่ไกลๆ ก็ยังพอมองออกถึงรูปขบวนเดิมอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนัก
นอกจากเสียงกีบม้าและเสียงก้าวเดินแล้ว ก็มีแต่เสียงคำสั่งของหัวหน้าคอยออกคำสั่งกำชับพวกพลเดินเท้าเท่านั้น น่าจะเป็นขบวนราว 500 นายที่เร่งเดินมา สร้างความกดดันให้ผู้คนได้ไม่น้อย
หวังทงผ่อนลมหายใจเข้าออกเฮือกหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“หากนี่เป็นพวกโจร เกรงว่าราชวงศ์หมิงเราคงได้ล่มสลายไปนานแล้วพวกเจ้าร้ายกาจมาก ไม่รู้ข้าไปทำอะไรไว้ ถึงกับเคลื่อนกำลังทหารมาเอาชีวิตข้าเช่นนี้”
พูดไปก็ถอยไป ไปถึงข้างม้า ก็ตบพรมที่นั่ง ก่อนที่สองคนจะกระโดดขึ้นหลังม้าไป สะบัดแส้ไปทีหนึ่ง ม้าก็รีบวิ่งทะยานออกไปทันที เสียงเคลื่อนไหวทางนี้ กองกำลังทางนั้นย่อมมีคนเห็น แต่ก็แค่มีคนจับตามองตามมา ไม่มีใครสนใจ ได้แต่เดินหน้ากันต่อไป
หวังทงกับถานปิงขี่ม้าตะบึงมา ความเร็วย่อมเร็วกว่าขบวนทัพศัตรูที่ต้องรักษารูปขบวนมากนัก ไม่นานก็ทิ้งพวกนั้นไว้เบื้องหลัง
พอเร่งกลับมายังขบวนรถตนได้ ทางนั้นกำลังเริ่มวุ่นวายกันอย่างตึงเครียด ที่ราบกว้างเช่นนี้ ถานกงยืนบนที่สูง มองไปไกลๆ ก็เห็นขบวนพวกนั้นได้อย่างชัดเจน
เห็นหวังทงกับถานปิงมาถึง พวกช่างตีเหล็กและพวกโรงบ้านก็ตะโกนให้รถใหญ่ที่ขวางอยู่หลีกทาง ปล่อยให้หวังทงและถานปิงขี่ม้าเข้ามา
แค่สามลี้สั้นๆ ม้าก็ใช้กำลังไปมากในการห้อทะยานมาอย่างเร็ว พอเข้ามาสู่บริเวณขบวนรถ ตัวม้าก็เต็มไปด้วยเหงื่อ พวกโรงบ้านหน้าที่เลี้ยงสัตว์รีบมาลากจูงออกไปทันที
ถานเจียงรีบรุดเข้ามา คุยกับถานปิงสองสามประโยคแล้วก็หันไปทางหวังทงกล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน ตอนนี้พวกเราขี่ม้าตัดทุ่งออกไป ม้าเร็วเร่งไปก็จะอ้อมตัดหน้าขบวนม้านั่นได้ ไปถึงกองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินได้ ก็ปลอดภัยแล้ว”
หวังทงหันไปมองพวกคนแก่และเด็กในขบวน คนพวกนี้ขี่ม้าเป็นไม่ถึงห้าสิบคน คนใกล้ชิดตน เด็กๆ จากลานฝึกยังมีเงินทองที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากก็ล้วนไม่อาจนำไปด้วยได้ หากตนเองหนีไปเช่นนี้ คนเหล่านี้จะทำเช่นไร
ข้อเสนอของถานเจียง หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“หากข้าหนีไปเช่นนี้ วันหน้าจะมีผู้ใดยอมภักดีข้า?”
เงียบไปครู่หนึ่ง คำถามของหวังทงขัดคำเตือนของถานเจียงขึ้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรต่างจากกองทัพอื่นในราชวงศ์หมิง ฝีมือยิงธนูของเจ้ากับบรรดาพี่น้องเจ้าจัดว่าเป็นอย่างไรในกองทัพ?”
คำถามนี้ของหวังทง ถานเจียงแม้ว่าแปลกใจ แต่สีหน้าก็ยังคงเผยความภาคภูมิใจในตนเอง กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“กล่าวกับใต้เท้าตามตรง ในร้อยคนไม่มีผู้ใดเทียบได้”
หวังทงพยักหน้า ไม่รอให้เขาพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงถานกงด้านบนตะโกนลงมาเสียงดังว่า
“มาแล้ว ทุกทิศเตรียมรับมือ พวกมีอาวุธเตรียมจับตาให้ดี”
ตอนที่หวังทงไปลอบดูศัตรูนั้น พวกถานเจียงก็จัดการเตรียมตั้งรับที่นี่ไว้แล้ว พวกโรงบ้านแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ล้วนถือธนูรอรับคำสั่ง พวกคนงานและเด็กๆ ก็หยิบจับอาวุธสั้นยาวแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ รักษาการณ์ในแต่ละทิศ
ซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงและองครักษ์เสื้อแพรกับพวกคนงานช่างตีเหล็กอยู่ร่วมกันคุ้มกันสตรีและเด็กอ่อนแอที่กำลังหวาดกลัว
พระอาทิตย์อยู่ที่ขอบฟ้า มองแล้วดวงใหญ่ขึ้นมาก กองทัพศัตรูเร่งมาถึงเบื้องหน้ากองขบวนรถแล้ว เหมือนจะห่างกันเพียงร้อยก้าวเท่านั้น
พวกขี่ม้าหยุดลงก่อน พวกเดินเท้าก็เริ่มกระจายตัวออก ไม่นาน ก็กระจายเป็นกองทัพห้ากองๆ ละ 100 นาย การเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้คนในขบวนของหวังทงรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น
“หากไม่รู้ ยังคิดว่ากองกำลังจากเทียนจินเสียอีก เห็นการจัดทัพแล้วก็น่าจะเคยออกรบมาก่อน”
ถานเจียงกล่าวอย่างเคร่งเครียด
*******
วิ่งกันมาได้ระยะหนึ่งก็ย่อมต้องการเวลาพักหายใจและพักผ่อนกันบ้าง นอกจากพวกขี่ม้าแล้ว พวกเดินเท้าอีกสี่กองก็แยกกันไปในทิศทางของตน
ถูกกองกำลังลักษณะนี้ประชิดแต่ไม่รีบร้อนโจมตี กลับจัดทัพอยู่ตรงนั้นจัดการจัดระเบียบกันชั่วครู่แทน
การตั้งทัพป้องกันเป็นวงกลมของขบวนรถนี้ดูแล้วแน่นหนา แต่ก็ป้องกันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น กองทัพสี่ร้อยหากบุกพร้อมกัน การป้องกันด้านในก็ย่อมไม่อาจต้านทานได้ กำลังเล็กๆ ไร้การสนับสนุนเช่นนี้ หากตีแตกจุดหนึ่ง การป้องกันทั้งหมดก็จะแตกสลายลงทันที
กำลังจัดทัพให้คนขี่ม้าออกเผชิญกับโจรเบื้องหน้า เคลื่อนย้ายรถใหญ่ที่ปิดทางเข้าออกออก พลขี่ม้า 20 กว่าคนก็ยกพลออกมา
พวกทัพม้าเบื้องหน้าที่สงบนิ่งอยู่เริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย สี่ด้านโอบเข้าโจมตี กำลังมากโจมตีกำลังน้อย พวกขี่ม้าพวกนี้ก็เพียงแค่เอาไว้สำหรับไล่ล่าโจมตีและกันคนหนีเท่านั้น
แต่แม้ว่าเป็นเช่นนี้ พวกนั้นมีจำนวนคนมากกว่าพลขี่ม้าของพวกหวังทง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับกรูกันเข้าถล่มกันอย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีเช่นนี้ได้
หรือคิดว่าคนด้านนอกอยากจะหนีกัน แต่ดูท่าแล้วไม่เหมือน หรือว่ารนหาที่ พวกขี่ม้าพวกนั้นมีคนตะโกนดังขึ้น พวกขี่ม้าที่หยุดกันไม่นานก็รีบเคลื่อนไหวทันที เสียงร้องตะโกนสั่งม้าให้ออกรบ
หวังทงถือโล่ใหญ่บังไว้ด้านหน้า มือข้างหนึ่งถือโล่บังและยังกุมบังเหียนม้าไว้ การเคลื่อนไหวติดขัด แต่ก็ยังไปอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน คนของถานเจียงทุกคนก็ขี่ม้าตามออกมา คนโรงบ้านสองสามคนที่ยิงธนูแม่นที่สุด หม่าซานเปียวและซุนต้าไห่กับพวกคนงานล้วนอยู่ในขบวนม้า
ตอนนี้การควบคุมขบวนรถอยู่ในความดูแลของซุนซิงกับลี่เทา หากไม่ใช่เพราะมีหลี่หู่โถวและนางหม่าอยู่ในนั้น เกรงว่าหลายคนคงคิดว่าเขาจะหนีแล้ว
หวังทงแทรกตัวไปอยู่หน้าสุด คนบนหลังม้า 20 กว่าคนเคลื่อนตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม อีกฝ่ายก็ตั้งรับได้มียุทธวิธีเช่นกัน พวกทหารม้าสองปีกโอบล้อมเข้ามา
ระยะห่างร้อยกว่าก้าว สองฝ่ายเดินก้าวออกมาได้หลายสิบก้าว พลทหารม้าด้านหน้าคนหนึ่งก็ตะโกนยกหอกยาว มุ่งมาแทงหวังทง
เสียงแหวกอากาศ ‘ฉึก’ ดังขึ้น ลูกธนูคมดอกหนึ่งยิงออกมาจากด้านข้างของหวังทง ทะลุกลางอกคนผู้นั้น คนผู้นั้นร่วงหล่นลงจากหลังม้าไปทันที
หวังทงกระแทกขาใส่สีข้างม้าเพิ่มความเร็ว พวกที่ออกมาขวางหน้าเขาทุกคนถูกพลธนูด้านหลังยิ่งร่วงไปไม่เหลือสักคน คนยิงธนูพวกนี้ถึงกับไม่สนใจตนเอง ตั้งใจเพียงแค่ยิงเพื่อปกป้องหวังทงไว้เท่านั้น
พวกขี่ม้าพวกนั้นสิบกว่าคนก็ถูกยิงร่วงไป คนที่เหลือก็รู้ว่าไม่ควรขวางทางหวังทง เบื้องหน้าหวังทงมีแต่คนออกคำสั่งและคนด้านหลังสิบกว่าที่คอยอารักขาหวังทงเท่านั้น
หวังทงโยนโล่ทิ้ง หยิบปืนไฟขึ้นมาจุดเชือกชนวน จากนั้นก็ฉีกก้อนกระดาษที่อุดปากกระบอกออก ตั้งลำปืนเล็งไป ปากกระบอกยกขึ้นเล็ง
แสงอาทิตย์อัสดงด้านหลังหวังทงส่องประกาย คนฝ่ายตรงข้ามมองไม่ชัดว่าในมือหวังทงคือสิ่งใด จึงได้แต่ยกไม้กระบองในมือขึ้นกัน แม้ว่าอีกฝ่ายปิดหน้า แต่หวังทงก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังของคนออกคำสั่งได้อย่างชัดเจน แม้แต่น้ำเสียงดูถูกก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“เจ้าลูกกระต่ายที่ขนยังไม่ขึ้นเต็มพวกนี้ ยังลอกเลียนแบบวิธีโจมตีผู้อื่น ใครจัดการพวกมันได้ เงินทองทางนั้นข้าจะให้เพิ่มอีก 200 ตำลึง”
พวกโจรพากันหัวเราะดังสนั่น มีคนผู้หนึ่งดึงทวนยาวออกมาจากอานม้า กระตุกม้าเข้ามา หวังทงมาถึงระยะห่างจากพวกมันไม่ถึง 20 ก้าว ก็รีบหยุดและกระตุกจับบังเหียนม้าแน่น ทุกคนพากันตะลึงมอง
หวังทงวางแขนราบลง หรี่ตาเล็งไปยังคนออกคำสั่งตรงกลาง เหนี่ยวไกปืน เชือกจุดไฟเผาถึงปลายรังเพลิงแล้ว เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น
ระยะห่างเท่านี้ ปืนสั้นก็เล็งได้แม่นยำ เสียงดังลั่นสนั่นทั่วฟ้า ควันลอยขึ้น คนตรงกลางผู้นั้นกุมหน้าอกแน่น ปากอ้าเพยิบพยาบร้องได้คำหนึ่ง ก็เอนร่วงลงจากหลังม้า
“ใต้เท้าจาง!!”
ไม่ว่าม้าของหวังทงหรือฝ่ายตรงข้าม ต่างไม่เคยชินกับเสียงดังสนั่นของปืนไฟเช่นนี้ สองฝ่ายต่างต้องใช้แรงกำลังอย่างสุดความสามารถในการบังคับม้าให้นิ่ง คนที่ขี่ม้ารับคำสั่งมาพอเห็นคนผู้นั้นล้มลง ก็ตะโกนคำรามดัง รีบห้อม้ายกทวนพุ่งมาหาหวังทง กระชากบังเหียนทะยานเข้ามาทันที
หวังทงเอื้อมมือไปคว้าปืนอีกกระบอกด้านข้างออกมา ตั้งลำกระบอกปืนให้ตรง ดึงม้าให้นิ่ง พอม้านิ่งหวังทงก็หันไป ทวนยาวคนผู้นั้นห่างจากหวังทงไม่ถึง 10 ก้าว
หวังทงรีบร้อนเล็ง เหนี่ยวไกปืนพร้อม
เสียงดังสนั่นขึ้น ชายฉกรรจ์บนหลังม้าผู้นั้นก็ผงะหงายหลังทันที หอกยาวร่วงลงพื้น คนอื่นในกองที่เหลืออยู่ไม่เคลื่อนไหวใด ไม่รู้ว่าควรช่วยคนโดนยิงหรือรุกโจมตีดี หวังทงหอบหายใจหลายเฮือก ก่อนจะยกสองมือป้องปาก ตะโกนเสียงดังอย่างร้ายกาจว่า
“ใต้เท้าจางตายแล้ว ใต้เท้าจางตายแล้ว ทุกคนรีบถอยทัพ!!”
เขาตะโกนเช่นนี้ คนทุกคนในทัพก็พากันตะโกนขึ้นมาด้วยว่า “ใต้เท้าจางตายแล้ว!” “รีบถอยทัพ!!”