Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 219

ตอนที่ 219 สำนักอาชาหลวง บ้านหวังทง

12 สำนักขันทีในราชสำนักฝ่ายใน หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์กุมอำนาจหลัก เป็นหัวหน้าทุกสำนักขันที แต่สำนักอาชาหลวงภายใต้การแอบให้การสนับสนุนจากราชวงศ์ก็มีสถานะไม่ด้อยไปกว่าสำนักส่วนพระองค์

ในมือของสำนักอาชาหลวงมีกองกำลัง และกองกำลังนี้ยังเป็นกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็งที่สุดในพระราชวังต้องห้ามและเมืองหลวง เป็นด่านอารักขาสุดท้ายของวังหลวงและเมืองหลวง สำนักอาชาหลวงมีทั้งเงินทองและอำนาจ ไม่ว่าเบี้ยหวัดเสบียงหรืออาวุธค่าใช้จ่ายล้วนแต่เบิกจ่ายด้วยตนเอง และยังได้สิทธิเก็บภาษีผลประโยชน์แทนราชวงศ์อีกด้วย

มีทั้งกองกำลังและเงินในมือก็ย่อมมีสิทธิ์มีเสียงดัง ขันทีสำนักอาชาหลวงจึงไม่เป็นรองขันทีสำนักส่วนพระองค์แม้แต่น้อย

และเพื่อคานอำนาจ หัวหน้าสำนักขันทีส่วนพระองค์และหัวหน้าสำนักอาชาหลวงก็ย่อมไม่ให้มาจากสายเดียวกัน และเพราะสำนักอาชาหลวงกุมอำนาจการทหาร ดังนั้นหัวหน้าสำนักขันที รองหัวหน้าและผู้ช่วยทั้งสามคนในสำนักอาชาหลวงก็ย่อมไม่ให้มาจากสายอิทธิพลเดียวกัน

เช่นนี้เริ่มจากหลังจากขันทีจางจิงจากจวนอ๋องอวี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนัก รองหัวหน้าและผู้ช่วยก็ไม่ยอมให้ใช้คนเก่าแก่ในสำนักบูรพามาโดยตลอด

ขันทีหวงหยาง รองหัวหน้าสำนักอาชาหลวงไปสอนที่ลานฝึกหู่เวย ตำแหน่งก็ว่างลง จางเฉิงเสนอให้โจวอี้ไปนั่งแทน เพราะว่าจางเฉิงกับจางจิงล้วนเป็นคนเก่าแก่ในจวนอ๋องอวี้ ทำงานด้วยกันมานานหลายปีด้วยดี ดังนั้นบุตรบุญธรรมจางเฉิงจึงไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ กลับเป็นหลินซูลู่ที่เป็นขันทีข้างกายอ๋องลู่ที่ค่อนข้างห่างเหินกับจางเฉิงไปรับตำแหน่งแทน

ผู้ช่วยสำนักอาชาหลวงทำหน้าที่ฝึกม้ารบ ดูแลกิจการในกอง และยังรับหน้าที่จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ส่วนการจัดหาเสบียงและดูแลเรื่องที่ทำผิดกฏต่างๆ กลับเป็นรองหัวหน้าสำนักอาชาหลวงดูแล

ขันทีหลินซูลู่ ขันทีติดตามอ๋องลู่ขึ้นรับตำแหน่งนี้ ไม่มีผู้ใครกล้ากล่าวอันใดเพราะหลินซูลู่เองก็มีคุณสมบัติ แต่เพราะต้องการรับใช้อ๋องลู่จึงได้ปฏิเสธโอกาสเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์มาหลายครั้ง ไปรับหน้าที่ที่สำนักอาชาหลวงก็เป็นสิ่งที่ควรอยู่

หลินซูลู่ผู้นี้ทำการระมัดระวังรอบคอบยิ่ง ไปประจำที่สำนักอาชาหลวงก็ย่อมมีอำนาจแท้จริง หากไม่เห็นวางท่าใหญ่โต ยังคงปฏิบัติงานอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

แม้ว่ามองคนผู้นี้แล้วจะรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกไม่ถูกชะตา แต่ก็หาข้อตำหนิใดไม่ได้ นับประสาอะไรกับหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อย่างเฝิงเป่ากงกงที่รู้ว่าสำนักอาชาหลวงนี้ตนไม่อาจยื่นมือไปคว้าไว้ได้ ก็เลยไม่สนใจ เฝิงกงกงไม่สนใจ ทุกคนก็ได้แต่ยอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

หลินซูลู่ยังพาคนสนิทกลุ่มหนึ่งมาทำงานที่สำนักอาชาหลวงด้วยกัน คนเหล่านี้ก็ล้วนทำงานอย่างรอบคอบระแวดระวังมาก ล้วนขยันขันแข็งหมั่นเรียนรู้ ไม่เรียกเงินหาเรื่องอะไรพวกนั้น

วันที่ 29 เดือนสิบสองวันนี้ สำนักส่วนพระองค์และสำนักอาชาหลวงส่วนใหญ่ก็จะพักกัน ทิ้งสองสามคนไว้จัดการงานประจำวันเท่านั้น แต่หลินซูลู่ทางนี้กลับมิได้กลับไปพัก

“หลินกงกง บัญชีกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายเหมือนไม่ถูกต้อง ทางเราให้ 1 หมื่น 1 พันตำลึงไปซื้อม้า 300 ตัวและอุปกรณ์สำหรับม้าศึก แต่ตามคำสั่งกงกง พวกข้าน้อยวันก่อนไปที่กองแต่ละกองตรวจนับอุปกรณ์ม้าศึก กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายกลับมีม้าเพิ่มจากปีที่แล้วแค่ 30 ตัว บัญชีลงไว้เช่นนี้ แต่เงินกับข้าวของไม่ตรงกัน”

ในห้องใช้ถ่านละเอียดชั้นดี เผาในเตาทำจากเงินและโลหะ ทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก หลินซูลู่น่งอยู่ที่นั่งเหมือนว่าถูกความร้อนรมจนใกล้จะหลับ แต่พอได้ยินรายงาน ก็รีบลืมตาขึ้น ถามด้วยรอยยิ้มบางว่า

“แน่ใจหรือ?”

“เรียนกงกง แน่นอนขอรับ นายกองโจวอี้เดือนเก้ามาเบิกเงิน 1 หมื่น 1 พันตำลึงจากคลังเราไป และยังเขียนใบรับเงินกลับมามอบให้ด้วย ม้าที่กองกำลังนั่นนับแล้วก็ 1,260 ตัว มากกว่าปีที่แล้วตอนหวงกงกงอยู่แค่ 30 ตัว”

หลินซูลู่ส่ายหน้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า

“นับแล้วก็เกือบ 1 หมื่นตำลึงเงิน เจ้าเด็กนี่ทำงานในสำนักขันทีส่วนในมานาน พอได้มาที่สำนักอาชาหลวงก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้”

ขันทีสองสามคนที่ตรวจสอบบัญชีพอได้ยินคำวิจารณ์ของหลินซูลู่ก็ไม่กล้าออกเสียง ก้มหน้าก้มตาทิ้งมือข้างกายยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น หลินซูลู่เลิกคิ้วสูง ยิ้มกล่าวว่า

“เราได้ยินเสียงจุดประทัดนอกวัง นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้วไม่ใช่หรือ พวกเจ้าเดือนสิบสองยังยุ่งกันไม่หยุด ก็ควรพักกันได้แล้ว ทุกคนรับอั่งเปาไปคนละ 100 ตำลึง เดี๋ยวออกไปก็จะมีคนมอบให้”

“ขอบคุณหลินกงกง นี่เป็นสิ่งที่พวกข้าน้อยควรทำ”

หลินซูลู่ยิ้มพยักหน้ารับ และยังกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“พวกเจ้าก็มาฉลองปีใหม่ด้วยกันละกัน ไม่แน่ว่ายังมีเรื่องด่วนต้องเรียกใช้พวกเจ้า!”

กล่าวจบก็โบกมือเบาๆ ขันทีสองสามคนก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม พอทุกคนออกไป ก็มีขันทีสวมชุดดำสองคนเข้ามา ขันทีหลินซูลู่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“ประตูหน้าต่างห้องนี้ปิดกระดาษผนึกให้หมด จัดคนผลัดกันเฝ้าเวรยามตลอด 12 ชั่วยาม เมื่อครู่บัญชีที่ตรวจพบก็เฝ้าไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งข้า พวกเจ้าห้ามนำไปบอกผู้ใด ห้ามออกจากที่นี่”

ขันทีสองคนน้อมกายลงรับคำสั่ง หลินซูลู่ยิ้มบางๆ เดินออกไป ขันทีชุดเขียวครามผู้หนึ่งรีบถือเสื้อคลุมขนห่านวิ่งตามไปสวมให้หลินซูลู่และผูกเอวให้แน่น รีบกล่าวเอาใจว่า

“หลินกงกง ปีใหม่เช่นนี้ท่านยังตรากตรำงานหนัก ขอท่านระวังสุขภาพด้วย!”

หลินซูลู่ตบท้ายทอยหยอกขันทีน้อยไปทีหนึ่ง ยิ้มด่าว่า

“เจ้าลูกกระต่าย เจ้าอีกแล้ว ข้าให้เจ้าไปซื้อของเล่นที่ตรอกม้าหิน ซื้อมาครบไหม?”

“คำสั่งของหลินกงกง ข้าน้อยจะลืมได้อย่างไร ของส่งไปที่พักท่านแล้ว ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว อ๋องลู่เห็นแล้วย่อมชอบมากแน่นอน”

ขันทีน้อยผู้นั้นฝีปากดี หลินซูลู่โยนทองให้ก้อนหนึ่ง ขันทีผู้นี้ขอบคุณอย่างดีใจก่อนจะรับไป

นอกวังมีเสียงประทัดดังแล้ว สีหน้าผู้คนในวังก็เต็มไปด้วยความสุขสันต์ อย่างไรก็ใกล้ปีใหม่แล้ว

หลายวันนี้คนที่ตายในวังทุกคนไม่อาจเก็บศพไว้ได้ ต้องรีบนำไปเผาและฝังนอกวัง เพื่อไม่ให้กลิ่นไอความตายกระทบกับไอสูงศักดิ์ในวังหลวง เจี่ยงจงกาวก็จากอย่างไร้สำเนียงเช่นนี้เอง

*********

“พี่หลี่ว์ สำนักรักษาความสงบกับศาลซุ่นเทียนงานยุ่งขนาดนี้ ยังเร่งมาฉลองปีใหม่ที่นี่ ไยท่านจึงต้องมาถึงที่นี่กัน!”

บ่ายวันที่ 29 เดือนสิบสอง ขุนนางที่ระยะนี้เป็นที่ทรงอำนาจที่สุดในเมืองหลวงอย่างหลี่ว์วั่นไฉยังมาที่เทียนจิน มาคารวะหวังทงด้วยตนเอง

ได้พบกันคนกันเอง หวังทงก็ย่อมดีใจ แต่ยุคนี้การฉลองปีใหม่นั้นใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด หลี่ว์วั่นไฉเร่งมาที่นี่ หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใด

พอถามออกไป หลี่ว์วั่นไฉก็ตอบอย่างไม่สนใจนักว่า

“ฉลองกับครอบครัวมาหลายสิบปี ออกมาครั้งนี้ให้พวกเขาอยู่บ้านก็แปลกใหม่ดี น้องเราออกมาทำงานข้างนอกเช่นนี้ พี่ชายก็ต้องตามมาฉลองปีใหม่ด้วยถึงจะถูก”

หวังทงยิ้มพลางส่ายหน้า รีบเชิญเข้าไปในห้อง ด้านในรีบเก็บกวาดให้เป็นห้องรับแขกเล็กๆ ก็ไม่ยาก สองคนนั่งลง หลี่ว์วั่นไฉเอ่ยขึ้นว่า

“มาครั้งนี้ จางกงกงกับโจวกงกงทางนั้นกำชับมา และยังมีของมอบให้ด้วย ก็เป็นพวกของกินของเล่นในเมืองหลวง เอาไว้ค่อยแบ่งให้คนของเจ้า จะได้ไม่ต้องฉลองปีใหม่เงียบเหงากันอยู่นอกเมืองหลวงกัน”

พวกคนมีเงินในเทียนจินนี้ฉลองปีใหม่ก็แค่ซื้อสุราซื้อเนื้อหมูปลากุ้ง หวังทงที่นี่มีครบทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ อาหารทะเลล้ำค่า และยังเป็นครอบครัวใหญ่เช่นนี้ จะเงียบเหงาได้อย่างไร แต่อีกฝ่ายก็หวังดี จึงได้แต่ยิ้มกล่าวขอบคุณ

หวังทงจากเมืองหลวงมาไม่ถึงหนึ่งเดือน ทุกอย่างยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ส่วนใหญ่ยังอยู่บนเส้นทางที่คาดการณ์ไว้ การล่มสลายของจวนอันผิงโหวทำให้หวังทงรู้สถานะตนในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ได้อย่างชัดเจน หลี่ว์วั่นไฉอดถามถึงรายละเอียดที่ต้องต่อสู้กับโจรอยู่หลายวันนั้นไม่ได้ จากนั้นก็พลอยถอนหายใจอย่างตกใจตามไปอยู่หลายครา

สองฝ่ายต่างรู้ว่าไม่เพียงแค่มาฉลองปีใหม่ร่วมกัน หรือมาสอบถามสารทุกข์สุกดิบกัน หลี่ว์วั่นไฉไม่จำเป็นต้องมาถึงเทียนจินด้วยตนเองในช่วงปีใหม่เช่นนี้ ในยุคนี้ระหว่างปักกิ่งกับเทียนจินไม่ได้มีรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟหัวกระสุนพวกนั้น

“สำนักรักษาความสงบพอเป็นรูปร่างแล้ว แต่มีเรื่องยากบางอย่าง อยากได้ข่าวเยอะ ก็ต้องใช้คนเยอะ แต่ทุกอย่างอยู่ในระบบทางการ แต่ละอย่างก็ไม่ได้รับอนุญาต พอคนมาก หลายคนก็แอบรับเงินสร้างข่าวเท็จขึ้น หลายวันนี้เริ่มมีให้เห็น จางกงกงกับโจวกงกงทางนั้นไม่พอใจมาก มักจะให้นายกองร้อยเซวียส่งคนไปตรวจสอบอีกรอบ นี่ไม่ใช่ว่ากลายเป็นการทำงานของสำนักบูรพาไปแล้วหรือ สำนักรักษาความสงบใช่ว่าไร้ความหมายหรือ?”

พร่ำบ่นไปหลายประโยค หลี่ว์วั่นไฉก็ถามสิ่งที่สงสัยออกมา หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก็ให้คำตอบว่า

“ข่าวจากสำนักรักษาความสงบขึ้นอยู่กับการรวมรวม ไม่ใช่สอบถาม คนทำงานก็เข้าไปรับฟังตามท้องถนนในเมืองให้มากหน่อย ไม่ใช่ไปถาม เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเข้าแต่งเรื่องขึ้น ยังต้องตั้งกลุ่มคนอีกชุดขึ้นมา คนกลุ่มนี้ก็จะสุ่มตรวจข่าวที่ได้มาอีกครั้ง เพื่อป้องกันการแต่งเรื่องไม่มีมูลขึ้น จากนั้นก็ต้องมีระเบียบปฏิบัติว่า พวกแต่งเรื่องไม่มีมูลต้องถูกลงโทษหนัก หากข่าวแม่นยำและมีประโยชน์ ก็ต้องมีรางวัล ระเบียบปฏิบัติเหล่านี้ก็ต้องตั้งกลุ่มคนขึ้นมาดำเนินการ”

กล่าวว่ามาอวยพรปีใหม่ถึงที่นี่ก็เพื่อร่วมฉลองปีใหม่กันให้ครึกครื้น สองสามประโยคก็พูดถึงประเด็นหลัก หลี่ว์วั่นไฉรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่ที่หวังทงว่ามาก็มีเหตุผล เขาจึงตั้งอกตั้งใจฟังอย่างมาก

“กลุ่มหนึ่งทำงาน กลุ่มหนึ่งตรวจสอบ ปูนบำเหน็จลงทัณฑ์ก็อีกกลุ่ม สามกลุ่มไม่ให้อยู่ในมือพี่หลี่ว์คนเดียวจะทำให้เกิดจุดอ่อนได้ง่าย และอาจทำให้ผู้อื่นไม่ไว้ใจ มิสู้ให้โจวกงกงกับนายกองร้อยเซวียทางนั้นรับไปดูแลกลุ่มหนึ่ง ให้เราดูแล้วทำงานเปิดเผย ไม่เกิดเรื่องง่ายๆ”

หลี่ว์วั่นไฉยังคงถือพัดจีบราวกับเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวแม้จะอยู่ในช่วงอากาศหนาวเช่นนี้ ตบพัดใส่ฝ่ามือตนเองอย่างแรง พยักหน้ากล่าวว่า

“ที่น้องหวังกล่าวมานี้ ทำให้พี่ชายเช่นข้าได้กระจ่างแจ้ง ก็คงต้องทำเช่นนี้ จึงจะสามารถปฏิบัติงานได้ชัดเจน ควบคุมการทำงานกันและกันก็จะเป็นระบบคานอำนาจ”

กิจการในบริษัทสมัยชาติก่อนหวังทง การเงินและการตรวจสอบหรือแผนกอื่นๆ ต่างก็เป็นรูปแบบที่เรียกว่าสามารถตรวจสอบกันและกันได้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นพัฒนาการขั้นสูงของมนุษยชาติหลายร้อยปีก่อน เอามาใช้กับโลกเก่านี้ก็ทำให้เห็นเป็นของใหม่ หวังทงกล่าวเสียงเรียบว่า

“คนจดบันทึกข่าวพวกนั้นต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ หากมีครอบครัวรับประกัน ก็จ่ายเงินจ้างมากหน่อยได้ รายงานเบื้องบนล้วนอาศัยพวกเขาจดบันทึกเป็นตัวกลาง ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดจะพลาดไม่ได้ คนวิเคราะห์ข่าวสารยอมขาดคนดีกว่า อย่างไรก็ต้องใช้ผู้ที่มีสถานะขุนนาง และเป็นคนกันเองที่เราไว้ใจได้”

หวังทงลุกขึ้นเดินไปสองสามก้าวก็กล่าวเรียบๆ ต่อว่า

“อย่าได้คิดว่าสำนักรักษาความสงบเป็นหน่วยงานของเรา ต้องจับไว้ในมือให้มั่น นี่เป็นของฝ่าบาท เป็นของราชวงศ์ หมิงเรา อย่าได้คิดครอบครองไว้เอง ไม่เช่นนี้พวกหูตาไวก็คงได้กลิ่นกันไว เช่นนี้ก็เป็นเส้นทางแห่งความตายแล้ว”

หลี่ว์วั่นไฉลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้านอบน้อม ราวกับขุนนางผู้น้อยรับคำขุนนางผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ หวังทงกำลังจะกล่าวต่อ อยู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียประทัดดังขึ้น ทุกอย่างจัดการเข้าที่แล้ว ก็ออกไปฉลองปีใหม่กันได้แล้ว ….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version