ตอนที่ 230 ความร้อนแรงที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ
วันที่ 20 เดือนหนึ่ง พอบรรยากาศฉลองปีใหม่จางหายไป ความเหน็ดเหนื่อยก็เริ่มคืนมา ทุกอย่างก้าวเดินไปตามแบบเดิม
แต่ที่คณะเสนาบดีใหญ่ที่เป็นที่ประชุมทุกวันกลับเงียบเป็นพิเศษ คนในเมืองหลวงที่พอมีสถานะอยู่บ้างล้วนรู้ว่ามหาอำมาตย์จางจวีเจ้งแม้ว่าทำงานเพื่อบ้านเมืองหนักมาก แต่เรื่องสุรานารีก็เป็นสิ่งที่โปรดปราน ในเดือนหนึ่งแต่ไรมาก็เป็นเดือนที่เขาจะสำราญได้อย่างที่สุด แต่เมื่อปีก่อนบิดาใต้เท้าจางจากไป ลูกหลานต้องไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญู ต้องเคร่งครัดสักหน่อย แม้แต่สุราเนื้อสัตว์ก็ไม่อาจแตะต้อง อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนารีเลย
ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 16 เดือนหนึ่งหลังจากเข้าประชุมท้องพระโรงแล้ว จางจวีเจิ้งก็เอาแต่ก้มหน้า อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก
ปีก่อนสืบได้ว่ามีที่นาแอบซ่อนไว้จำนวนมาก ภาษีในท้องพระคลังก็เก็บได้มหาศาล ขุนนางกรมอากรแต่ละหน่วยงานจากระดับล่างถึงระดับบน ตั้งแต่เดือนสิบสองปีก่อนถึงตอนนี้ รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่เคยจางหายไป
ทนความยากลำบากผ่านมาเกือบสามสิบปีมาได้แล้ว ปีก่อนท้องพระคลังก็เริ่มเห็นเงินเหลือติดท้องพระคลังแล้ว ปีนี้ก็หวังว่าจะเต็มท้องพระคลังได้
รอบด้านล้วนเป็นพวกก่อความไม่สงบกลุ่มเล็กๆ แต่ละมณฑลก็รวมรวมกองกำลังไปจัดการปราบลงได้ และยังไร้เภทภัยธรรมชาติ เรื่องที่ต้องจ่ายไม่มาก คิดแล้วปีหน้านี้ก็คงได้สบายกันไม่น้อย
มิน่าเหล่าขุนนางกรมอากรจึงได้ดีใจกันเช่นนี้ เมื่อก่อนทุกปีตั้งแต่ระดับเสนาบดีลงมาถึงระดับล่างต้องคิดกันหัวแทบระเบิดเพราะพื้นที่ต่างๆ และกองทัพพร้อมทั้งในวังต้องการใช้เงิน ตอนนี้ก็เริ่มไม่ต้องละ จะไม่สบายใจกันได้อย่างไร
เงินทองมากมาย แต่ละหน่วยงานก็พลอยสบายไปด้วย ทุกคนจึงอารมณ์ดีไม่เลว แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจแสดงอาการนี้ออกทางสีหน้าได้ เพราะมหาอำมาตย์อารมร์ไม่ดีนัก
มหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่และเสนาบดีกรมทหารอย่างจางซื่อเหวยได้รับความเชื่อใจจากจางจวีเจิ้งอย่างมาก เขาเองก็ทำงานขยันขันแข็ง เรื่องที่จางจวีเจิ้งสั่งการมา ไม่เกินข้ามคืนเขาก็จัดการได้เรียบร้อยหมดจด คนมีความสามารถมาก แต่ไรก็ทำงานได้รอบคอบ สถานะอำนาจบารมีก็ยิ่งใหญ่ราวกับเรือลอยขึ้นตามกระแสน้ำขึ้น
ตอนนี้ตามตำแหน่งแล้วจางซื่อเหวยอยู่หลังเพียงแค่มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง รองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยาง และมหาบัณฑิตหม่าจื้อเฉียงเท่านั้น แต่อำนาจที่แท้จริงกลับเป็นอันดับสอง
เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อสองเดือนกว่าที่ผ่านมา ใต้หล้าล้วนทอดถอนใจ ผู้มากสามารถมักได้มา ควรรู้กันว่าตำแหน่งอันดับสองนี่เดิมมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งได้มอบให้กับเสนาบดีกรมขุนนางจางฮั่น คิดไม่ถึงว่าจางฮั่นกลับมองสถานการณ์พลาดไปเอง
แต่เช้าตรู่ ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่และเสนาบดีหกกรมพร้อมทั้งบรรดาขุนนางคนสำคัญก็จะทยอยมาถึงหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อแห่งนี้ พอเข้ามาก็พยักหน้าทักทายกัน จากนั้นก็นั่งกันเรียบร้อย รอการมาของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง
แต่ไรมาก็ยิ้มแย้มกันดี จางซื่อเหวยที่เคยยิ้มแย้มทักทายทุกคน แต่ครั้งนี้เข้ามาในห้องก็มีท่าทีระแวดระวัง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
พอเห็นท่าทางจางซื่อเหวยเช่นนั้น ขุนนางที่ระแวงมากก็รู้สึกใจเต้นโครมคราม ในใจคิดว่าอย่าได้เกิดเรื่องใหญ่อันใดเลย จางซื่อเหวยเป็นคนสนิทของใต้เท้าจางเชียวนะ!
ไม่นานนัก มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งก็มาถึง บรรดาคนในห้องต่างพากันยืนขึ้นก้มกายคำนับทักทาย จางจวีเจิ้งพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอนั่งลงก็เริ่มเปิดฎีกาออกอ่าน
ใต้เท้าอารมณ์ไม่ดี หากทุกคนเผยรอยยิ้มออกมาก็เกรงว่าจะเป็นการไม่เคารพใต้เท้าจาง ดังนั้นจึงได้แต่เงียบไปด้วย
ตามธรรมเนียมของหลายวันนี้ มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งมาถึง ในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อก็จะเงียบกันไปราวเวลาหนึ่งก้านธูป ขุนนางที่อายุมากหน่อยก็ต้องพยายามตั้งสติ มิเช่นนี้ในช่วงเวลานี้คงได้หลับเป็นแน่ รอจนฮ่องเต้เสด็จมาถึงจึงได้เริ่มมีเสียง
“ใต้เท้าจาง เมื่อคืนวานข้าน้อยได้ทราบข่าวมาเรื่องหนึ่ง ว่ากันว่าหลี่เฉิงเหลียงผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวนำกองกำลังออกรบ ปราบซู่ปาไฮ่หัวหน้าเผ่าไท่หนิงลงได้ ครั้งนี้มีความมั่นใจเต็มสิบส่วน คำนวนเวลาไว้สามถึงห้าวันก็จะมีข่าวดีมาถึง”
“…หลี่เฉิงเหลียงสมเป็นขุนพลเลื่องชื่อจริง…”
“…ซู่ปาไฮ่เจ้าโจรชั่วก่อความไม่สงบมาสิบกว่าปี ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะตัดคอคนผู้นี้มาได้ไหม…”
ได้ยินคำรายงานของจางซื่อเหวย บรรดาขุนนางต่างก็วิจารณ์กันเซ็งแซ่ หลี่โย่วจือเสนาบดีกรมขุนนางกับเซิน สือหังเสนาบดีกรมพิธีการก็สบตากัน เห็นชัดว่าเป็นข่าวดี ทำไมจางซื่อเหวยจึงได้มีท่าทางแปลกเช่นนั้น ในนี้ย่อมมีอะไรไม่ชอบมาพากล สองคนจึงเงียบไม่กล่าวอันใด
จางจวีเจิ้งกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ในห้องก็เงียบลงทันที จางจวีเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หลี่เฉิงเหลียงชำนาญโจมตี กำลังพลมีจำนวนมาก ได้รับชัยชนะก็ย่อมถูกต้อง สามปีรบชนะสามครั้ง แต่ซู่ปาไฮ่เผ่าไท่หนิงก็ยังคงลอยนวลอยู่นอกด่าน ครั้งนี้หากมีชัย ปูนบำเหน็จรางวัลก็ส่วนปูนบำเหน็จรางวัล แต่เรื่องนี้ก็ต้องคุยกันให้ชัดเจน”
ขณะที่ทุกคนยินดี จางจวีเจิ้งกลับกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้ว่าสมเหตุสมผล แต่บรรยากาศก็เหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งกะละมัง
จางซื่อเหวยรีบลุกขึ้นยืน สีหน้าไม่ผิดหวัง ก้มตัวลงน้อมรับคำสั่งกล่าวว่า
“มหาอำมาตย์กล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยประสบการณ์แคบ รอรายงานจากองทัพมา ก็จะจัดการเรื่องนี้ทันที”
ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้จางจวีเจิ้งพยักหน้าด้วยความพอใจ ทุกคนสบตากันไม่กล่าวอันใด ในใจคิดว่าจางซื่อเหวยที่คิดการระแวดระวังผู้นี้จะดูไม่ปกติด้วยเรื่องนี้หรือ? จางซื่อเหวยนั่งลงล้วงฎีกาหนึ่งออกมา กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ข้าน้อยมีฎีกาฉบับหนึ่ง นายกองฟานต๋ากองตรวจการจากเทียนจินส่งมา เขาตัดสินใจไม่ได้ จึงขอให้ข้ามาช่วยดู หรือว่าควรส่งต่อไปยังกรมฎีกาดี?”
กล่าวถึงตรงนี้ จางจวีเจิ้งก็ขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“เป็นถึงนายกองตรวจการแล้ว สำนักตรวจสอบกับกรมทหารไม่ได้สอนธรรมเนียมให้หรือ จึงได้ทำเรื่องน่าประหลาดเช่นนี้ออกมาได้”
“ขอใต้เท้าโปรดละเว้นโทษ เบี้ยหวัดกองกำลังเมืองจี้โจวล้วนเป็นฟานต๋าดูแลแจกจ่าย แต่ทว่าเมื่อนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงไปรับตำแหน่งก็เริ่มมีการปะทะกัน”
จางซื่อเหวยกล่าวเนิบนาบ สีหน้ามหาอำมาตย์จางเริ่มอึมครึมลง บรรดาขุนนางต่างก็พอเดาสีหน้ามหาอำมาตย์จางกันได้แล้ว เห็นชัดว่าชื่อหวังทงทำให้ใต้เท้าจางไม่พอใจ แต่จางจวีเจิ้งกลับกล่าวว่า
“ฟานต๋านั่นล่วงเกินหวังทงทำไม?”
“เรียนใต้เท้า ฟานต๋าได้แจกเบี้ยหวัดให้หวังทงโดยหักไปสองส่วน จากนั้นก็ข้าวหกตั๋วเงินสี่ นี่ก็เป็นธรรมเนียมของกองทัพเรา หากหวังทงกลับโมโหใหญ่ บอกว่าห้ามหัก และยืนยันว่าต้องข้าวทั้งหมดไม่เอาตั๋วเงิน ฟานต๋าก็ลำบากใจ ธรรมเนียมนี้ก็ปฏิบัติกันมาเช่นนี้ทั่วหล้า นายกองพันหวังต้องการข้าวและเบี้ยหวัดทั้งหมดแบบไม่หัก หากกองกำลังเมืองจี้โจวเอาเยี่ยงอย่างบ้างจะทำอย่างไร?”
เขากล่าวจบ บรรดาขุนนางในห้องก็นั่งกันไม่ติด เติ้งเยว่หมิ่นเสนาบดีกรมอากรก็ลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน ประสานมือคำนับจางจวีเจิ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยว่า
“เบี้ยหวัดแจกจ่ายไป ย่อมต้องมีค่ารถม้าขนส่ง หากไม่หัก จะให้ขูดเอาจากเลือดเนื้อราชสำนักเราหรือ จะว่าไปแล้ว การหักเป็นข้าวและตั๋วเงิน ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปในแต่ละพื้นที่ จะเปลี่ยนได้อย่างไรกัน ใต้เท้าจาง ตอนนี้ท้องพระคลังเพิ่งจะผ่อนคลายลง หากเรื่องนี้เป็นต้นคลื่นต้นลมขึ้นมา ชายแดนหมิงและมณฑลใหญ่น้อย ทหารมากมายเพียงนั้น แจกจ่ายไป เกรงว่าคงได้เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่”
“พวกใช้กำลังหยาบคายพวกนั้น ปล่อยให้ปากท้องหิวโหยกันเสียบ้าง จึงจะป้องกันไม่ให้พวกเขาก่อเรื่องได้ แม่ทัพชีที่เมืองจี้โจวตอนที่อยู่เจ้อเจียงปีนั้น ทหารในกองทัพไม่ใช่ว่าปากท้องหิวโหยกันหรอกหรือ เบี้ยหวัดค้างอยู่ครึ่งปี ก็ยังปราบโจรสลัดสร้างความดีความชอบได้ แสดงให้เห็นว่า การกินอิ่มหรือหิวโหยของกองทัพไม่ได้มีผลต่อการรบแพ้ชนะ พวกเราขอเพียงเลือกแม่ทัพนำทัพที่ดีก็จะรบชนะได้เอง”
“หลี่เฉิงเหลียงที่เมืองเหลียวโจว ว่ากันว่าเบี้ยหวัดทหารเกือบ 2 แสนนายก็ถูกเราหักไว้ ชัยชนะหลายปีมานี้ ก็ล้วนอาศัยกองกำลังรบพุ่งชนมา นี่ก็ยังหักไว้ หากให้ไปทั้งหมด พวกเขาจะเหิมเกริมกันไปขนาดไหน ไม่แน่อาจคิดเป็นอื่นได้?”
บรรดาขุนนางในราชสำนักกล่าววิจารณ์คนละคำสองคำ ไม่มีใครสักคนคิดว่าการแจกเบี้ยหวัดครบจำนวนเป็นเรื่องดี เซินสือหังเสนาบดีกรมพิธีการยังคงเงียบ เอาแต่พยักหน้าไม่หยุด ดูเหมือนว่าเห็นชอบด้วย ในใจเขารู้ดีว่า การหักเบี้ยและเทียบอัตราข้าวสารกับตั๋วเงินนี้ กรมอากรและกรมทหารล้วนมีขุนนางเกี่ยวข้องอยู่ไม่รู้ว่าแบ่งสรรกันภายในไว้เท่าไร และยังเกี่ยวพันไปถึงอีกหลายฝ่าย ตั้งแต่ขุนนางท้องถิ่น มณฑลและในราชสำนักเอง ไม่กล่าวเกินเลยความจริงเลยว่า หากแตะต้องตรงนี้เข้า ใต้หล้าขุนนางหกส่วนย่อมเสียหายไปด้วย ผู้ใดกล้าแตะต้องกัน
หากมีขุนนางบุ๋นคนใดเห็นด้วย ก็ย่อมถูกทุกคนรุมโจมตี ความผิดมากมายย่อมตกกระแทกศีรษะ ต้องผจญบาปกรรมหมื่นชาติไม่อาจฟื้นคืนเป็นแน่ ดังนั้นเรื่องที่คุยกันในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเรื่องนี้ ทุกคนก็ต้องแสดงท่าทีตนเองให้ชัดเจน มิเช่นนั้นตำแหน่งคงนั่งไม่มั่นคงเป็นแน่
รองอำมาตย์หลี่ว์เถียวหยางไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นอะไร ตระกูลเขาเป็นตระกูลใหญ่ที่เจียงซี เงินทองไม่ขัดสน ดังนั้นไม่ค่อยแปดเปื้อนเรื่องเงินทองอะไร และยังอายุมาก ดังนั้นไม่แสดงท่าทีอันใดก็ไม่มีผู้ใดจะเอาเรื่อง
แต่ทว่าขุนนางชราผู้นี้เงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน การกระทำของหลี่ว์เถียวหยางเช่นนี้ทำให้จางจวีเจิ้งต้องเงยหน้าขึ้นมอง คนอื่นๆ ได้แต่เงียบรอ
“ใต้เท้า พี่น้องทุกท่าน ราชวงศ์หมิงเราตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้มา เบี้ยหวัดเสบียงที่แจกจ่ายกองทัพก็เริ่มมีข้าวสารผสมตั๋วเงิน ยังมีการหักบางส่วน มาถึงวันนี้ ก็เพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อบังคับบรรดาขุนนางบู๊เอาไว้หรอกหรือ พวกขุนนางบู๊กวัดแกว่งมีดดาบ ไม่ร่ำเรียนตำรานักปราชญ์ ไม่รู้จักหลักการคุณธรรม หากปล่อยให้เหิมเกริมคงได้กระทำการที่ไร้ขอบเขต”
ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วย เคราขาวของหลี่ว์เถียวหยางปลิวพริ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยคุณธรรม กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดังกังวานว่า
“ปฐมฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ ก็เพื่อให้เราขุนนางบุ๋นเป็นอันดับหนึ่ง ช่วยประคับประคองโอรสสวรรค์ปกครองใต้หล้า ขุนนางบุ๋นเหนือขุนนางบู๊ก็ล้วนเป็นปฐมฮ่องเต้กำหนดไว้ แต่ตอนนี้บรรดาขุนพลชายแดนไหนเลยจะเห็นธรรมเนียมเหล่านี้อยู่ในสายตา หากไม่มีการบังคับไว้ด้วยเบี้ยหวัด ยังไม่รู้ว่าจะวุ่นวายกันถึงขั้นไหน ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินมา ไม่เคยมีกองกำลังก่อการกบฏ ล้วนเป็นเพราะกฎเกณฑ์ตั้งไว้ดีแล้ว กฎเกณฑ์หลายพันหลายหมื่นปีมานี้จะให้ขุนนางเล็กคนสนิทฝ่าบาทมาเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรกัน ทุกท่าน อย่าได้เรียนตำรานักปราชญ์กันเสียเปล่าเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ จางจวีเจิ้งและบรรดาขุนนางในที่นั้นก็ยืนขึ้นท่าทางเคร่งเครียด ก้มกายลงประสานมือคำนับ ขุนนางทุกคนในที่นั้นต่างน้ำตาคลอคล้อยตาม ตื้นตันจนไม่อาจระงับ