Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 231

ตอนที่ 231 ทางนี้ตำหนิ ทางนั้นรับกำลังพล

ในเมืองหลวงไม่มีความลับใด โดยเฉพาะเรื่องที่ปรึกษากันในอย่างเปิดเผยในคณะเสนาบดีใหญ่นี้ เรื่องราวความแข็งไม่ยอมอ่อนข้อของบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ที่ต่างยึดมั่นในหลักการก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง

ในร้านน้ำชาหอสุราทุกแห่งต่างก็วิจารณ์เรื่องนี้กัน กล่าวกันว่าพอฮ่องเต้น้อยพระดำเนินเข้าในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ จางจวีเจิ้งและบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ก็คุกเข่าลงพร้อมเพรียงกันกล่าวว่า “ฝ่าบาท พวกเกล้ากระหม่อมมีเรื่องกราบทูล” คนที่ได้ยินถึงตรงนี้ต่างอดที่จะส่งเสียงร้องตะโกนเชียร์ดังไม่ได้

เป็นสวรรค์คุ้มครองราชวงศ์หมิงเราจริงๆ บรรดาขุนนางต่างยืนหยัดเข้มแข็. ทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งชื่นชมจากใจ

คิดจะรับเบี้ยหวัด ก็ต้องกระทบต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มขุนนางบุ๋น ย่อมต้องพบกับกระแสตีกลับที่รุนแรงที่สุด บรรดาขุนนางต่างก็พร้อมใจกันยื่นฎีกา แม้ว่าเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่อาจไม่ทำตาม

แต่ทว่า แม่ทัพผู้หนึ่งต้องการแจกจ่ายเบี้ยหวัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่ามองมุมไหนก็เหมือนจะเป็นเรื่องถูกต้องอยู่ และเรื่องนี้ยังไม่มีเรื่องกันถึงบาดเจ็บล้มตาย

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหวังทง ขุนนางคนสนิทที่สุดของฮ่องเต้ว่านลี่ ครั้งก่อนฮ่องเต้น้อยแสดงออกอย่างรุนแรง ทุกคนยังคงจำได้อย่างชัดเจน

ผลสุดท้ายก็คือตำหนิ กรมทหารและสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีคำสั่งลงมาให้ตำหนิเรื่องนี้ ลงโทษริบเบี้ยหวัดครึ่งปี ตักเตือนหวังทงว่าไปถึงเทียนจินใหม่ๆ ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบ อย่าได้มีใจเป็นอื่น คิดแต่ก่อเรื่องเหลวไหล ทุกเรื่องต้องทำตามกฎระเบียบธรรมเนียมปฏิบัติ อย่าล่วงละเมิดเด็ดขาด หากมีเรื่องเช่นนี้อีก ก็จะลงโทษทันที

สารทางการที่ส่งให้ฟานต๋ากำชับไว้ชัดเจนว่า ไม่อาจอนุญาตกององครักษ์เสื้อแพรเป็นกรณีพิเศษได้ เบี้ยหวัดนั้นแจกจ่ายไม่ได้ ทุกอย่างให้ทำไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ขณะเดียวกันยังต้องคอยจับตาดูการกระทำของหวังทงที่เทียนจินให้ดี หากทำเรื่องละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติหรือผิดกฎอีก จะต้องรีบรายงานทันที

ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ ต้องการแค่เรื่องการจ่ายเบี้ยหวัดทั้งหมดที่เทียนจินนี้ต้องการให้ทุกคนได้แสดงท่าทีกันเท่านั้น ท่าทีชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องไปล่วงเกินให้ระคายพระยุคลบาทด้วยเรื่องนายกองพันเล็กๆ ผู้นั้น หวังทงผู้นั้นตอนนี้อยู่เทียนจิน ไม่ได้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว

สำหรับหลักการที่หลี่ว์เถียวหยางกล่าวมานั้น หลักการปกครองแผ่นดิน หนึ่ง ไม่มีเงินให้เอา สอง ไม่มีตำแหน่งให้เลื่อน ผู้ใดว่างไปจริงจังกัน

*********

วันที่ 25 เดือนหนึ่ง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 หลายคนที่กลับบ้านไปฉลองตรุษจีนก็เริ่มกลับมาเทียนจิน คลองส่งน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็งก็เริ่มเห็นรอยปริแตกบ้างแล้ว โกดังท่าเรือริมแม่น้ำล้วนหนาวเหน็บเงียบเหงา คนทำการค้าทุกคนก็ล้วนเตรียมงานของตนกันไป พอกลางเดือนสองก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกันแล้ว

พื้นที่ว่างไปทางตอนเหนือของเมืองเทียนจินราวห้าลี้คึกคักเป็นพิเศษ ที่นั่นอย่างน้อยก็มีหลายพันคนมารวมตัวกัน มีไม่น้อยที่มาจากในเมืองเพื่อมาชมความสนุกกัน

ศูนย์กลางที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรดาชายฉกรรจ์ มีพวกที่มาจากกองกำลังพิทักษ์แต่ละแห่งนอกเมือง เรียงแถวกันอย่างไม่เป็นระเบียบนัก ตรงกลางมีทางวิ่งที่วาดด้วยปูนขาวโรยไว้ ก็มีคนวิ่งกันอยู่

บรรดาคนมุงก็มีคนร้องเชียร์ดัง มีคนตะโกนดัง พวกที่วิ่งก็หายใจหอบวิ่งกันไป ในมุมหนึ่งของลู่วิ่ง มีคนสองสามคนจับตาดูนาฬิกาทราย ยังมีธูปขดในกระถางอีก ทุกช่วงเวลาหนึ่ง ก็จะมีคนตะโกนให้หยุด

ก่อนจะตะโกนให้หยุด บรรดาชายหนุ่มที่วิ่งอยู่ ทุกคนต่างดีใจอย่างมาก แต่อีกกลุ่มก็ก้มหน้าคอตก

พวกที่คอตกพอได้พักสักครู่แล้ว ก็มาถึงอีกที่หนึ่ง ตรงนั้นมีตุ้มหินยกน้ำหนัก ยังมีอุปกรณ์รูปร่างประหลาดอีกด้วย เช่นไม้พลองสองด้านถ่วงหินไว้สองก้อน ยังมีพวกพลองเหล็กฆ้อนเหล็กอีกด้วย

พวกที่รูปร่างอ้วนวิ่งไม่ไหว ก็มายกตุ้มหินและอุปกรณ์พวกนี้ขึ้นก่อนจะวางลง ได้ครบตามจำนวนครั้งแล้วก็มีคนสั่งให้หยุด จากนั้นคนพวกนี้ก็จะเดินยืดอกไปยังด้านหลังเวที

คนที่มาดูการวิ่งนั้นมีมาก คนที่มาดูการยกตุ้มหินก็ยิ่งมาก จากนั้นคนที่อยู่หน้าเวทีไม้ก็ยิ่งมาก ที่นี่ต่างจากที่อื่น

บรรดาชายหนุ่มที่มาจากองกำลังพิทักษ์ต่างๆ ในนั้นมีบ้างที่ท่าทางอวดเบ่ง มีท่าทางบอบบางเหมือนกัน บ้างก็พยายามเก็บท่าทีให้สุภาพ บ้างก็รูปร่างบึกบึน แต่งกายกันดีอยู่สักหน่อย

พื้นที่หน้าเวทีไม้แบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งวางเป้าธนู วางคันธนูไว้ในระยะที่กำหนดตามแบบอย่างการฝึกยุทธ์ รอบละ 10 คน ยิงเสร็จก็มีคนเข้ามาตรวจเป้าธนู ตะโกนขานคะแนนเสียงดัง มีบ้างที่ยิงเข้าเป้า ก็ไปหลังเวทีไม้ ไม่เข้าเป้าก็ได้แต่ไปต่ออีกด้าน

อีกด้านคนมุงยิ่งมาก เสียงร้องตะโกนดังไม่ขึ้นเรื่อยๆ ปกติย่อมมีการขายศิลปะเล่นกายกรรมบนท้องถนนจึงจะมีสภาพการณ์เช่นนี้ได้ มีคนสวมเกราะไม้ไผ่ 10 กว่าคน คนที่สวมหน้ากากยืนอยู่ตรงกลาง ทุกคนมือถือไม้พลองยาวสั้นต่างกัน ทุกคนล้วนมีคู่ต่อสู้

ชายหนุ่มหลายคนรอคอยด้วยสีหน้าบ้างก็เคร่งเครียดบ้างก็ตื่นเต้น คนที่ถูกเรียกชื่อก็เข้าไปสวมเกราะป้องกัน หยิบเอาไม้พลองที่ตนเลือกออกไปสู้ตัวต่อตัว

บางคนแค่โผล่ออกไปก็คว่ำลงพื้นทันที บางคนสู้ได้สองสามกระบวน บางคนยืนหยัดอยู่นานหน่อย แต่ไม่มีผู้ใดนานนัก

ยิงธนูไม่แม่น หรือถูกคว่ำลงก็ก้มหน้าคอตกไปวิ่งหรือไม่ก็ยกน้ำหนัก มีบางคนวิ่งไปหน้าเวทีส่งเสียงดังอะไรสักอย่าง ก็มีคนพาตัวอีกทาง บ้างก็ไปขี่ม้า บ้างก็ประลองกำลัง บางคนหยิบปืนไฟขึ้นมายกเล็งเป้า บรรจุกระสุนก่อนจะยิง

การวิ่งเป็นการทดสอบสมรรถนะร่างกายขั้นพื้นฐานที่สุด การยกน้ำหนักก็เพื่อดูพละกำลัง การยิงธนู ประลองยุทธ์ ขี่ม้าและจับปืนยิงล้วนเป็นทักษะความสามารถที่เป็นรูปธรรม

ขอเพียงผ่านมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินก็จะรับไว้

“ใต้เท้า ร่างกายได้ตามเกณฑ์มีทั้งหมด 256 คน พละกำลังตามเกณฑ์มีทั้งหมด 200 คน ยิงธนูได้มา 40 คน ประลองยุทธ์ได้มา 32 คน ขี่ม้าได้มา 47 คน ใช้ปืนไฟเป็นรวมอีก 21 คน”

หวังทงยืนอยู่บนเวทีไม้ชั่วคราวมองไปรอบๆ ซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียงและบรรดาองครักษ์เสื้อแพรวิ่งไปมาขวักไขว่รายงานผลไม่หยุด

“นี่ก็แค่ 600 เท่านั้น!”

ผลเช่นนี้ทำเอาหวังทงต้องขมวดคิ้วเข้มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง ถามน้ำเสียงเรียบเฉยว่า

“คนที่สมัครไว้มาทดสอบกันหมดแล้วหรือ?”

จางซื่อเฉียงพยักหน้า สมุดบัญชีในมือส่งมาให้ดู รายชื่อในนั้นล้วนถูกกาไปหมดแล้ว เขาอธิบายว่า

“คนที่มาล้วนทดสอบ มีบ้างที่ทดสอบหลายรายการ ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“นายท่านมิต้องเสียใจไป ลูกหลานกองกำลังพิทักษ์เราที่นี่ร่างกายไม่เลวและยังมีความสามารถ ครอบครัวมีเงินหน่อยก็จะส่งไปบนเส้นทางขุนนางบู๊ หากไม่มีเงินก็จะรอเรียกรับทหารไปสมัครรอวันลืมตาอ้าปาก คนพวกนี้ก็คือคนที่เหลือ ผ่านยิงธนู ต่อสู้และปืนไฟมาได้ 100 กว่าคนก็ไม่เลวแล้ว”

ถานเจียงที่สวมเกราะไม้ไผ่ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนเวทีตอนไหน เขาถอดหน้ากากออก ที่หน้าผากไม่มีเหงื่อออกสักหยด ยิ้มอธิบาย

หวังทงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเซ็ง เดินไปสองก้าวก็หันกลับมาบอกกับจางซื่อเฉียงว่า

“พวกที่ไม่ผ่านการคัดเลือกก็อย่าให้พวกเขากลับ บอกพวกเขาว่าข้ามีเงินรับคนงาน มีกินมีอยู่ เงินเดือนดีกว่าในมืองสามเท่า ชายหนุ่มพวกนี้ไม่เลว เอาไว้ได้ก็เอาไว้ก่อน”

จางซื่อเฉียงรับคำ รีบไปจัดการ

หวังทงหันไปมองรอบๆ พวกเด็กหนุ่มที่อายุไม่โตไปกว่าเขาสักเท่าไรบ้างก็ผิดหวัง บ้างก็ตื่นเต้นดีใจ ความสุขทุกข์ล้วนอยู่ในสายตา สำหรับตนเองแล้ว คนยังน้อยเกินไป

ขณะที่ยืนตรงนั้น หวังทงก็ทอดถอนใจกล่าวขึ้นเสียงเบาๆ ว่า

“รีบร้อนไปมีประโยชน์อันใด ค่อยเริ่มทำจากขนาดเท่านี้ไปก่อนละกัน!”

ผ่านเหตุปะทะกันมาในวันนี้ หัวหน้าหน่วยนาวาสุคนธ์ไม่เพียงแต่ไม่ก่อเรื่องอีก ยังส่งเงิน 500 ตำลึงเงินมาขอขมาอีกด้วย หัวหน้าจินที่ดูแลคนในสำนักในเมืองก็เป็นชายชราเคราขาวมาพร้อมบรรดาชายหนุ่มเปลือยท่อนบนมาโขกคำนับรับผิดที่กองกำลังสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกด้วย

อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ถึงขึ้นี้ หวังทงก็ไม่อาจบีบคั้นต่อไปได้อีก ขุนนางบู๊สังหารคนบนท้องถนน ขุนนางบุ๋นหากจะหาความผิดใส่ก็ย่อมหาออกมาได้ แต่หลังจากเรื่องนี้ สำนักนาวาสุคนธ์ก็ไม่ได้ก่อเรื่องอวดเบ่งอันใดอีก ราวกับว่ามีอะไรที่มองไม่เห็นเก็บเรื่องให้เงียบไป

สำนักนาวาสุคนธ์ทำเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้หวังทงไม่วางใจ กลับทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น การปะทะกับอีกฝ่ายในวันนั้น หลังเกิดเรื่องก็เป็นเต่าหัวหด ยังมีการกระทำเคลื่อนไหวใหญ่โตนั่น ผู้ใดสามารถวางใจในวาจาอ่อนข้อและเงินทองสองสามร้อยนี่กัน

สำนักองครักษ์รับสมัครกำลังพลใหม่ เริ่มต้นก็พบกับปัญหายุ่งยากใหญ่มากนั่นก็คือหาที่สอบไม่เจอ ในเมืองเทียนจินนั้นเล็บ พื้นที่นอกเมืองก็มีค่าดั่งทองคำ

เมืองเทียนจินตอนนี้กับเทียนจินในสมัยของหวังทงนั้นเหมือนว่าต่างกัน ออกประตูตะวันออกขี่ม้าไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถมองเห็นทะเล ออกไปทางประตูตะวันตกเดินไปไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปก็จะถึงคลองส่งน้ำ

ดังนั้นริมน้ำเมืองเทียนจินทุกแห่งจึงล้อมรอบไปด้วยโกดัง ร้านค้า โรงเตี๊ยมและหอสุราร้านน้ำชารองรับ ร้านค้าใหญ่น้อยและโกดังสินค้า ยังมีกองเก็บภาษีที่ทางการส่งมาประจำในแต่จุด สถานที่ราชการและร้านค้าพวกนี้ก็นำพาชาวบ้านให้มาอยู่อาศัยไม่น้อย

ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยบ้านเรือน ไม่มีที่ว่าง การรับทหารมาใหม่ หลายพันคนสมัครมา ก็ต้องการที่ๆ ดี ในมืองนอกเมืองล้วนไร้ที่ให้เลือก ห่างจากคูเมืองไกลออกไปก็ไม่ดี ห่างจากมือง 15 ลี้ขึ้นไป จะเติมเสบียงอะไรก็ลำบากยุ่งยาก

สุดท้ายก็หาที่ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือห้าลี้มาได้ ที่นี่เคยถูกน้ำทะเลท่วมมาก่อน มีแต่เกลือจึงเพาะปลูกอะไรไม่ได้ ต่อมามีพวกก่อกบฏได้ถูกตัดศีรษะกันที่นี่จำนวนมาก ล้วนว่ากันว่าที่นี่กลางคืนมีผี ที่นี่จึงได้รกร้างเช่นนี้

วันนี้รับสมัครกำลังคน หวังทงกลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลย หันกลับไปสั่งให้ซุนต้าไห่ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่กองตรวจกำลังพลให้เรียบร้อย ที่นี่หาคนมาดูแล วันหน้าจะตั้งค่ายกันที่นี่

คนที่ผ่านการคัดเลือกวันนี้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน ล้วนพักกันที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร คนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกก็ให้กลับบ้านไป คนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกหลายคนรู้สึกพึงใจกับการต้อนรับที่โรงเตี๊ยม และได้ยินว่าเป็นกิจการของนายกองพันหวัง การค้าของเจ้าหน้าที่ทางการย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะมีภัยร้ายอันใด แม้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ เช่นนั้นก็หางานทำละกัน ดีกว่ากลับไปขอข้าวพ่อแม่กิน

วันที่ 30 เดือนหนึ่งวันนั้น แม้แต่คนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกก็กลับเข้าเมืองเทียนจินกัน หวังทงนำคนเหล่านี้ไปรวมกันว่างหนึ่ง ก่อนจะจัดคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกให้ไปยกของมาสร้างเพิงพัก จากนั้นพวกที่ได้รับเลือกราว 600 คนนั้นก็ส่งไปหน้าเวทีไม้

พอเห็นกองกำลังที่ไม่เป็นระเบียบ หวังทงก็ยิ้มถามว่า

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าลำดับถัดไปต้องทำอะไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version