Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 260

ตอนที่ 260 ถนนที่เงียบสงบ

ถ้าเป็นความเห็นของอวี๋ต้าโหยว แม้ว่าตั้งกองกำลังหู่เวย ก็คงไม่เสนอให้เพิ่มปืนไฟ ตั้งแต่หวังทงได้สนทนากับขุนพลเฒ่าผู้นี้ลึกซึ้งขึ้น ก็พบว่าขุนพลเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างรังเกียจอาวุธปืน

เขาคิดว่าปืนไฟคุณภาพใช้การไม่ได้ ขณะใช้ก็จะทำทหารบาดเจ็บได้ง่าย และตั้งแต่กองทัพมีอาวุธปืน ก็สูญสิ้นความกล้าหาญ คิดแต่จะจุดปืนจากที่ไกลๆ ยังไม่ทันเข้าถึงระยะยิงก็ยิงกันให้มั่วไปหมด รอจนข้าศึกประชิดหน้า กระสุนก็ยิงหมดแล้ว ไม่มีความกล้าหาญ ย่อมไม่กล้าเข้าปะทะเสียเลือดเนื้อ ถึงตอนนั้นได้แต่ชุลมุนกันให้วุ่นวาย กองทัพแตกกระจายไร้ทิศทาง

หากไม่มีปืนไฟ อย่างน้อยพลทหารทั้งหลายก็จำต้องเข้าปะทะ แม้เป็นพลธนูก็จำเป็นต้องอยู่ในระยะยิงจึงจะปล่อยธนู แนวคิดนี้นับเป็นช่องว่างแห่งยุคสมัย

สำหรับขุนพลเลื่องชื่อที่อายุใกล้ 80 ผู้นี้ หวังทงย่อมไม่เซ่อซ่านำเสนอแนวคิดยุคสมัยใหม่อะไรออกไป อย่างไรกองกำลังหู่เวยตนเองก็กำกับดูแลเอง และในยุคสมัยนี้ อวี๋ต้าโหยวก็พูดได้ถูกต้องที่สุด

ทว่า ขุนพลเลื่องชื่อก็ส่วนขุนพลเลื่องชื่อ ชายชราก็ยังคงเป็นชายชรา อวี๋ต้าโหยวยังคงมีแนวคิดแบบวัยรุ่นที่ให้ลองก็ลอง พ่ายมาก็มีโอกาสลองใหม่ ในเมื่อหวังทงเอ่ยปาก เขาก็รับปากจะไปพูดให้

ในเมืองส่วนใหญ่สงบดี ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หวังทงคืนนี้ตัดสินใจพักที่ค่ายใหม่ รอวันรุ่งค่อยกลับเข้าเมือง รอจนค่ำ หวังทงก็เดินขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์ทางทิศใต้ของค่าย

ที่สูงย่อมมองได้ไกล ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นทะเลและแม่น้ำได้ชัดเจน คืนดึกสงัด แสงไฟสองฝั่งคลองส่งน้ำค่อยๆ ดับลง แสงดาวค่อยๆ ส่องประกายระยิบระยับ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามืดยิ่งขึ้น ฝั่งทะเลยังคงมีแสงไฟสว่าง ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดกำลังยุ่งวุ่นวายกับการขนถ่ายสินค้า

*******

คืนหนึ่งผ่านไปไร้สำเนียง เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หวังทงกำลังจะกลับเข้าเมือง หลี่หู่โถวตอนนี้ติดตามข้างกายเขา พวกถานเจียงบางคนก็เป็นครูฝึกในค่ายใหม่ บางคนก็อยู่ในเมืองคอยสังเกตการณ์

เมื่อวานเพิ่งจะเคลื่อนกำลังเข้าเมือง ทุกอย่างยังไม่ปลอดภัยนัก ดังนั้นจึงต้องทิ้งถานเจียงที่มีประสบการณ์มากที่สุดคอยเฝ้าไว้ ข้างกายเขาตอนนี้มีแค่ถานปิงและคนตระกูลถานที่ไม่ค่อยได้ออกมาอารักขาเขาสักเท่าไร เตรียมจะกลับเข้าเมือง

จัดม้าเสร็จก็เห็นหม่าซานเปียวเดินเข้ามาและยังจูงม้ามาด้วย หวังทงขมวดคิ้วถามเสียงเข้มขึ้นว่า

“ซานเปียว ทางนี้เจ้ายังมีงานให้เจ้าทำ ตามออกมาทำไม!”

หม่าซานเปียวไม่ตอบ ถานปิงกลับยิ้มช่วยอธิบายเบาๆ ว่า

“นายท่าน ให้ซานเปียวตามพวกเราเข้าเมืองเถอะ แล้วให้เขาขี่ม้ากลับมาเองก็ได้ ข้างกายใต้เท้ามักจะต้องมีมือดีสองสามคนคอยติดตามใกล้ชิด”

หม่าซานเปียวส่ายหน้าอธิบายว่า

“อาจารย์ถานบอกว่า หากเขาไม่ได้ติดตามมาด้วย นอกเมืองให้ข้าติดตามใต้เท้าให้ได้ หากมีเรื่องอะไรอย่างน้อยก็จะได้ช่วยเหลือ”

หวังทงมีพลโจมตีและพลธนูม้าฝีมือดีรอบกายอย่างพวกถานเจียงที่ชำนาญการฝึกมาก่อน หากหลี่หู่โถวกับหม่าซานเปียวก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา หลี่หู่โถวเป็นเด็กฉลาดไหวพริบดีและยังขยันหมั่นฝึกฝน ก้าวหน้าเร็วมาก ตอนนี้เสียเปรียบทแค่เรื่องพละกำลัง หม่าซานเปียวรูปร่างสูงใหญ่แรงเยอะ การขี่ม้าก็พอมีพื้นฐาน ปีกว่ามานี้มีพัฒนาการไม่เลว ถานเจียงเคยแอบบอกหวังทงว่า พวกถานเจียง 17 คนนี้หากสู้กับหม่าซานเปียวตัวต่อตัว อาจเอาชนะได้อย่างน้อย 10 คนเลยทีเดียว

หวังทงพยักหน้าเป็นการบอกว่าอนุญาต แต่ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ถานเจียงเป็นพ่อบ้านตน จัดการเช่นนี้ก็ย่อมมีเหตุผลของเขา แต่ที่ไม่สบายใจไม่ใช่เรื่องนี้ เป็นเพราะการจัดการรอบกายเขาเช่นนี้หมายถึงว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในอันตราย

เรื่องที่ได้ทำไปทั้งในเมืองนอกเมือง แม้ว่ามั่นคงดุจเขาไท่ซาน รุกไล่ไปอย่างสง่าผ่าเผย แต่ผลประโยชน์คนมากมายถูกตัดทอนไปทีละขั้นเช่นนี้ ในที่แจ้งย่อมไม่ต่อต้าน แต่ในที่ลับจะลงมือหรือไม่ นั่นก็ไม่อาจรู้ได้

ความรู้สึกถูกจับตาจากที่มองไม่เห็นไม่ค่อยดีนัก เมื่อก่อนหวังทงไม่ค่อยรู้สึก แต่ยามนี้เรื่องปรากฏตรงหน้าตนเองอย่างชัดแจ้งเช่นนี้ ในใจก็ย่อมไม่สบายใจอย่างยิ่ง

ลองใช้มือดึงอานม้าและอุปกรณ์ต่างๆ ก็เห็นว่ามัดไว้แน่นดีแล้ว หวังทงกำลังจะขึ้นม้า ก็คิดอะไรได้ หันไปตะโกนสั่งว่า

“เอาโล่กลมมาด้วย!”

อาวุธยุทโธปกรณ์ในค่ายใหม่พร้อมสรรพ มีคนคว้าโล่กลมมาให้หวังทงทันที โล่กลมสั้นกว่าท่อนแขน ทำจากท่อนไม้และแผ่นเหล็ก หวังทงรับมาคล้องไว้ที่อานม้าตน

เขามองไปยังคนอื่นๆ ก็เห็นว่าทุกคนอยู่ในชุดเต็มยศ ไม่ต่างอะไรกับยามจะออกสนามศึก หวังทงส่ายหน้า โดดขึ้นหลังม้า

ค่ายใหม่นี้ห่างจากพื้นที่ตั้งร้านค้าและโกดังต่างๆ ราว 500 ก้าว แต่ใน 500 ก้าวนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดอีกเลย

ก่อนจะตั้งค่ายใหม่ พื้นที่แถบนี้เป็นเพียงแอ่งน้ำ มีทั้งหญ้ารกชัฏและก้อนหินระเกะระกะ ตอนนี้เรียบร้อยขึ้นมาก แรงงานค่ายใหม่ได้มาจัดการเก็บกวาดและสร้างถนนขึ้นใหม่

แต่แม้ว่าจะเรียบร้อยมากขึ้น หากยังไม่มีพ่อค้าคนใดคิดจะสร้างบ้านเรือนอะไรแถวนี้ ไม่ใช่ว่าองครักษ์เสื้อแพรน่ากลัวอะไร หากเป็นเพราะห่างไกลจากท่าเรือเกินไป ร้านค้าที่อยู่ใกล้แถบนี้ล้วนกิจการไม่ค่อยดี สองร้านค้าที่มีอยู่ก็แค่ประคองไว้ สองร้านอาหารที่มีก็เป็นร้านที่ใช้เงินแค่สองอีแปะก็กินอิ่มอะไรพวกนั้น คนที่ท่าเรือไม่ค่อยมาใช้บริการ ทว่าระยะนี้กิจการไม่เลว เพราะอาหารในค่ายใหม่ต้องการให้พวกเขาช่วยดูแล

ที่เหลือก็เป็นพวกโกดังสินค้า สินค้าชิ้นหนักไม่ปราณีตนักวางกันไม่อาจขยับ อย่างไรก็ห่างไกลจากคลองส่งน้ำ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองเช่าที่มากมายเท่าไร

ประตูค่ายด้านหลังเพิ่งจะปิดลง ก็มองเห็นเส้นทางหน้าประตูค่ายเบื้องหน้า มีคนสองสามคนเดินผ่านมา เมื่อก่อนตอนหวังทงมาที่นี่ไม่ค่อยได้เห็นใครผ่านไปมา เงียบเหงายิ่งนัก หากเป็นเมื่อก่อน หวังทงคงไม่ค่อยสนใจอะไร แต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนก่อนออกจากค่ายทำให้เขาไม่อาจไม่ระแวดระวังไว้ก่อน

ม้ายังคงนิ่ง หวังทงดึงให้หยุด ถามขึ้นว่า

“ที่นี่ปกติเงียบเหงามาก ทำไมตอนนี้จึงมีคน!?”

ถานปิงมองไปทางนั้นยิ้มตอบว่า

“ร้านอาหารสองร้านนั้นตอนนี้ทำอาหารให้คนในค่ายเรา เห็นว่าจะร่ำรวยกันแล้ว ดังนั้นจึงได้จ้างคนมาไม่น้อย หลายวันนี้นับว่ารู้ธรรมเนียมขึ้นมากแล้ว หลายวันก่อนยังมีคนมักมาลอบมองการฝึกของพลทหารค่ายใหม่เรา แต่ก็ถูกแส้ขับไล่กลับไป ตอนนี้จึงได้สงบนิ่งขึ้นมาก”

หม่าซานเปียวเร่งม้าตามขึ้นมากล่าวเสียงดังว่า

“ร้านอาหารของเจ้าเสี่ยวฟางนั่น ตอนเช้ามีโจ๊กข้าวเหลืองสักชาม ผักดองผัดน้ำมันม้วนในแผ่นแป้ง อร่อยมาก เช้านี้กินในค่ายไม่อิ่มเลย อีกเดี๋ยวจะไปเอามาสักชุดไว้กินระหว่างทาง ใต้เท้าเอาไหม?”

หากจะบอกว่าหม่าซานเปียวเป็นคนปากไม่ระวังก็ใช่ว่า ปกติเขาเองก็พอรู้จักธรรมเนียมมารยาท แต่ที่กล่าวเมื่อครู่นั้นออกมากก็เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ

ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หัวเราะฮาลั่น หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า

“เจ้ามันพวกกระเพาะโต เดี๋ยวก็เอาให้ข้าชุดหนึ่งละกัน…ถานปิง ค่าอาหารของทหารใหม่และแรงงานในค่ายไม่ต้องหักอะไร อย่างน้อยก็ต้องกินกันให้อิ่ม อาหารเช้าแม้แต่ข้าเองก็กินแล้วรู้สึกว่ามีแต่น้ำ ส่วนของคนอื่นกินก็พอเดาได้ เมืองหลวงส่งเงินมา ไม่ใช่ให้พวกเราประหยัด แต่ให้ใช้ ใช้ในสิ่งที่ต้องใช้จึงจะเรียกได้ว่าตั้งใจทำงาน”

กล่าวจบก็สะบัดแส้มุ่งหน้าต่อไป ราชวงศ์หมิงทุกระดับต่างเคยชินกับการหักเบี้ยหวัดพลทหาร แม้ว่าครูฝึกในค่ายจะไม่โลภ แต่ก็ชินกับการช่วยหวังทงประหยัด ไช่หนานตอนจดบัญชีก็มักจะมาถามด้วยความเคยชิน ว่าจะให้จ่ายเบี้ยหวัดไปทั้งหมดเลยจริงหรือ

ความเคยชินและปัญหาเหล่านี้ทำให้หวังทงเบื่อหน่ายมาก เกณฑ์ทหารเข้าทัพก็เพื่อให้พวกเขาเสียสละออกศึก หากไม่ให้เงินที่เขาควรได้ทั้งหมด เมื่อถึงยามศึกผู้ใดจะเสียสละชีวิตเพื่อเจ้ากัน

ม้าเดินไปได้สองสามเก้า หวังทงก็กล่าวเสียงดังอยู่บนหลังม้าว่า

“ถานปิง จ่ายเบี้ยหวัดครั้งหน้าข้าจะมาจ่ายเอง”

เส้นทางสองสามร้อยก้าวผ่านไปอย่างเร็ว พอเข้าไปในเขตพื้นที่ร้านค้าและโกดัง ผ่านตลาดสินค้า เลี้ยวขวาไปก็เป็นร้านอาหารสองร้านนั้นที่ตั้งอยู่บนเส้นทางขากลับพอดี

ตลาดสินค้ามีหินหมาสือ[1]กองอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าเมื่อห้าปีก่อนแม่น้ำไหวเหอซ่อมเขื่อนริมน้ำ ต้องการหินจำนวนมาก เรือจากทางเหนือขนเสบียงและสินค้าพ่วงมาถึง ขากลับก็บรรทุกหินกลับไป ไปถึงแม่น้ำไหวเหอเมื่อใดก็จะได้กำไรราวห้าเท่า แต่เมื่อปีก่อนก็ซ่อมเสร็จ จึงไม่ต้องการอีก

ในยุคนนี้เหนือใต้ข่าวสารถึงกันต้องใช้เวลานนาน หินก้อนหมาสือขนส่งมาที่เทียนจินแล้วก็ไม่มีคนต้องการใช้อีก ขนกลับไปก็เสียต้นทุนเพิ่ม ในพื้นที่ไม่มีงานก่อสร้างที่ต้องการใช้มากมายขนาดนนั้นจึงได้ถูกทิ้งไว้ที่พื้นค่อยๆ ขายไปเรื่อยๆ เช่นนี้

หินก้อนพวกนี้กองกันกลางแจ้ง ไม่มีผู้ใดสนใจ ไม่แม้มีแต่คนคิดจะขโมย กองทับซ้อนกันเป็นชั้น หินก้อนกองจนสูงเกินความสูงคน สภาพพื้นก็มิใช่ว่าราบเรียบ เดินไปมาในตลาดการค้านี้ก็เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางเนินเขาสูงต่ำ บดบังสายตาเป็นอย่างมาก

หวังทงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด สถานที่สูงต่ำเต็มด้วยซอกหลืบเช่นน้ ทุกคนก็ย่อมเริ่มระแวดระวัง พากันนำอาวุธมาวางไว้ที่หน้าอานม้า ตั้งสติระวังภัย

หากก็เคร่งเครียดกันไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตลอดเส้นทางจนกระทั่งออกมาจากตลาดการค้าก็ไม่มีเรื่องอันใด เห็นแต่ท้องถนนที่เงียบสงบ ทุกคนก็รู้สึกผ่อนคลายลงได้

‘ต้นไม้ใบหญ้าราวกองทหาร’ หวังทงอยู่ๆ ก็คิดถึงคำกล่าวนี้ขึ้นมา หากเอาแต่เคร่งเครียดกันเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นการระแวงเกินไป หม่าซานเปียวด้านหลังยิ้มกล่าวว่า

“ร้านอาหารอยู่ข้างหน้าแล้ว ข้าไปสั่งให้พวกเขาทำไว้ก่อน!”

หม่าซานเปียวเร่งม้าวิ่งขึ้นไป หวังทงตะโกนรั้งไว้ มองสองข้างทางแล้วก็ถามเสียงนิ่งเรียบว่า

“ร้านอาหารสองร้านนั้นต้องทำอาหารให้คนมากมาย คิดว่าน่าจะมีคนงานไม่น้อย ตอนนี้ก็คงยุ่งอยู่กับอาหารกลางวัน เหตุใดจึงเงียบสงัดเช่นนี้ แม้แต่ควันไฟก็ไม่มี!”

พอถามเช่นนี้ หม่าซานเปียวก็หยุดม้าลง หวังทงกล่าวว่า

“อย่างไรก็อีกไม่ไกลแล้ว เจ้าลองตะโกนดู ย่อมต้องได้ยิน”

“เสี่ยวฟังแม่เจ้าโว้ย ข้ามาแล้ว รีบออกมาคำนับรับใช้เร็วเข้า”

หม่าซานเปียวโก่งคอตะโกนดัง พอตะโกนจบ เกรงว่าถนนทั้งเส้นก็คงได้ยินกันหมด แต่ถนนทั้งเส้นยังคงเงียบไร้เสียงตอบรับ การตะโกนเรียกชื่อแซ่ชัดเจนเช่นนี้ แม้ว่าคนได้ยินไม่ขยับ ผู้คนบนท้องถนนก็ต้องยื่นหน้ายื่นตาออกมาดูว่ามีเรื่องน่าสนุกอันใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนออกจากค่ายมายังเห็นคนเดินผ่านไป

อากาศร้อนเล็กน้อย แต่ถนนทั้งเส้นยังคงเงียบสงัดทำให้หวังทงรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที

ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ก็ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากหลายทิศทาง

เสียงปล่อยสายธนู! เสียงแหวกอากาศ!

………………

[1] หินแกรนิตประเภทหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version